“อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้าเลย…”
เฉินเยี่ยนมองเจ้าอัปลักษณ์ที่ย่างเข้ามาหาเขาทีละก้าวดุจปีศาจ วิงวอนขอร้องอย่างหวาดกลัว
แข็งแกร่งนัก ทั้งๆ ที่มีพลังยุทธ์เป็นระดับกึ่งแปลงจิตเหมือนกัน แต่เขากลับถูกวานรตัวนี้จัดการจนไม่อาจตอบโต้ได้
แต่เขายังไม่อยากตาย มาถึงขั้นนี้อย่างยากเย็น อีกเพียงก้าวเดียวก็บรรลุระดับแปลงจิตแล้ว ถึงตอนนั้นจะมีอายุยืนนานถึงหมื่นปี เขาจะตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!
“ขอแค่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะบอกตำแหน่งบงกชเร้นเลือดปีศาจกับเจ้า บงกชเลือดใกล้จะเจริญวัยแล้ว หากมันเจริญวัยเมื่อใด จะเป็นวัตถุเซียนขั้นสอง กินมันช่วยให้พลังยุทธ์ของเจ้าเพิ่มพูนได้” เฉินเยี่ยนรู้ว่าหากต้องการจะรอด จำต้องอดทนต่อความเจ็บปวดยอมยกของรักของหวงชิ้นนี้ให้
เป็นอย่างที่คาด เจ้าอัปลักษณ์ตาลุกวาวทันที “งั้นดี เจ้าบอกข้ามาว่า บงกชเร้นเลือดปีศาจอยู่ที่ไหน”
“เจ้าให้คำสัตย์สาบานมาก่อน ข้าถึงจะบอกเจ้า” เฉินเยี่ยนกล่าว
เจ้าอัปลักษณ์พยักหน้า เริ่มสาบานตามที่ร้องขอ “ข้าให้คำสัตย์ว่า หากเฉินเยี่ยนยอมบอกตำแหน่งซ่อนตัวของบงกชเร้นเลือดปีศาจ ข้าจะไม่ลงมือกับเฉินเยี่ยน หากว่าคืนคำ ขอให้ฟ้าผ่า จิตแหลกสลาย!”
เมื่อเห็นเจ้าอัปลักษณ์สาบาน เฉินเยี่ยนก็โล่งใจ เริ่มเปิดเผยที่ซ่อนของบงกชเร้นเลือดปีศาจ
เจ้าอัปลักษณ์พยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็เงยหน้ามองฟ้า
เฉินเยี่ยนเมื่อเห็นดังนั้นก็แหงนหน้าขึ้นตามด้วยความสงสัย จากนั้นเขาก็เห็นลำแสงสีดำที่พุ่งทะลุอากาศมา…
เสี้ยววินาทีต่อมา อันหลินก็ย่ำพื้นและเก็บกระบี่
“พวกเจ้าอาจหาญ…”
เฉินเยี่ยนตาแดงก่ำ ใบหน้ามีแต่ความโกรธแค้นเจ็บใจ พูดอย่างเสียสติ
แต่รอยเส้นสีแดงปรากฏเด่นชัดบนลำคอของเขานานแล้ว
ตุบ ศีรษะหล่นลงพื้น เลือดพุ่งกระฉูด
เสี้ยววินาทีก่อนเฉินเยี่ยนตาย เพิ่งตระหนักได้ว่าตนถูกหลอกถาม เสียดายที่ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว
ใช่แล้ว เจ้าอัปลักษณ์ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ลงมือกับเขา แต่คนอื่นลงมือได้นี่นา สำหรับอันหลิน การลอบโจมตีนักพรตระดับกึ่งแปลงจิตที่หายใจรวยรินคนหนึ่งนั้น มันช่างง่ายดายเหลือเกิน
หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่เห็นอันหลินบั่นคอผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งสำนักอัมพร ความเคารพนับถือในใจทวีคูณ แต่หลังได้เห็นภาพการตายของเฉินเยี่ยนหลังรับรู้ด้านมืดของสำนักนี้แล้ว ในใจก็มีความสะใจเจือปนอยู่บ้างเช่นกัน
“เจ้าอัปลักษณ์ เจ้านำทางไปยังตำแหน่งของบงกชเร้นเลือดปีศาจเถอะ”
กำจัดนักพรตนอกรีตของสำนักอัมพรเหล่านี้เสร็จแล้ว อันหลินก็เก็บแหวนมิติของเฉินเยี่ยน ไม่ชักช้า เข้าประเด็นทันที
เขามาที่นี่ จุดประสงค์หลักก็คือบงกชเร้นเลือดปีศาจ มันสำคัญต่อปฏิบัติการบั่นคอนางพญามดเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าอัปลักษณ์เหาะไปยังเนินเขาที่เกิดจากกระดูกสีขาวกองพะเนิน หยิบป้ายอาญาสิทธิ์สีดำบนเนินเขาทั้งเก้าลูกขึ้นมาถือไว้ มาถึงทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอารามอัมพร ปล่อยหมัดกระแทกผิวดินจนเกิดหลุมใหญ่ จากนั้นก็เข้าไปในห้องลับใต้พิภพ
ศูนย์กลางของห้องลับมีค่ายกลขนาดใหญ่ เจ้าอัปลักษณ์วางป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งเก้าในแต่ละตำแหน่งของค่ายกล จากนั้นค่ายกลก็เริ่มสั่นอย่างแรง
“ป้ายบงกชสีดำจะกลืนกินเลือดเนื้อและวิญญาณของนักพรต จากนั้นถ่ายทอดของเหล่านี้ให้บงกชเร้นเลือดปีศาจที่อยู่ในห้องลับ ใช้เป็นอาหารเพื่อปลุกมัน” อันหลินมองแท่นสูงที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมา พร้อมกับบอกข้อมูลที่เขาทราบมาจากหอจื่อเวยของสรวงสวรรค์ “แต่แม้บงกชเร้นเลือดปีศาจจะฟื้นคืนชีพ คนของอารามอัมพรก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ มันไม่ใช่ของขวัญที่นางพญามดมอบให้อารามอัมพรเพื่อการผูกไมตรี แต่นางพญามดหลอกใช้คนของอารามอัมพรเป็นชาวสวน เพื่อหล่อเลี้ยงดอกไม้ดอกนี้ก็เท่านั้น…”
ดอกบัวสีแดงสดพิกลตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นสูง กลิ่นหอมประหลาดโชยมา ก่อตัวเป็นความเย้ายวนอย่างแสนสาหัส ชวนให้ลุ่มหลงมัวเมา
หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ที่พลังยุทธ์ค่อนข้างต่ำ เมื่อเห็นดอกบัวดอกนี้ ไม่อาจละสายตาได้เลย ใบหน้ามีรอยยิ้มอิ่มเอมใจปรากฏขึ้น
“จิ๊ๆ ๆ รูปลักษณ์ฉูดฉาดเย้ายวนแบบนี้ แทบจะเทียบเท่าเสี่ยวหงแล้ว” อากัปกิริยาของอันหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดอกบัวดอกนี้ เอ่ยปากชมเปาะ
จู่ๆ กระเป๋าของเขาก็ขยับอย่างแรง ราวกับกำลังแสดงอาการต่อต้าน
“เอาละๆ…ถ้าดูจากความงดงามเย้ายวนแล้ว ดอกบัวดอกนี้สู้เจ้าไม่ได้ พอใจหรือยัง” อันหลินรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในกระเป๋า จึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
แรงสั่นในกระเป๋าแรงขึ้นกว่าเดิม คล้ายว่าจะแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง
“พี่อัน ในเวลาแบบนี้เจ้าน่าจะบอกพี่หงว่า มันแตกต่างกับแพศยาพราวเสน่ห์ด้านนอกนั่นอย่างสิ้นเชิง เป็นความงดงามที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง โฮ่ง!” จู่ๆ ต้าไป๋ก็โพล่งขึ้นมา
เป็นอย่างที่คาด เพิ่งสิ้นเสียง กระเป๋าของอันหลินก็หยุดขยับ
ต้าไป๋มองอันหลินแล้วยิ้มแสยะ แสดงท่าทางเหมือนจะบอกว่า ‘ข้าเข้าใจผู้หญิงที่สุด’
อันหลิน “…”
เอาเถอะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ อันหลินก็จำต้องยอมรับว่า ความสามารถในการเดาใจผู้หญิงของเขาสู้หมาตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขาไม่คิดอะไรอีก เก็บบงกชเร้นเลือดปีศาจใส่แหวนมิติแล้วขี่ก้อนอิฐจากไป
ทุกคนออกห่างจากอารามอัมพรที่จวนจะพินาศย่อยยับ มุ่งหน้าเหาะไปที่อื่น
หลังหลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ขอบคุณอันหลินที่ช่วยชีวิตแล้ว ก็เงียบงันมาเกือบตลอดทาง
พวกเขาสับสนงุนงง เพราะคนในครอบครัวถูกเผ่าพันธุ์มดสังหาร พวกเขาหวังเข้าร่วมปฏิบัติการกำจัดเผ่าพันธุ์มดกับสำนัก แต่ตอนนี้กลับพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ที่อารามอัมพร พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
“ต้องขออภัย เพื่อตามหาพิกัดของอารามอัมพร และลักลอบเข้าไปอย่างราบรื่น ข้าหลอกใช้พวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าเอาชีวิตไปเสี่ยง” อันหลินพูดขึ้นมากะทันหัน
หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ต่างก็ชะงักไป ไม่คิดว่าอันหลินจะขอโทษเพราะเรื่องแบบนี้
“ผู้อาวุโสอันหลินอย่าพูดเช่นนี้เลย ตอนนั้นหากไม่ได้ท่านลงมือช่วย ข้ากับลูกสาวคงสิ้นชีพในปากของมดยักษ์ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นได้ช่วยผู้อาวุโสขุดรากถอนโคนนักบวชนอกรีตที่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ถือเป็นเกียรติกับข้าและลูกสาวยิ่งนัก” หลิวหู่ตอบอย่างนอบน้อม
คำพูดนี้เป็นความในใจของเขา ตอนนี้หายนะของเผ่าพันธุ์มดทำให้สิ่งชีวิตในแคว้นเทียนเหอวิบัติ ซ้ำยังมีสำนักให้ความร่วมมือกับนางพญามด สามารถสร้างประโยชน์ได้ในการกำจัดหายนะแบบนี้ ที่จริงแล้วพวกเขาก็ดีใจอยู่มากเหมือนกัน
อันหลินพยักหน้าอย่างละอายใจ จากนั้นถามว่า “เช่นนั้นพวกเจ้ายังคิดจะเข้าร่วมสมาคมต่อต้านเผ่าพันธุ์มดอยู่หรือไม่ สมาคมที่จัดตั้งโดยสำนักเหวินกู่แห่งแคว้นเทียนเหอน่ะ”
“สำนักเหวินกู่…” หลิวหู่เบิกตากว้าง “นั่นมันสำนักอันดับหนึ่งแห่งเขตเฮยเหยียนของเราไม่ใช่หรือ!”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้ากับผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักเซียนพอจะรู้จักกันบ้าง” อันหลินทำหน้ารำลึกความหลัง
ในความคิดของเขา มีผู้หญิงที่เคยวนเวียนอยู่ในความมืดมิดคนนั้นผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ว่าอย่างไร จะไปหรือไม่ หากอยากไปละก็ ข้าจะไปส่งพวกเจ้าที่นั่น” อันหลินเอ่ยถามต่อ
เมื่อได้ยินว่ายังมีโอกาสเข้าร่วมสมาคมต่อต้านเผ่าพันธุ์มดอีก พวกเขาสองคนก็ตกปากรับคำโดยที่ไม่คิดเลย
อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลง พาสองพ่อลูกมุ่งหน้าเหาะไปทางหุบเหวหมื่นกาลี
ชายแดนหุบเหวหมื่นกาลีต่างหากที่เป็นศูนย์กลางการปราบปรามเผ่าพันธุ์มด