สำหรับเงื่อนไขของอันหลิน หญิงสาวตอบตกลงโดยไม่ลังเล
เล่นเกมบนยอดเขาหินนิลดำ ราวกับได้ร่วมประลองกระบี่บนภูเขาหัวซาน มีกลิ่นอายของยอดฝีมือประลองยุทธ์แฝงอยู่ ความรู้สึกแบบนี้หญิงสาวชื่นชอบยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงบังคับให้คฑาลอยอยู่กลางอากาศ
จากนั้น ก็มีม่านบาเรียสีชมพูบางๆ ปรากฏขึ้นรอบไม้คฑา
มันเป็นวิชาลี้แสงของกระบี่เหินเวหา ม่านบาเรียสีชมพูบาง มีบทบาทในการตรึงร่างกายของผู้เหาะเหิน กันลมกันแดด นี่เป็นเวทมนตร์ที่นักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองเช่นกัน
เมื่อเห็นหญิงสาวโบกมือให้เขา อันหลินก็ก้าวขึ้นเหยียบคฑาอย่างวิตกกังวล
กระบี่เหินเวหาเชียวนะ บอกตามตรงเขาก็พอจะคาดหวังอยู่บ้าง
“นี่เป็นครั้งแรกของข้า เจ้าช่วยอ่อนโยนหน่อย…” อันหลินพูดจาไม่เป็นธรรมชาติ
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ที่รัก ข้าจะอ่อนโยนมากๆ เลยล่ะ!” หญิงสาวฉีกยิ้ม ต่อบทสนทนาโดยที่ไม่คิดอะไร
จากนั้นนางก็จงใจยกเลิกคุณสมบัติกันลมของวิชาลี้แสงทันที…
คฑาขนนกสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งสูงขึ้นฟ้าดังฟิ้วปานธนูไฟ
“อ๊ากกกกก…”
คฑาขนนกเหาะเร็วอย่างยิ่ง รอบข้างมีลมคลั่งพัดหวีดหวิว อันหลินที่ยืนอยู่บนคฑาตกใจจนร้องลั่น
เขาแสดงปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ กอดเอวคอดกิ่วอันเนียนนุ่มของสาวน้อยนักเวทย์ที่อยู่ตรงหน้าไว้แน่นทันที
“เพี๊ยะ!”
ฝ่ามือฟาดหน้าโดยตรง หญิงสาวร้องแหวขึ้นมาว่า “ลามก!”
อันหลินปล่อยมือน้ำตาคลอหน่วย
ความเร็วในการเหาะเหินของไม้คฑาเกือบจะเทียบเท่าความเร็วเสียงแล้ว จะไม่ให้เขาร้อนรนได้อย่างไร หัวใจดวงน้อยๆ แทบจะหลุดออกมาแล้ว!
และเมื่อมองลงไป ความสูงที่น่ากลัวนั่นก็ยิ่งทำให้เขาตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง
กระบี่เหินเวหาน่ากลัวจังเลย กระบี่เหินเวหาน่ากลัวจังเลย…
อันหลินรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเมากระบี่บินขึ้นมาแล้ว
เซียนพสุธาเยว่อิ่งที่อยู่เหนือเขตแดน มองอันหลินกับหญิงสาวที่เหาะออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ตกอยู่ในความเงียบ
“นี่มันคู่รักเหาะเหินหรือ อืม แต่รู้สึกว่าลักษณะของทั้งคู่ไม่ค่อยเหมือนกันเลย…”
นางมองสมุดในมือ ด้านบนบันทึกสถิติของนักเรียนแต่ละคน ค่าสถานะของอันหลินมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
อันหลิน ค่าพลัง 120 ค่าความดี 150
หลิ่วเชียนฮ่วน ค่าพลัง 850 ค่าความดี 300
“อันดับปีที่แล้วของหลิ่วเชียนฮ่วน รู้สึกว่าจะอยู่อันดับสี่ หากไม่ใช่เพราะคลั่งไคล้วัตถุจนหมดความทะเยอทะยาน ที่จริงนางสามารถชิงสามอันดับแรกได้ด้วยซ้ำ…ช่างเถอะ ขอแค่พวกเขาสองคนไม่ได้รวมกลุ่มรังแกผู้อื่น ก็ไม่นับว่าทำผิดกฎ ข้าเองก็คร้านจะยุ่งเรื่องพวกนี้เหมือนกัน อืม ตอนนี้พวกเขาก็จวนจะออกจากเขตที่ข้ารับผิดชอบแล้ว ส่งข้อมูลเหล่านี้ให้อาจารย์คนอื่นก่อนก็แล้วกัน…”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งยุ่งมาก นางใช้พลังจิตตรวจสอบสนามรบสิบกว่าแห่งในเขตนี้พร้อมกัน ดังนั้นหลังพวกอันหลินเหาะออกไปไกลแล้ว นางจึงไม่ได้สนใจอีกต่อไป
ช่วงนี้จับตามองอันหลินเป็นพิเศษ อันที่จริงนางก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเลย จึงพึงพอใจเป็นอย่างมาก
มีแรงบันดาลใจที่ดียิ่งยวดในสมอง รอนางกลับไป ค่อยยื่นคำร้องให้สำนักดำเนินการ
…
ระหว่างที่เหาะเหิน อันหลินก็รู้ชื่อของสาวน้อยนักเวทย์แล้ว
นางชื่อหลิ่วเชียนฮ่วน เป็นนักเรียนปีสามห้องหนึ่ง
ในขณะเดียวกันนางก็เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาแดนมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน ชื่นชอบวัฒนธรรมความบันเทิงของโลกมนุษย์เป็นล้นพ้น โดยเฉพาะเกมอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับความชอบทางด้านนี้ อันหลินมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งจากเกมลีกออฟเลเจนด์เวอร์ชั่นมือถือของนาง
“รีบดูเร็วเข้า ข้างหน้าก็คือยอดเขาหินนิลดำ!” หลิ่วเชียนฮ่วนร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น
ขณะที่พูด นางก็เพิ่มความเร็วของกระบี่เหินเวหาอีกหนึ่งระดับ
อันหลินมองยอดเขาดำทะมึนดุจน้ำหมึกสูงร่วมร้อยหมี่ที่อยู่เบื้องหน้า น้ำตารื้นขอบตา อุทานในใจว่าในที่สุดก็ถึงสักที
จากประสบการณ์การขี่กระบี่เหินเวหาอันเลวร้ายครั้งแรกนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคกลัวความสูงกับโรคความเร็วไปโดยปริยายแล้ว…
บนยอดเขาหินนิลดำมีเขตที่ราบกว้างนับห้าจั้ง ผิวดินเรียบลื่น ประหนึ่งถูกของมีคมฟันจนเรียบอย่างไรอย่างนั้น
อันหลินกับหลิ่วเชียนฮ่วนลงสู่ยอดเขา กลับพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว
“เขาเป็นยอดฝีมือระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณหรือ” อันหลินจัดผมเผ้าที่ถูกสายลมคลั่งพัดจนเป็นทรงโมฮอก แล้วถามหญิงสาวข้างกายด้วยความประหม่า
ตามหลักแล้ว มีแค่นักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเท่านั้น ที่จะมีปัญญาขึ้นมาถึงยอดเขาแห่งนี้ได้
แต่อันหลินกลับรู้สึกถึงพลังกายแห่งมรรคขั้นแปด จากร่างกายของคนคนนั้น ถึงได้ถามเช่นนี้
หลิ่วเชียนฮ่วนส่ายหน้า พูดว่า “เขามีพลังยุทธ์แค่กายแห่งมรรคขั้นแปด น่าแปลก ข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน…”
ขณะนั้นเอง ชายที่ทำสมาธิอยู่ตรงนั้นก็ลืมตาขึ้น มองมาทางอันหลินกับหลิ่วเชียนฮ่วน
รูปลักษณ์ภายนอกของเขาเหมือนชายหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้า รูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง ดวงตาสุกใสเป็นที่สุด
ชายหนุ่มลุกขึ้น ยกสองมือขึ้นเสมออก ก้มตัวคำนับอันหลินกับหลิ่วเชียนฮ่วน
อันหลินเห็นดังนั้นก็คำนับกลับ ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายจากชายหนุ่มคนตรงหน้านี้เลยแม้แต่นิด
สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉย พูดเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าอย่าทำร้ายข้าเลย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
อันหลิน “…”
หลิ่วเชียนฮ่วน “…”
ต่อมา ชายหนุ่มก็ล้วงเชือกเส้นหนาหนึ่งมัดออกมา คล้องบนเสาสีขาวที่เขาใช้วิชาเซียนสร้างขึ้นมา
เสาปักลงดิน จากนั้นเขาก็จับเชือกแล้วค่อยๆ ไถลลงไป
อันหลินกับหลิ่วเชียนฮ่วนมองร่างที่จากไปอย่างไม่สะทกสะท้านของชายหนุ่ม ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบ
“ข้ารู้สึกว่าเขาพิลึกยิ่งนัก” ผ่านไปครู่ใหญ่ อันหลินก็พูดขึ้นมา
หลิ่วเชียนฮ่วนพยักหน้าเห็นด้วย แค่กายแห่งมรรคขั้นแปดก็สามารถขึ้นมาทำสมาธิบนยอดเขาหินนิลดำได้ ก็นับว่าแปลกมากแล้ว
ใต้ยอดเขาหินนิลดำ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ซวยนัก ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาสถานที่เงียบสงบเจอ…”
ขณะนั้นเอง หญิงสาวหน้าตาสะสวย มือถือกระบี่เปลวอัคคีคนหนึ่ง ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“สวีเสี่ยวหลาน ปีหนึ่งห้องหนึ่ง ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
ชายหนุ่มชะงักก่อน จากนั้นก็ทำหน้าขมขื่น “เฉินเฉิน ปีห้าห้องหนึ่ง จะว่าไปศิษย์น้องสวีเสี่ยวหลาน เจ้าปล่อยข้าไปได้หรือไม่”
“ข้าจะเพิ่มค่าความดี ฉะนั้นต้องขออภัยด้วย ศิษย์พี่เฉินเฉิน”
หลังสวีเสี่ยวหลานพูดจบ ก็ยกกระบี่เปลวอัคคีฟันไปทางเฉินเฉินอย่างไม่ปราณี
แสงกระบี่เปลวเพลิงร้อนระอุพุ่งออกจากกระบี่ ประชิดตัวในพริบตา ฟันเฉินเฉินเป็นสองท่อนทันที
จากนั้น ร่างของเฉินเฉินที่ถูกฟังเป็นสองท่อนก็กลายเป็นไอหมอกสีขาว หายลับไปต่อหน้าต่อตานาง
สวีเสี่ยวหลานตกใจกับฉากตรงหน้าจนสะดุ้งโหยง ร่างกับกลิ่นอายของชายหนุ่มคนนั้นหายไปหมดสิ้น เสมือนไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
“น่าแปลก หรือจะเป็นคาถาหลบลี้อันวิเศษ” สวีเสี่ยวหลานทำหน้าสงสัย
ชายคนนั้นมีระดับพลังยุทธิ์แค่กายแห่งมรรคขั้นแปด แต่กลับหนีไปต่อหน้าต่อตานางได้อย่างไร้ร่องรอย มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
หลังยอดเขาที่ไกลออกไปจากสวีเสี่ยวหลานหนึ่งร้อยจั้ง มีไอหมอกปรากฏขึ้นกะทันหัน
จากนั้น ร่างของเฉินเฉินก็เดินออกมาจากไอหมอก
“เฮ้อ เสียพลังชีวิตไปเปล่าๆ ซวยยิ่งนัก…” เฉินเฉินทอดถอนหายใจ
เหนือเขตแดนขึ้นไป ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนน้ำเต้า กำลังหรี่ตามองชายหนุ่มข้างล่างอย่างฉงนสนเท่ห์
ในสมุดของเขา มีข้อมูลค่าสถานะของเฉินเฉิน
เฉินเฉิน ค่าพลัง ??? ค่าความดี 0
สวีเสี่ยวหลาน ค่าพลัง 260 ค่าความดี 160
“จะว่าไปเจ้าหนุ่มเฉินเฉินคนนี้ มีระดับกายแห่งมรรคขั้นแปดตั้งแต่เข้าเรียน จนบัดนี้จวนห้าปีแล้ว ยังคงเป็นกายแห่งมรรคขั้นแปดเช่นเดิม…อีกอย่างเขาก็เข้าร่วมศึกแห่งอิสรภาพหลายครั้งแล้ว ไม่เคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นเลยสักครั้ง แม้นักเรียนระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณมาหาเรื่อง ก็สามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดายอย่างอื่นไม่ว่า ฝีมือหลบหนีนับว่าชั้นหนึ่ง”
ชายชราพยักหน้าเงียบๆ คิดในใจว่าสมกับเป็นลูกศิษย์ที่ผู้เที่ยงแท้ให้ความสำคัญ แต่ละคนล้วนน่าสนใจถึงปานนี้
ในบรรดาศิษย์ห้าหมื่นคนของสำนัก ผู้ที่มีจดหมายรับรองจากผู้เที่ยงแท้มีเพียงห้าคน
นอกจากนักเรียนสามคนของปีหนึ่งแล้ว มีคนหนึ่งที่คว้าอันดับหนึ่งของอันดับเซียนและคนสุดท้ายก็คือเฉินเฉิน
“หวังว่าเจ้าจะลงมือสักครั้ง คงไม่ซุ่มเงียบไม่เป็นที่รู้จักไปจนจบเช่นนี้หรอกนะ”
ชายชรามองเฉินเฉินที่อยู่ข้างล่างด้วยใบหน้าเปี่ยมความคาดหวัง เอื้อนเอ่ยเสียงเบา
………………………………..
Related