นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่จางหยูเข้ามาในโกลาหลนภา ครั้งแรกเข้ามาผ่านโกลาหลภายนอก ตอนนั้นเขายังเห็นไห่อู่เซิงเป็นผู้นำของโกลาหลอยู่ ไห่อู่เซิงคอยสั่งการราชาหลายสิบคนเพื่อช่วยกันเลื่อนระดับโกลาหลนภาขึ้นมา
ครั้งที่สองคือตัวตนของไห่อู่เซิงถูกเปิดเผยออกมา เขากับซุนเหยียนและเสี่ยวเสียได้ร่วมมือกันต่อสู้กับไห่อู่เซิง จนพวกเขาต้องหลบหนีไป
และนี่เป็นครั้งที่สามที่จางหยูได้เข้ามาเผชิญหน้ากับไห่อู่เซิงเพียงลำพัง แต่ความแข็งแกร่งทั้งสองฝั่งกลับสลับกัน
“ เจ้าบอกข้าได้รึไม่ว่าทำไม ?” ไห่อู่เซิงถามขึ้นมา
เขาเคยแต่สร้างความสิ้นหวังให้กับคนอื่น แต่ครั้งนี้กลับเป็นเขาเองที่ต้องรู้สึกแบบนั้น จางหยูรู้ว่าไห่อู่เซิงจะถามอะไร เขาพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ สำหรับเจ้าแล้ว จ้าวโกลาหลคือระดับที่เจ้าไล่ตามทั้งชีวิต แต่สำหรับข้าแล้วไม่ว่าจะเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลรึจ้าวโกลาหลต่างก็เป็นแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น เป้าหมายของข้ายังอยู่ไกลกว่านี้…”
ไห่อู่เซิงคิ้วขมวด “ ข้าไม่เข้าใจ”
“ มันไม่สำคัญถึงเจ้าจะไม่เข้าใจก็ตาม เจ้าแค่ต้องรู้ว่าเจ้าต้องตาย ” จางหยูพูดขึ้น
ไห่อู่เซิงกำหมัดแน่นและสูดหายใจเข้าลึกๆ “หากข้ายอมแพ้ล่ะ ?” เขาเงยหน้าขึ้นมองจางหยู “ หากข้ายอมผูกจิตกับเจ้า เจ้าจะยอมปล่อยข้าไปรึไม่ ?”
แม้แต่ตอนนี้ไห่อู่เซิงก็ยังไม่อยากตาย
เขายอมเสียทุกอย่างเพื่อขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล
เมื่อเขาเกือบขึ้นไปถึงขั้นนั้นได้เขาจะยอมตายง่ายๆได้ยังไง ?
“ขอโทษด้วย แต่เจ้าต้องตาย ” จางหยูและไห่อู่เซิงไม่ได้มีความแค้นต่อกัน เขาถึงกับชื่นชมไห่อู่เซิง แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องฆ่าไห่อู่เซิง
“ ทำไมล่ะ? เมื่อเจ้าปล่อยข้าไปได้ ทำไมเจ้าถึงไม่ปล่อยข้าไป ?”
ไห่อู่เซิงถามขึ้นมา “ ซุนเหยียนก็ฆ่าผู้คนไม่น้อยไปกว่าข้าเลย !”
จางหยูพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ ใช่ ซุนเหยียนฆ่าผู้คนไม่น้อยไปว่าเจ้า แต่เป้าหมายของซุนเหยียนไม่ใช่เพื่อทำลายโกลาหล…”
ซุนเหยียนผูกจิตกับจางหยู เป็นธรรมดาที่จางหยูจะรู้ความคิดของซุนเหยียน
“ อีกอย่างที่ซุนเหยียนสังหารผู้ควบคุม ต้นเหตุก็มาจากเจ้า” จางหยูพูดขึ้น “ หากไม่มีเจ้า ซุนเหยียนจะฆ่าคนได้ยังไง? ”
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เหตุผลที่แท้จริงก็คือแค่ฆ่าไห่อู่เซิง จางหยูก็มั่นใจได้ว่าโกลาหลจะปลอดภัยจากการทำลายล้างได้จริงๆ ตราบใดที่ไห่อู่เซิงยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไร แต่โกลาหลก็จะเข้าสู่การทำลายล้าง จิตสุสานจะยังคงอยู่ ยังไงซะไห่อู่เซิงก็คือต้นตอของปราณสุสาน ต้นกำเนิดหายนะแบบนี้มีแต่ต้องลบทิ้งไป
“ ให้โอกาสข้าไม่ได้จริงๆรึ ?” ไห่อู่เซิงเหมือนจะลองเสี่ยงโชค
จางหยูทำลายความหวังของไห่อู่เซิงทันที “ ข้าให้เจ้าเลือกวิธีตายได้”
ไห่อู่เซิงเงียบไปก่อนจะก้มหน้าราวกับคนตาย “ เจ้าลงมือเถอะ”
จางหยูพูดขึ้น “ เจ้าเลิกคิดเถอะ เมื่อไม่มีสุสานคอยสนับสนุน เจ้าคิดว่าด้วยพลังของเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ? รึเจ้าคิดว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของเจ้าจะรอดพ้นจากการรับรู้ของจ้าวโกลาหลได้ ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นไห่อู่เซิงก็ไม่ได้แปลกใจ พลังในฝ่ามือได้สลายไปทันที
เขารู้ว่าเขาไม่มีโอกาสจริงๆ ! ทำไมไม่ใช่ตัวเขาที่ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลแต่กลับเป็นจางหยู ?
ไห่อู่เซิงไม่อาจจะเข้าใจได้ เขามีทั้งโกลาหลนภาและสุสานสวรรค์ แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับจางหยู ?
จางหยูแผ่จิตผู้สร้างออกไปผนึกตัวไห่อู่เซิงเอาไว้ จิตผู้สร้างอันน่ากลัวที่ไห่อู่เซิงไม่อาจจะขัดขืนได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อรู้สึกได้ถึงจิตผู้สร้างที่กักขังตัวเองอยู่ ไห่อู่เซิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก
จางหยูไม่ได้ลบไห่อู่เซิงไปทันทีแต่กลับขังไห่อู่เซิงเอาไว้และพูดขึ้นมาช้าๆ “ ข้าอยากรู้ว่าตัวตนของเจ้าเป็นเช่นไร ? เจ้าเป็นการทำลายล้างและความตายรึ ?หรือว่าเป็นจิตที่กำเนิดขึ้นมาจากจิตผู้สร้างที่หลงเหลือจากการตายของจ้าวโกลาหล ?”
“ ข้าจะตายอยู่แล้ว ตัวตนของข้าสำคัญตรงไหนกัน ?” แม้ว่าไห่อู่เซิงจะขยับไม่ได้แต่ก็ยังสื่อสารทางวิญญาณได้ “ คำตอบของเจ้าได้ตัดสินวิธีตายของเจ้า หากเจ้าไม่อยากเจ็บตัวก็จงตอบตามความจริง “ จางหยูพูดขึ้น
ไห่อู่เซิงลังเล เขาใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบกลับได้ “ ข้าไม่ใช่แค่การทำลายล้างและความตาย แต่คือจิตที่กำเนิดขึ้นมาจากจิตผู้สร้างที่หลงเหลือจากจ้าวโกลาหล”
“ เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
“ การทำลายล้างและความตายคือความว่างเปล่า มันคือสถานะที่ไม่มีอยู่จริงแต่มันมีตัวตน หลังจากที่จ้าวโกลาหลได้ตายไป จิตที่หลงเหลือของเขาก็ปนเปื้อนด้วยการทำลายล้างและความตาย สุดท้ายก็ให้กำเนิดข้าขึ้นมา”
ไห่อู่เซิงพูดต่อ “ เพราะจิตผู้สร้างอยู่ระดับทัดเทียมกับจ้าวโกลาหล ข้าจึงใช้ชื่อไห่อู่เซิง ข้าคือตัวแทนชีวิตของจ้าวโกลาหล…อีกครึ่งคือความตาย”
นี่คือตัวตนของเขา นอกจากนี้แล้วเขาก็มีตัวตนเพื่อภารกิจ !
“เจ้ารู้ความจริงเรื่องการตายของจ้าวโกลาหลได้อย่างไร ?” จางหยูถามขึ้นมา
จ้าวโกลาหลโดนผึ้งต่อยซึ่งมีแค่ซุนเหยียนและต้นไม้โกลาหลเท่านั้นที่รู้ แต่ไห่อู่เซิงรู้ได้ยังไง ?
“ เพราะจ้าวโกลาหลตายแปลกประหลาดเกินไป แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่จิตของเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ “
“ ข้าเกิดขึ้นมาจากจิตที่หลงเหลืออยู่ของเขา ข้าได้สืบทอดความแค้นนี้” ไห่อู่เซิงพูดขึ้น
พูดตามตรงแล้วไห่อู่เซิงคือจิตส่วนหนึ่งของจ้าวโกลาหล
เมื่อได้ยินแบบนั้นจางหยูก็ตระหนักได้ถึงปัญหาที่กวนใจเขามาตลอด สุดท้ายมันก็ได้รับคำอธิบาย
“ คำถามสุดท้าย “ จางหยูถามขึ้นมา “ เจ้าเอาร่างซุนเหยียนไป ชัดแล้วว่ามีโอกาสบ่มเพาะในทางปกติ อนาคตเจ้าก็ยังมีหวังขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ แล้วทำไมเจ้าถึงต้องใช้วิธีนี้ ? แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้เจ้าก้าวหน้าได้เร็ว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะก่อให้เกิดความสับสน แม้แต่พื้นฐานก็ยังโดนทำลายไปด้วย”
ไห่อู่เซิงเงียบไปชั่วครู่แล้วหัวเราะออกมา “ หากข้าเลือกได้ ทำไมข้าจะไม่บ่มเพาะตามปกติ ?”
“ เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
“ ข้าบอกไปแล้วว่าครึ่งหนึ่งของข้าคือจิตที่หลงเหลืออยู่ด้วยความแค้น อีกส่วนหนึ่งคือการทำลายล้าง การทำลายล้างคือภารกิจของข้า หากข้ายังต่อต้านสัญชาตญาณนี้ งั้นจิตของข้าก็จะสลาย นอกซะจากว่าข้าขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ วิญญาณและจิตผู้สร้างรวมถึงจิตของตัวเองได้ยกระดับขึ้นมา งั้นข้าก็ไม่อาจจะต่อต้านมันได้ ข้าไม่กล้าต่อต้านสัญชาตญาณนี้ด้วย “
เขาเหมือนจะมีสองทางเลือกแต่อันที่จริงแล้วเขาไม่มีทางเลือกเลยแม้แต่น้อย เส้นทางหนึ่งคือความตาย เขาจึงได้แต่เลือกอีกเส้นทาง
เพราะแบบนี้ไห่อู่เซิงจึงถือว่าเป็นคนน่าสงสาร
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ไห่อู่เซิงก็หงุดหงิดขึ้นมา “ เจ้าคิดว่ามันเป็นความผิดของข้าที่ต้องเกิดการทำลายล้าง ! แต่เจ้าลองคิดดูดีๆ แม้ว่าข้าจะไม่ทำอะไรแต่โกลาหลก็จะโดนทำลายอยู่ดี !ทำไมข้าถึงทำสิ่งดีๆให้กับตัวเองในขั้นตอนการทำลายไม่ได้ ? หากการทำลายล้างโกลาหลได้สร้างจ้าวโกลาหลคนใหม่ขึ้นมา งั้นมันก็คุ้มค่า !”
จางหยูส่ายหน้า “ เจ้าเหมือนจะหลงลืมไปว่าเจ้าคือตัวแทนการทำลายล้าง !”
“ เจ้าคือต้นเหตุของการทำลายล้าง…”
หากไห่อู่เซิงเกิดมาและคิดสละตัวเอง งั้นบางทีก็อาจจะช่วยโกลาหลได้
แน่นอนว่าความคิดนี้มีแต่ความเจ็บปวด
จางหยูไม่คิดว่าไห่อู่เซิงจะยอมสละตัวเองเพื่อช่วยทั้งโกลาหลเอาไว้ ในทางกลับกันแล้วหากยืนอยู่ในจุดของไห่อู่เซิง ไม่แน่ว่าคนอื่นๆก็อาจจะทำแบบเขา จางหยูเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
“ เจ้ามีอะไรจะขอรึไม่ ?” จางหยูถอนหายใอจอกมา “ หากไม่มีแล้วข้าจะส่งเจ้าไปตามวิถี”
หลังจากที่เงียบไปสักพัก ไห่อู่เซิงก็หลับตาแล้วพูดขึ้น “ ข้าหวังว่า…เจ้าจะระวังผึ้งนั่นไว้ให้ดี”
ครั้งที่สองคือตัวตนของไห่อู่เซิงถูกเปิดเผยออกมา เขากับซุนเหยียนและเสี่ยวเสียได้ร่วมมือกันต่อสู้กับไห่อู่เซิง จนพวกเขาต้องหลบหนีไป
และนี่เป็นครั้งที่สามที่จางหยูได้เข้ามาเผชิญหน้ากับไห่อู่เซิงเพียงลำพัง แต่ความแข็งแกร่งทั้งสองฝั่งกลับสลับกัน
“ เจ้าบอกข้าได้รึไม่ว่าทำไม ?” ไห่อู่เซิงถามขึ้นมา
เขาเคยแต่สร้างความสิ้นหวังให้กับคนอื่น แต่ครั้งนี้กลับเป็นเขาเองที่ต้องรู้สึกแบบนั้น จางหยูรู้ว่าไห่อู่เซิงจะถามอะไร เขาพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ สำหรับเจ้าแล้ว จ้าวโกลาหลคือระดับที่เจ้าไล่ตามทั้งชีวิต แต่สำหรับข้าแล้วไม่ว่าจะเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลรึจ้าวโกลาหลต่างก็เป็นแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น เป้าหมายของข้ายังอยู่ไกลกว่านี้…”
ไห่อู่เซิงคิ้วขมวด “ ข้าไม่เข้าใจ”
“ มันไม่สำคัญถึงเจ้าจะไม่เข้าใจก็ตาม เจ้าแค่ต้องรู้ว่าเจ้าต้องตาย ” จางหยูพูดขึ้น
ไห่อู่เซิงกำหมัดแน่นและสูดหายใจเข้าลึกๆ “หากข้ายอมแพ้ล่ะ ?” เขาเงยหน้าขึ้นมองจางหยู “ หากข้ายอมผูกจิตกับเจ้า เจ้าจะยอมปล่อยข้าไปรึไม่ ?”
แม้แต่ตอนนี้ไห่อู่เซิงก็ยังไม่อยากตาย
เขายอมเสียทุกอย่างเพื่อขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล
เมื่อเขาเกือบขึ้นไปถึงขั้นนั้นได้เขาจะยอมตายง่ายๆได้ยังไง ?
“ขอโทษด้วย แต่เจ้าต้องตาย ” จางหยูและไห่อู่เซิงไม่ได้มีความแค้นต่อกัน เขาถึงกับชื่นชมไห่อู่เซิง แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องฆ่าไห่อู่เซิง
“ ทำไมล่ะ? เมื่อเจ้าปล่อยข้าไปได้ ทำไมเจ้าถึงไม่ปล่อยข้าไป ?”
ไห่อู่เซิงถามขึ้นมา “ ซุนเหยียนก็ฆ่าผู้คนไม่น้อยไปกว่าข้าเลย !”
จางหยูพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ ใช่ ซุนเหยียนฆ่าผู้คนไม่น้อยไปว่าเจ้า แต่เป้าหมายของซุนเหยียนไม่ใช่เพื่อทำลายโกลาหล…”
ซุนเหยียนผูกจิตกับจางหยู เป็นธรรมดาที่จางหยูจะรู้ความคิดของซุนเหยียน
“ อีกอย่างที่ซุนเหยียนสังหารผู้ควบคุม ต้นเหตุก็มาจากเจ้า” จางหยูพูดขึ้น “ หากไม่มีเจ้า ซุนเหยียนจะฆ่าคนได้ยังไง? ”
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เหตุผลที่แท้จริงก็คือแค่ฆ่าไห่อู่เซิง จางหยูก็มั่นใจได้ว่าโกลาหลจะปลอดภัยจากการทำลายล้างได้จริงๆ ตราบใดที่ไห่อู่เซิงยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไร แต่โกลาหลก็จะเข้าสู่การทำลายล้าง จิตสุสานจะยังคงอยู่ ยังไงซะไห่อู่เซิงก็คือต้นตอของปราณสุสาน ต้นกำเนิดหายนะแบบนี้มีแต่ต้องลบทิ้งไป
“ ให้โอกาสข้าไม่ได้จริงๆรึ ?” ไห่อู่เซิงเหมือนจะลองเสี่ยงโชค
จางหยูทำลายความหวังของไห่อู่เซิงทันที “ ข้าให้เจ้าเลือกวิธีตายได้”
ไห่อู่เซิงเงียบไปก่อนจะก้มหน้าราวกับคนตาย “ เจ้าลงมือเถอะ”
จางหยูพูดขึ้น “ เจ้าเลิกคิดเถอะ เมื่อไม่มีสุสานคอยสนับสนุน เจ้าคิดว่าด้วยพลังของเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ? รึเจ้าคิดว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของเจ้าจะรอดพ้นจากการรับรู้ของจ้าวโกลาหลได้ ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นไห่อู่เซิงก็ไม่ได้แปลกใจ พลังในฝ่ามือได้สลายไปทันที
เขารู้ว่าเขาไม่มีโอกาสจริงๆ ! ทำไมไม่ใช่ตัวเขาที่ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลแต่กลับเป็นจางหยู ?
ไห่อู่เซิงไม่อาจจะเข้าใจได้ เขามีทั้งโกลาหลนภาและสุสานสวรรค์ แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับจางหยู ?
จางหยูแผ่จิตผู้สร้างออกไปผนึกตัวไห่อู่เซิงเอาไว้ จิตผู้สร้างอันน่ากลัวที่ไห่อู่เซิงไม่อาจจะขัดขืนได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อรู้สึกได้ถึงจิตผู้สร้างที่กักขังตัวเองอยู่ ไห่อู่เซิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก
จางหยูไม่ได้ลบไห่อู่เซิงไปทันทีแต่กลับขังไห่อู่เซิงเอาไว้และพูดขึ้นมาช้าๆ “ ข้าอยากรู้ว่าตัวตนของเจ้าเป็นเช่นไร ? เจ้าเป็นการทำลายล้างและความตายรึ ?หรือว่าเป็นจิตที่กำเนิดขึ้นมาจากจิตผู้สร้างที่หลงเหลือจากการตายของจ้าวโกลาหล ?”
“ ข้าจะตายอยู่แล้ว ตัวตนของข้าสำคัญตรงไหนกัน ?” แม้ว่าไห่อู่เซิงจะขยับไม่ได้แต่ก็ยังสื่อสารทางวิญญาณได้ “ คำตอบของเจ้าได้ตัดสินวิธีตายของเจ้า หากเจ้าไม่อยากเจ็บตัวก็จงตอบตามความจริง “ จางหยูพูดขึ้น
ไห่อู่เซิงลังเล เขาใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบกลับได้ “ ข้าไม่ใช่แค่การทำลายล้างและความตาย แต่คือจิตที่กำเนิดขึ้นมาจากจิตผู้สร้างที่หลงเหลือจากจ้าวโกลาหล”
“ เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
“ การทำลายล้างและความตายคือความว่างเปล่า มันคือสถานะที่ไม่มีอยู่จริงแต่มันมีตัวตน หลังจากที่จ้าวโกลาหลได้ตายไป จิตที่หลงเหลือของเขาก็ปนเปื้อนด้วยการทำลายล้างและความตาย สุดท้ายก็ให้กำเนิดข้าขึ้นมา”
ไห่อู่เซิงพูดต่อ “ เพราะจิตผู้สร้างอยู่ระดับทัดเทียมกับจ้าวโกลาหล ข้าจึงใช้ชื่อไห่อู่เซิง ข้าคือตัวแทนชีวิตของจ้าวโกลาหล…อีกครึ่งคือความตาย”
นี่คือตัวตนของเขา นอกจากนี้แล้วเขาก็มีตัวตนเพื่อภารกิจ !
“เจ้ารู้ความจริงเรื่องการตายของจ้าวโกลาหลได้อย่างไร ?” จางหยูถามขึ้นมา
จ้าวโกลาหลโดนผึ้งต่อยซึ่งมีแค่ซุนเหยียนและต้นไม้โกลาหลเท่านั้นที่รู้ แต่ไห่อู่เซิงรู้ได้ยังไง ?
“ เพราะจ้าวโกลาหลตายแปลกประหลาดเกินไป แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่จิตของเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ “
“ ข้าเกิดขึ้นมาจากจิตที่หลงเหลืออยู่ของเขา ข้าได้สืบทอดความแค้นนี้” ไห่อู่เซิงพูดขึ้น
พูดตามตรงแล้วไห่อู่เซิงคือจิตส่วนหนึ่งของจ้าวโกลาหล
เมื่อได้ยินแบบนั้นจางหยูก็ตระหนักได้ถึงปัญหาที่กวนใจเขามาตลอด สุดท้ายมันก็ได้รับคำอธิบาย
“ คำถามสุดท้าย “ จางหยูถามขึ้นมา “ เจ้าเอาร่างซุนเหยียนไป ชัดแล้วว่ามีโอกาสบ่มเพาะในทางปกติ อนาคตเจ้าก็ยังมีหวังขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ แล้วทำไมเจ้าถึงต้องใช้วิธีนี้ ? แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้เจ้าก้าวหน้าได้เร็ว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะก่อให้เกิดความสับสน แม้แต่พื้นฐานก็ยังโดนทำลายไปด้วย”
ไห่อู่เซิงเงียบไปชั่วครู่แล้วหัวเราะออกมา “ หากข้าเลือกได้ ทำไมข้าจะไม่บ่มเพาะตามปกติ ?”
“ เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
“ ข้าบอกไปแล้วว่าครึ่งหนึ่งของข้าคือจิตที่หลงเหลืออยู่ด้วยความแค้น อีกส่วนหนึ่งคือการทำลายล้าง การทำลายล้างคือภารกิจของข้า หากข้ายังต่อต้านสัญชาตญาณนี้ งั้นจิตของข้าก็จะสลาย นอกซะจากว่าข้าขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ วิญญาณและจิตผู้สร้างรวมถึงจิตของตัวเองได้ยกระดับขึ้นมา งั้นข้าก็ไม่อาจจะต่อต้านมันได้ ข้าไม่กล้าต่อต้านสัญชาตญาณนี้ด้วย “
เขาเหมือนจะมีสองทางเลือกแต่อันที่จริงแล้วเขาไม่มีทางเลือกเลยแม้แต่น้อย เส้นทางหนึ่งคือความตาย เขาจึงได้แต่เลือกอีกเส้นทาง
เพราะแบบนี้ไห่อู่เซิงจึงถือว่าเป็นคนน่าสงสาร
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ไห่อู่เซิงก็หงุดหงิดขึ้นมา “ เจ้าคิดว่ามันเป็นความผิดของข้าที่ต้องเกิดการทำลายล้าง ! แต่เจ้าลองคิดดูดีๆ แม้ว่าข้าจะไม่ทำอะไรแต่โกลาหลก็จะโดนทำลายอยู่ดี !ทำไมข้าถึงทำสิ่งดีๆให้กับตัวเองในขั้นตอนการทำลายไม่ได้ ? หากการทำลายล้างโกลาหลได้สร้างจ้าวโกลาหลคนใหม่ขึ้นมา งั้นมันก็คุ้มค่า !”
จางหยูส่ายหน้า “ เจ้าเหมือนจะหลงลืมไปว่าเจ้าคือตัวแทนการทำลายล้าง !”
“ เจ้าคือต้นเหตุของการทำลายล้าง…”
หากไห่อู่เซิงเกิดมาและคิดสละตัวเอง งั้นบางทีก็อาจจะช่วยโกลาหลได้
แน่นอนว่าความคิดนี้มีแต่ความเจ็บปวด
จางหยูไม่คิดว่าไห่อู่เซิงจะยอมสละตัวเองเพื่อช่วยทั้งโกลาหลเอาไว้ ในทางกลับกันแล้วหากยืนอยู่ในจุดของไห่อู่เซิง ไม่แน่ว่าคนอื่นๆก็อาจจะทำแบบเขา จางหยูเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
“ เจ้ามีอะไรจะขอรึไม่ ?” จางหยูถอนหายใอจอกมา “ หากไม่มีแล้วข้าจะส่งเจ้าไปตามวิถี”
หลังจากที่เงียบไปสักพัก ไห่อู่เซิงก็หลับตาแล้วพูดขึ้น “ ข้าหวังว่า…เจ้าจะระวังผึ้งนั่นไว้ให้ดี”