จางหยูและซุนเมิ่งได้ลงไปนั่งบนลานหิน เสี่ยวเสียและเสี่ยวหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนไหล่ของจางหยู โดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
หลังจากซุนเมิ่งนั่งลงแล้วนางก็เริ่มพูดขึ้นมา พลังกัดกร่อนของโกลาหลนั้นลดลงกว่าเดิมอีกร้อยล้านเท่า ระดับความถดถอยก็เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของทุกคนก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
แม้ว่าพลังกัดกร่อนจะไม่ดีต่อผู้คนโดยเฉพาะในเขตหวงห้ามที่แม้แต่ผู้ควบคุมขั้น 9 ก็ยังไม่กล้าจะแตะต้องมัน แต่พลังกัดกร่อนนี้แทนถึงพลังชีวิตของโกลาหล ยิ่งพลังกัดกร่อนแข็งแกร่งเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสนับสนุนให้โกลาหลอยู่ได้นานเท่านั้น
ถ้าพลังกัดกร่อนของโกลาหลถือว่าเป็นพลังชนิด งั้นก็เรียกมันว่าพลังโกลาหลก็ได้ ดังนั้นความแข็งแกร่งและอ่อนแอของพลังโกลาหล ก็หมายถึงสภาพของโกลาหล
เมื่อพลังโกลาหลลดลงอย่างต่อเนื่อง มันก็หมายความว่าสภาพของโกลาหลย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ และอัตราในการเสื่อมก็เพิ่มมากขึ้น
ดูเหมือนว่าเราต้องเร่งมือแล้วล่ะ เราต้องพัฒนาโกลาหลนภาให้กลายเป็นโกลาหลโดยเร็วที่สุด ชายแก่หนวดขาวคนหนึ่งแสดงสีหน้าหนักใจออกมา หากการทำลายล้างเกิดขึ้น แต่โกลาหลนภายังไม่พัฒนา ตอนนั้นเราไม่มีที่ให้อยู่แน่
การสร้างโกลาหลจริงๆขึ้นมานั้นถือว่าเป็นงานที่ใช้เวลานานอย่างมาก
จางหยูมองไปที่ชายคนนั้นสักพัก เขารู้สึกว่าตัวตนของชายแก่ผู้นี้น่ะโดดเด่น แม้ว่าจะเป็นราชากันทุกคนแต่ราชาคนอื่นๆดูจะเคารพชายแก่คนนี้มาก ความเคารพนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งรึฐานะแต่เป็นความเคารพที่บริสุทธิ์
ซุนเมิ่งแอบมองไปที่จางหยู เมื่อเห็นว่าจางหยูมองไปที่ชายแก่คนนั้น นางก็แนะนำทันที นี่คือคนที่ข้าเคยพูดกับท่านมาก่อน เขาคือคนที่เคยเข้าไปในสุสานและรอดกลับมา เขาเป็นหัวหน้าของ 9 บรรพชน เขาคือตัวตนที่เก่าแก่ที่สุดในโกลาหล เจ้าเรียกเขาว่า…บรรพชนกระดูกก็ได้ สำหรับชื่อจริงๆของเขาแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้
บรรพชนกระดูกรึ ? จางหยูรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของชายคนนี้ไม่ธรรมดา เขาได้ถามขึ้น เขาแกร่งแค่ไหน ?
ซุนเมิ่งไม่คิดเลยว่าจางหยูจะถามเช่นนี้ออกมา นางคิดสักพักแล้วตอบกลับ แกร่งอย่างมาก !
เมื่อได้ยินแบบนั้นจางหยูก็สนใจขึ้นมา แค่ไหนกัน ?
ปกติแล้วมันไม่ได้มีความแตกต่างที่ชัดเจน แต่เขาเข้าไปในสุสานสวรรค์และได้รับทักษะกลับมา ซุนเมิ่งพูดขึ้น มันทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าราชาคนอื่นๆ แม้จะไม่รู้ว่ามากแค่ไหนแต่ก็ตัดสินได้ว่าเขาคนเดียวสามารถสู้กับราชา 3 คนได้โดยไม่มีปัญหา นางสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อ เพราะเขากับราชาสามคนเคยประมือกันแล้ว ราชาสามคนไม่อาจจะทำอะไรเขาได้
จางหยูยักคิ้ว ความแข็งแกร่งของชายแก่ผู้นี้แทบจะทัดเทียมกับเขา
ยิ่งกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้ปกปิดความแข็งแกร่งไว้เพียงใด หากเขาปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้ งั้นความแข็งแกร่งที่แท้จริงอาจจะเหนือกว่าจางหยู
นอกจากบรรพชนกระดูก แล้วมีราชาคนอื่นที่ได้ทักษะกลับมาไหม ? จางหยูถามขึ้นมา
ซุนเมิ่งพยักหน้า มี
ใครกัน ?
นอกจากบรรพชนกระดูกแล้วก็ยังมีอีกสองคนที่เข้าไปในสุสานแล้วได้ทักษะกลับมา ซุนเมิ่งพูดขึ้น หนึ่งในนั้นคือปู่ของข้า เขาได้ทักษะเกี่ยวกับการโจมตีทางสติ อีกคนคือตัวข้าเองแต่โชคร้ายที่ข้าได้เรียนรู้ทักษะแยกร่างซึ่งถือว่าเป็นทักษะเสริม
ปู่เจ้าสู้กับราชาหลายคนไหวรึไม่ ? จางหยูไม่กล้าดูถูก
ซุนเมิ่งส่ายหน้า แม้ปู่ข้าจะได้เรียนรู้ทักษะระดับสูงมา แต่มันไม่ได้ทรงพลังเท่ากับทักษะที่บรรพชนกระดูกได้มา ข้าได้ยินปู่บอกมาว่า อย่างมากเขาก็รับมือกับราชา 2 คนได้ แต่ก็ยังเสียเปรียบอยู่…
ทักษะระดับสูงเหมือนกันแต่บรรพชนกระดูกกลับแข็งแกร่งกว่าซุนซิง และซุนซิงก็แข็งแกร่งกว่าซุนเมิ่ง
ดูเหมือนว่าความแตกต่างของทักษะนั้นจะเพิ่มความแข็งแกร่งที่ต่างกันไป ทักษะเหล่านี้อยู่ระดับเดียวกันแต่ผลของมันกลับต่างกัน มันก็เหมือนกับตวนมู่หลินที่ได้ทักษะคำสาปมา แม้ว่าผลของมันในการต่อสู้จะช่วยได้เล็กน้อยแต่ใครกันจะกล้าดูถูกคำสาปนี้กัน?
พลังของมันไม่ได้ด้อยกว่าทักษะอื่นๆ
ซุนเมิ่งได้เรียนรู้ทักษะแยกร่างมา มันช่วยให้นางขึ้นมาเป็นราชาได้ การที่นางแยกร่างไปเกิดใหม่ที่โลกอื่นนั้นทำให้นางพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่งั้นแล้วนางอาจจะใช้เวลามากกว่านี้เป็นสิบเท่ารึร้อยเท่าหรืออาจจะพันเท่า
ผลของทักษะพวกนี้สูงจนไม่มีใครกล้าดูถูก
ทักษะโจมตีเหมือนกันแต่มีพลังต่างกัน ความแข็งแกร่งของบรรพชนกระดูกสูงกว่าซุนซิงอย่างมาก… จางหยูพึมพำ ดูเหมือนว่าบรรพชนกระดูกจะได้เรียนรู้ทักษะที่ดีมา !
ต้องรู้ก่อนว่าซุนซิงมีทักษะที่ส่งผลต่อสติ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ยังไงซะสติก็สำคัญมากกว่าจิตผู้สร้าง มันคือแก่นหลักของผู้สร้าง แต่ทักษะระดับสูงแบบนี้กลับมีพลังน้อยกว่าทักษะของบรรพชนกระดูก มันเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของบรรพชนกระดูกนั้นสูงแค่ไหน
หากไม่ได้เจอกันรึเป็นมิตรต่อกัน จางหยูคงท้าสู้กับอีกฝ่ายไปแล้วเพื่อดูว่าทักษะนั้นเป็นยังไง
จางหยูในสภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้เจ้าคงเข้าใจ ตอนนี้จากสถานการณ์ของโกลาหลแล้วเราต้องเร่งมือ เราไม่อาจวางใจได้ เขาบอกกับจางหยู ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยเราด้วย
จางหยูพยักหน้าและพูดขึ้น การทำลายล้างของโกลาหลนั้นไม่อาจจะมีใครหลีกหนีได้ ดังนั้นเพื่อสร้างโกลาหลใหม่ขึ้นมา ทุกคนก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ
เรื่องบรรพกาลนั้นเขาไม่อยากเปิดเผยออกมา เขาจะไม่บอกให้คนพวกนี้รู้
แม้ว่าทุกคนจะต้อนรับเขาอย่างเป็นมิตรแต่ใครจะไปรู้ว่าทุกคนเป็นมิตรต่อเขาจริงรึไม่ ? จางหยูไม่ได้อคติต่อพวกนี้แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกนี้จะไม่ได้อคติต่อเขา สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้อยู่กันมาหลายล้านปีแล้วรึอาจจะสิบล้านปี ความคิดจริงๆของพวกนี้ไม่มีทางที่จางหยูจะมองออกได้ง่ายๆ
ยอดเยี่ยม หากเช่นนั้นข้าจะไม่พูดอะไรมาก บรรพชนกระดูกพูดขึ้น
เมื่อพูดจบเขาก็แผ่จิตผู้สร้างและพลังสร้างเข้าไปในเสาแสงใจกลางลาน
คนที่เหลือไม่สนใจและพากันช่วยแผ่พลังออกมา
ข้าจะลองดู จางหยูเรียนรู้จากคนรอบตัวแล้วแผ่จิตผู้สร้างที่มีพลังสร้างอันแข็งแกร่งเข้าไปในเสาแสง
ตอนนั้นอยู่ๆ บรรพชนกระดูกก็ลืมตาขึ้นและมองจางหยูด้วยความแปลกใจราวกับว่ารับรู้ได้ถึงบางอย่าง
ราชาคนที่เหลือไม่รู้ตัวเลย
มีอะไรรึ ? จางหยูรับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายจึงยิ้มและถามขึ้นมา
น่าแปลกใจที่เจ้าแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ บรรพชนกระดูกอุทานออกมา หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ข้าคงยากที่จะเชื่อว่านี่คือพลังของราชา …หากข้ามองไม่ผิดเสี่ยวหยู เจ้ามีทักษะระดับสูงใช่รึไม่ ? มันน่าเหลือเชื่อที่ไม่ได้ใช้ทักษะระดับสูงแต่กลับมีความแข็งแกร่งเช่นนี้
ฮ่าฮ่า ถูกต้อง จางหยูยิ้มออกมาแต่ในใจเขากลับตะลึง ชายแก่คนนี้ยังไม่ได้ประมือกับเขาแต่รับรู้ความแข็งแกร่งของเขาได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือชายแก่รับรู้ความแข็งแกร่งของเขาได้ แต่เขาไม่อาจจะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้ เขารับรู้ความแข็งแกร่งของราชาทั่วไปได้แต่ไม่อาจจะมองชายแก่ออก ชายคนนี้ต้องมีบางอย่างปิดบังเอาไว้ที่แม้แต่เขาก็ยังมองระดับไม่ออก