“แย่แล้ว สุนัขกินคนแล้ว!”
“แถมยังเขมือบทั้งเป็นด้วย โหดเหี้ยมปานนี้เชียวหรือ!”
นักเรียนร่วมหมื่นคนจ้องสุนัขสีขาวในจอตัวนั้นไม่วางตา
หญิงสาวงดงามดั่งบุปผา ต้องมาตายอย่างน่าเวทนาในท้องของสัตว์ร้ายเช่นนี้ ทำให้จนบัดนี้พวกเขาก็ยังสงบสติอารมณ์ไม่ได้
“พวกเขาเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ลงมือล่ะ”
“สุนัขตัวนั้นประหลาดเหลือเกิน ข้าคิดว่ามันนี่แหละเป็นลาสบอสของกิจกรรมนี้!”
“ฉะนั้นแล้ว มีใครลุกขึ้นมาอธิบายหน่อยได้ไหมว่า หมาตัวนี้มันอย่างไรกันแน่”
ทุกคน “…”
ขณะที่ทุกคนปิดปากเงียบ ภาพเหตุการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เห็นสุนัขสีขาวตัวนั้นอ้าปากกว้าง แสงทองสาดออกมา แลดูทรงพลังน่าหวาดเกรง
“บัดซบ หมาตัวนี้พ่นแสงสีทองได้ด้วย!”
เหล่านักเรียนตกตะลึงอีกครั้ง!
“ไม่สิ มันน่าจะเป็นแสงทองของยันต์ประเมินผลแพ้รบ…”
บางคนเริ่มได้สติ ในใจพวกเขามีข้อสันนิษฐานบางอย่างแล้ว
…
ในป่าพันยอด ตอนที่อันหลินเห็นต้าไป๋พ่นแสงสีทอง ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารู้ว่าการทดลองสำเร็จแล้ว!
นี่เป็นคำร้องขอของสวีเสี่ยวหลาน ต้าไป๋จึงเขมือบนางลงไป
ในสงครามก่อนหน้านี้ อันที่จริงสวีเสี่ยวหลานใช้พลังปราณหงส์สวรรค์ในร่างกายจนหมดสิ้นแล้ว และยากที่จะฟื้นฟูได้ในเวลาอันสั้น
ซึ่งก็คือ นางได้สำแดงด้านที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาให้อาจารย์บนเขตแดนเห็นแล้ว
สวีเสี่ยวหลานไม่มีพลังแห่งปราณ ไม่สามารถปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้แล้ว การต่อสู้ในครั้งต่อไปรังแต่จะทุกข์ทรมาน สู้ออกไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า
ด้วยเหตุนี้ ต้าไป๋จึงใช้วิชาเขมือบ กลืนสวีเสี่ยวหลานลงไปในคราวเดียว
เมื่อลงไปอยู่ในท้องต้าไป๋แล้ว ด้วยสาเหตุที่พลังของนางไม่อาจทลายได้ และพลังชีวิตในร่างกายของนาง ก็ถูกต้าไป๋ดูดไปอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นทางตันอย่างแท้จริง!
ยันต์ประเมินผลแพ้รบจึงถูกกระตุ้นให้ทำงานด้วยประการฉะนี้
แสงทองสว่างวาบ สวีเสี่ยวหลานไม่ต้องถูกทำร้ายอีกต่อไป ไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว
วิธีนี้ได้ผลดีอย่างเหนือความคาดหมาย!
อันหลินลูบคางเบาๆ ท่าทางครุ่นคิด
“ต้าไป๋ ขออะไรเจ้าอย่างสิ”
“เรื่องอะไรหรือ”
“หากข้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งมาก เจ้าก็เขมือบข้าเข้าไปเลย!”
ต้าไป๋ “…”
หลังสวีเสี่ยวหลานจากไปแล้ว อันหลินก็ขี่สุนัขเหาะเหิน ออกเดินทางอีกครั้ง
…
ณ จัตุรัสหยกขาว หลังแสงทองสว่างวาบแล้ว ก็มีร่างสูงระหงของสวีเสี่ยวหลานปรากฏขึ้น
ตามมาด้วยพลังรักษาสมานอันเลิศล้ำของค่ายกล เริ่มรักษาแผลกระบี่ฟันของนาง
“ช่างเป็นผลการรักษาที่ยิ่งใหญ่เสียจริง!”
ใบหน้างดงามผุดผ่องของสวีเสี่ยวหลานมีความตกใจ อาการของนางฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ชั่วยามก็คงจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ขณะนั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาทของนาง
“ศิษย์น้องสวี ยินดีด้วยที่เกิดใหม่ในท้องสุนัข!”
ชายคนหนึ่งแสดงสีหน้าเห็นใจ แต่ก็อวยพรด้วยความจริงใจเช่นกัน
“ศิษย์น้องสวี เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
คราวนี้ หญิงสาวอีกคนก็เอ่ยปาก
“นั่นสิ มีชีวิตอยู่สำคัญที่สุด ก็แค่ถูกหมาตัวหนึ่งเขมือบก็เท่านั้น ไม่มีอะไรน่าอายหรอก!”
นักเรียนอีกคนพูดปลอบใจ
ต่อมา นักเรียนนับไม่ถ้วนก็จ้องนางด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ให้กำลังใจนางด้วยน้ำเสียงเอาใจใส่
สวีเสี่ยวหลาน “…”
…
หนึ่งชั่วยามผ่านไป นักเรียนที่ยังต่อสู้ในป่าพันยอด มีไม่ถึงร้อยคนแล้ว
ระหว่างนี้ นอกจากทุกคนจะให้ความสนใจกับการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งหล่อเลี้ยงวิญญาณไม่กี่คนแล้ว สิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ การต่อสู้ของอันหลิน
อันหลินกับต้าไป๋โบยบินบนท้องฟ้าอย่างอิสระ เมื่อพบศัตรูก็จะทะยานลงจากฟ้า กระโจนเข้าไป
รู้จักวิชาหมัดที่พุ่งมาจากฟากฟ้าหรือไม่
หมัดสะเทือนขุนเขา!
เมื่อหมัดสีทองกระแทกลงมา ก็คือเวลาแห่งการเริ่มต้นฝันร้ายของศัตรู
ไม่พูดไม่ได้ว่า รูปแบบการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์อย่างคนหมาร่วมมือกัน ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
ผู้แข็งแกร่งติดอันดับเซียนมากเหลือคณานับ ประสบกับความโหดเหี้ยม ‘สิ้นชีพ’ กันระนาว
อันหลินกับต้าไป๋ อาศัยผลการรบที่ทะนงองอาจอย่างยิ่ง สร้างชื่อเสียง ได้รับสมญานามอันสะเทือนเลือนลั่น!
ฉายานี้เป็นที่พูดกันปากต่อปากในหมู่นักเรียนนับหมื่นชีวิต ทรงพลังยิ่งนัก
ฉายานั้นคือก็ คู่หูมนุษย์สุนัข!
….
“รีบดูเร็วเข้า! ผู้แข็งแกร่งติดอันดับเซียนถูก ‘คู่หูมนุษย์สุนัข’ หมายหัวอีกแล้ว!”
“หา ครั้งนี้ใครเคราะห์ร้ายดวงซวยขนาดนั้นอีกล่ะ”
“โจวชิงอวิ๋นอันดับที่เก้าสิบสองของสำนัก!”
“เสร็จกัน อ่อนแอปานนี้…ข้าคิดว่าเขาต้องถูกหมัดพิฆาตแสงทองคว่ำในหมัดเดียวเป็นแน่”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ข้าคิดว่าเขาน่าจะทนจนถึงท่าที่สองสุนัขหมอบได้!”
นักเรียนพากันวิจารณ์กันเซ็งแซ่ บรรยากาศเดือดพล่านกว่าปกติ
เพราะการลงมือของอันหลินกับต้าไป๋ จะมีชุดกระบวนท่าพื้นฐาน ดังนั้นเหล่านักเรียนจึงพากันตั้งชื่อท่าให้พวกเขา จากนั้นคาดเดาว่าคู่ต่อสู้จะยืนหยัดได้กี่ท่า…
ในป่าพันยอด โจวชิงอวิ๋นถือกระบี่เยื้องย่าง เขาเอาชนะนักเรียนกายแห่งมรรคขั้นสิบไปสิบเอ็ดคนแล้ว เจตจำนงกระบี่สั่งสมจนถึงระดับที่น่ากลัวอย่างมหันต์
ต่อให้คู่ต่อสู้แข็งแกร่งแล้วอย่างไร แค่ข้ายื่นกระบี่ออกไป ก็สามารถกวาดล้างศัตรูตัวฉกาจได้แล้ว!
“อันหลิน ปีหนึ่งห้องหนึ่ง ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
มีเสียงแว่วมากจากท้องนภา
โจวชิงอวิ๋นทอดมองไปบนฟ้า รู้สึกถึงลมปราณอันยิ่งใหญ่ ตะโกนลั่นว่า “มาได้สวย โจวชิงอวิ๋น ปีสี่ห้องสอง! ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
หมัดสีทองพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ประหนึ่งยอดเขาไท่ซาน ลอยลงมาจะทับโจวชิงอวิ๋น
“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นพลังเซียนที่เลิศล้ำนัก แต่แม้จะเป็นพลังเซียนนับหมื่น ข้าก็สามารถจัดการได้ในกระบี่…พรืด!”
คำว่า ‘เดียว’ ของโจวชิงอวิ๋นยังไม่ทันออกจากปาก อุ้งมือแห่งสายลมที่ก่อตัวจากอากาศก็กระแทกเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างจัง
ปึก!
ตอนที่เขาถูกอุ้งมือลมโจมตี กำปั้นสีทองขนาดมหึมาก็เข้ามาประชิดเขา อานุภาพอันน่ากลัวซัดจนเขาล้มลงไปในพริบตา
โจวชิงอวิ๋นกระอักเลือก แต่สายตากลับแน่วแน่ “ปล่อยพลังเซียนสองครั้งออกมาพร้อมกัน อันหนึ่งในที่แจ้ง อีกอันในที่ลับ ร้ายกาจ!”
“แต่แล้วอย่างไรเล่า ข้าย่อมจัดการได้ในกระบี่…พรืด!”
มีร่างใหญ่โตมโหฬารลอยลงมาจากฟ้า ทับตัวเขาไว้อย่างสิ้นเชิง พละกำลังมหาศาลทำให้เขากระอักเลือดอีกครั้ง
โจวชิงอวิ๋นรู้สึกหน้ามืดตาลาย เขาเห็นร่างขนาดใหญ่ปรากฎอยู่ตรงหน้า เมื่อเพ่งมองไปถึงได้รู้ว่าคู่ต่อสู้ของตนไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสุนัขตัวใหญ่งั้นหรือ
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
สุนัขสีขาวส่งยิ้มชั่วร้ายให้เขาด้วยงั้นหรือ
ไม่รอให้เขาทราบมูลเหตุที่แท้จริง ร่างมนุษย์ก็กระโดดลงมาจากหลังสุนัข!
ฟิ้ว!
ร่างนั้นรวดเร็วยิ่งนัก มาอยู่ตรงหน้าเขาในเสี้ยววินาที จากนั้นก็รัวหมัดใส่เขาประหนึ่งสายลมสายฝนคลั่ง…
โจวชิงอวิ๋นถูกหมัดอันน่ากลัวชกจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ว่า “ช้า…ช้าก่อน!”
อันหลินได้ยินคำพูดของโจวชิงอวิ๋นก็หยุดการโจมตี มองเขาด้วยความฉงน “รุ่นพี่ เป็นอะไรไป ไม่สู้ต่อแล้วหรือ”
โจวชิงอวิ๋นได้ยินประโยคนี้ ก็แทบจะทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา
ให้ข้า ‘สู้ต่อ’ อะไรกัน นี่มัน ‘ถูกเจ้าชกต่อ’ ชัดๆ…
“สหายอันหลินกล้ารับกระบี่ของข้าไหม”
โจวชิงอวิ๋นพูดอย่างยากลำบาก
กระบี่ของเขาสั่งสมเจตจำนงมาเนิ่นนาน หากสิ้นสุดการต่อสู้ทั้งที่ยังไม่ได้ปล่อยออกมา เขายอมไม่ได้!
อันหลินได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ทำหน้าแปลกพิลึก “ท่านราศีกันย์หรือ”
โจวชิงอวิ๋น “…”
อันหลินเห็นอากัปกิริยาของโจวชิงอวิ๋นก็ส่งยิ้มน่ามองให้ “ท่าทางศิษย์พี่จะไม่ตั้งใจเรียนวิชาแดนมนุษย์นะ”
โจวชิงอวิ๋นยังคงทำหน้างุนงง
อันหลินพูดอย่างระอาใจว่า “เอาเถอะๆ ยอมให้เจ้ายื่นกระบี่ออกมาก็ได้”
เขารู้ว่าหากอาการย้ำคิดย้ำทำไม่ได้รับการระบายออกมาอย่างเหมาะสม จะอัดอั้นตันใจตายได้!
ในที่สุดโจวชิงอวิ๋นก็ฟังประโยคสุดท้ายของอันหลินออกสักที!
เขายิ้มบางๆ พูดขอบคุณว่า “เช่นนั้น ต้องขอบคุณศิษย์น้องอันหลินด้วย”
ต้าไป๋ขยับร่างที่ทับเขาออก อันหลินก็เริ่มถอยหลังช้าๆ ยกพื้นที่ให้เขา
โจวชิงอวิ๋นลิงโลดดีใจ รู้ว่าโอกาสในการพลิกกระดานของเขามาถึงแล้ว!
แม้ตอนนี้เขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่เขายังคงมีความมั่นใจว่าจะกำราบศัตรูได้ในกระบี่เดียว!
เขาอยากตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น ทว่ากลับพบว่าสองเท้าสั่นเทิ้ม ไม่อาจลุกขึ้นได้อีกแล้ว…
เขาอยากใช้มือชักกระบี่ แต่พบว่ามือของตัวเองก็ถูกต้าไป๋ทับจนไร้ความรู้สึกไปชั่วคราวแล้วเช่นกัน…
โจวชิงอวิ๋นสั่นระริกไปทั้งตัว ไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นท่าทางของโจวชิงอวิ๋น อันหลินกับต้าไป๋ก็สบตากัน
“คือว่า…รุ่นพี่ ต้องการให้ช่วยเหลือไหม” อันหลินเอ่ยถามอย่างห่วงใย
น้ำตาหยดหนึ่งค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตาของโจวชิงอวิ๋นช้าๆ เช่นเดียวกับความเจ็บปวดของเขาที่ไม่อาจปิดบังได้
“อืม ต้องการให้ช่วยเหลือ ศิษย์น้องอันหลินลงมือต่อ ให้แสงทองคุ้มกันของข้าออกมาเถอะ…” .
………………………….
Related