“ ท่านพี่ ท่านพาเขาไปในโกลาหลนภามารึ ?” ซุนวูถามขึ้นมา
“ ข้าไปที่นั่นมาแล้ว ” ซุนเมิ่งมองไปที่ตำแหน่งที่จางหยูหายตัวไปด้วยท่าทีสลด สักพักนางถึงละสายตากลับมาและตอบซุนวู
“ แล้ว…พวกเขาว่ายังไงกันบ้าง ?” ซุนวูแสดงท่าทีอิจฉาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ในฐานะผู้นำวิหารแต่ไม่เคยไปที่โกลาหลนภามาก่อนเลย
ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ ก็ทักทายทั่วไปแต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอื่น”
“ แล้วเจ้าล่ะ ?” ซุนวูถามขึ้นมา “ เจ้าจะอยู่ที่โกลาหลนี้ต่อรึไม่ ?”
เขากับซุนเมิ่งไม่เคยแยกจากกันนาน เขาจึงไม่เต็มใจเท่าไหร่
ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ ตอนนี้ข้าไม่ได้รีบร้อนไปไหน เมื่ออาจารย์จะเดินทาง ข้าจะไปกับเขาอีกครั้ง”
สำหรับซุนเมิ่งแล้ว โลกอวี๋ฮุ่นไม่ได้น่าสนใจนัก นางอยากมีเวลาอยู่กับจางหยูให้มากกว่านี้
โชคร้ายที่ตัวตนของนางนั้นพิเศษ นางไม่อาจจะหาข้อแก้ตัวเพื่อไปอยู่กับจางหยูได้
ซุนเมิ่งส่ายหน้าก่อนจะบอกกับซุนวู “ อีกไม่นานข้าจะกลับไปยังโกลาหลนภา มันมีบางอย่างที่ข้าควรจะบอกเจ้า…”
นางเล่าเรื่องโกลาหลนภาให้กับซุนวูและยังให้ซุนวูจับตาดูโกลาหลเอาไว้
“ เจ้าไม่อาจจะเกียจคร้านได้ เจ้าต้องจับตาดูเอาไว้ ” ซุนเมิ่งพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ นี่คือเรื่องของส่วนรวม และเพื่อความปลอดภัยของโกลาหลนภาด้วย เจ้าไม่อาจจะประมาทได้”
หลังจากได้ยินที่ซุนเมิ่งบอก ซุนวูก็หนักใจไปตาม เขาแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “ ข้าจะระวัง ” …
“ถึงโลกนภาใต้แล้ว “ จางหยูบังคับพาหนะมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกของโลกนภาใต้ “ หงอี แล้วพบกันใหม่ ”
หงอีเดินออกจากพาหนะอย่างไม่เต็มใจ นางอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงไป
จางหยูเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ เจ้ามีอะไรรึ ?”
หงอีลังเลก่อนจะถามขึ้นมา “ ก่อนที่ท่านกับซุนเมิ่งจะจากไป ข้าได้ยินจ้านเทียนเกอและคนอื่นๆพูดถึงสุสาน ท่านบอกข้าได้รึไม่ว่าท่านจะไปยังสุสานแห่งนั้นรึ ?”
จางหยูแปลกใจ เขาไม่คิดว่าหงอีจะรู้เรื่องนี้ด้วย
“ ข้าคิดแบบนั้น ” จางหยูเงียบสักพักก่อนจะยอมรับตามจริง
“ ไม่ไปได้รึไม่?” หงอีกังวลขึ้นมา “ สุสานนั้นอันตรายอย่างมาก แม้แต่ราชาตะวันออกก็ยังต้องตาย แม้ว่าท่านจะแข็งแกร่งกว่าราชาตะวันออก แต่ท่านอาจจะต้านทานอันตรายในสุสานไม่ได้….”
จางหยูพูดด้วยรอยยิ้ม “ ขอบคุณที่ห่วงข้า ” หลังจากที่ขอบคุณแล้วน้ำเสียงของจางหยูก็เปลี่ยนไป “ แต่สุสานนั้นมีความลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของโกลาหล ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีความสามารถเพียงพอ แต่เมื่อขึ้นมาเป็นราชาแล้ว ข้าก็ต้องไป” จางหยูไม่ได้สนใจว่าโกลาหลจะเป็นอย่างไร แต่เขาไม่อยากให้โลกขั้นที่ 9 ที่อยู่ในความทรงจำของเขาต้องถูกทำลาย
“ มันเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของโกลาหลรึ ?” หงอีตะลึง
“ ข้าไม่น่าจะบอกเจ้าเรื่องนี้แต่เมื่อเจ้าสงสัย ข้าจะเล่าให้ฟัง ” จางหยูพูดขึ้น “ อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อนโกลาหลก็เริ่มตกต่ำลงไป เจ้าจำที่ข้าได้คัมภีร์ของราชาตะวันออกมาได้รึไม่ ? มันมีบันทึกอยู่ด้านในคัมภีร์นั้น…”
จางหยูเล่าสถานการณ์ของโกลาหลให้นางฟัง “ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย เจ้ามิอาจแพร่งพรายต่อใครได้ ”
หงอีหวาดกลัวขึ้นมา ในหัวของนางมีแต่ความสับสน
หลังจากนั้นสักพักนางถึงได้สติกลับมาและพูดด้วยสีหน้าหม่น “ ข้าจะไม่บอกใคร ”
“ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะดูดีและไม่มีวี่แววของการทำลายล้าง แต่จะเป็นแบบนี้ได้นานแค่ไหนนั้นไม่มีใครบอกได้ ” จางหยูพูดขึ้น “ วิหารอวี๋ฮุ่นได้รวบรวมราชาและร่วมมือกันในการสร้างโกลาหลนภาขึ้นมา แต่ทว่ามันก็กำเนิดขึ้นมาในโกลาหล มันเป็นส่วนหนึ่งของโกลาหล หากโกลาหลถูกทำลายไป โกลาหลนภาก็ไม่อาจจะหนีรอดไปได้ ดังนั้นจึงมีแค่สองทางที่จะแก้ไขเรื่องนี้ หนึ่งคือหาทางหยุดการทำลายล้าง สองคือทำให้โกลาหลนภากลายเป็นโกลาหลแห่งใหม่ การยกระดับโกลาหลเทียมให้กลายเป็นโกลาหลที่แท้จริงนั้นต้องใช้เวลานานอย่างมาก” จางหยูอยากจะลองทางอื่นเพื่อหยุดการทำลายล้าง แม้ว่าความหวังจะมีน้อยนิดแต่จางหยูก็ยังอยากที่จะลอง
“ แต่…สุสานนั้นอันตรายเกินไป ” หงอียังไม่อยากให้จางหยูเข้าไปในสุสาน
“ มันเป็นเรื่องที่ต้องจัดการ หากข้าไม่ทำและไม่มีใครคิดจะทำ แล้วใครกันที่จะยอมเสียสละ ? ข้าไม่ชินกับการฝากความหวังไว้กับผู้อื่น ” จางหยูพูดขึ้น
“ ยังไงท่านก็จะไปรึ ?”
“ ใช่ ” จางหยูพยักหน้า
หงอีเงียบไปอีกครั้ง
“ หงอี เจ้าไม่ต้องกังวล ” จางหยูยิ้มออกมา “ เมื่อข้ากล้าที่จะไป เป็นธรรมดาที่ข้าจะมั่นใจอยู่บ้างว่าจะดูแลความปลอดภัยของตัวเองได้ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าเป็นคนที่หวงแหนชีวิตอย่างมาก”
หงอีมองไปที่จางหยูด้วยความสงสัย นางรู้สึกว่าจางหยูกำลังปลอบใจนางอยู่ หงอีส่ายหน้าและพูดขึ้น “ หากเป็นเช่นนั้น ท่านพาข้าไปด้วยได้รึไม่ ?”
จางหยูมองไปที่หงอีด้วยความแปลกใจ “ เจ้าก็อยากจะไปด้วยรึ ?”
หงอีตอบกลับโดยไม่ลังเล “ ถูกต้อง !”
“ นี่…” จางหยูแปลกใจอย่างมาก ตอนที่หงอีถามถึงสุสานมันไม่ได้มีความรู้สึกว่านางอยากจะไปที่นั่นเลยแม้แต่น้อย
“ ข้าเสียใจด้วย ข้าเกรงว่าคงไม่อาจจะพาเจ้าไปด้วยได้ “ จางหยูเงียบสักพักแล้วพูดขึ้น “ เจ้าก็รู้ว่าสุสานแห่งนั้นอันตราย ข้าไม่อาจจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้”
จางหยูไม่ได้โง่ เขาจะมองไม่ออกได้ยังไงว่าหงอีนั้นสนใจเขา ?
แต่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับนาง
เขาถึงกับสงสัยว่าควรจะเว้นระยะห่างกับนางในอนาคตเพื่อไม่ให้ทั้งสองต้องเสียเวลา
“ หากท่านไม่พาข้าไปด้วย ข้าจะไปด้วยตัวเอง” หงอีพูดขึ้นมา “ กุญแจสุสานนั้นหายากแต่ข้าจะตั้งรางวัลขึ้นมา ข้าว่าน่าจะพอหาได้”
จางหยูหมดหนทาง หงอีตอนนี้ดูเหมือนว่าจะโง่เง่าจนทำตัวไร้เหตุผล
จางหยูสูดหายใจเข้าลึกๆและมองไปที่หงอี “ หงอี ข้าถือว่าเจ้าเป็นเพื่อน หวังว่าเราจะรักษาความเป็นเพื่อนนี้ไว้ตลอดกาล” คำพูดเขาไม่อาจจะชัดเจนไปกว่านี้ได้แล้ว เพราะหงอีไม่ได้บอกชอบเขาออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจจะปฏิเสธโดยตรงได้ ดูเหมือนว่าเขาจะหลงตัวเองแต่หากไม่พูดอะไรออกไปแล้วเขากลัวว่าหงอีจะคิดว่าเขาชอบนาง
“ เพราะซุนเมิ่งของวิหารอวี๋ฮุ่นรึ ? ” หงอีตัวสั่น หน้าของนางซีดขึ้นมาเล็กน้อย
“ อะไรนะ ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ ไม่มีอะไร” หงอีส่ายหน้าและพูดขึ้นมาด้วยปากที่สั่น “ ในเมื่อท่านบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน งั้นจะมีปัญหาอะไรที่จะพาเพื่อนไปยังสุสานสวรรค์ด้วย?” นางแสร้งทำทีไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจางหยู
นางไม่ยอมแพ้หรอก คู่ครองเช่นจางหยูนั้นหากพลาดไปแล้วนางเกรงว่าทั้งชีวิตคงไม่ได้พบอีก
“ ข้าไปที่นั่นมาแล้ว ” ซุนเมิ่งมองไปที่ตำแหน่งที่จางหยูหายตัวไปด้วยท่าทีสลด สักพักนางถึงละสายตากลับมาและตอบซุนวู
“ แล้ว…พวกเขาว่ายังไงกันบ้าง ?” ซุนวูแสดงท่าทีอิจฉาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ในฐานะผู้นำวิหารแต่ไม่เคยไปที่โกลาหลนภามาก่อนเลย
ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ ก็ทักทายทั่วไปแต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอื่น”
“ แล้วเจ้าล่ะ ?” ซุนวูถามขึ้นมา “ เจ้าจะอยู่ที่โกลาหลนี้ต่อรึไม่ ?”
เขากับซุนเมิ่งไม่เคยแยกจากกันนาน เขาจึงไม่เต็มใจเท่าไหร่
ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ ตอนนี้ข้าไม่ได้รีบร้อนไปไหน เมื่ออาจารย์จะเดินทาง ข้าจะไปกับเขาอีกครั้ง”
สำหรับซุนเมิ่งแล้ว โลกอวี๋ฮุ่นไม่ได้น่าสนใจนัก นางอยากมีเวลาอยู่กับจางหยูให้มากกว่านี้
โชคร้ายที่ตัวตนของนางนั้นพิเศษ นางไม่อาจจะหาข้อแก้ตัวเพื่อไปอยู่กับจางหยูได้
ซุนเมิ่งส่ายหน้าก่อนจะบอกกับซุนวู “ อีกไม่นานข้าจะกลับไปยังโกลาหลนภา มันมีบางอย่างที่ข้าควรจะบอกเจ้า…”
นางเล่าเรื่องโกลาหลนภาให้กับซุนวูและยังให้ซุนวูจับตาดูโกลาหลเอาไว้
“ เจ้าไม่อาจจะเกียจคร้านได้ เจ้าต้องจับตาดูเอาไว้ ” ซุนเมิ่งพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ นี่คือเรื่องของส่วนรวม และเพื่อความปลอดภัยของโกลาหลนภาด้วย เจ้าไม่อาจจะประมาทได้”
หลังจากได้ยินที่ซุนเมิ่งบอก ซุนวูก็หนักใจไปตาม เขาแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “ ข้าจะระวัง ” …
“ถึงโลกนภาใต้แล้ว “ จางหยูบังคับพาหนะมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกของโลกนภาใต้ “ หงอี แล้วพบกันใหม่ ”
หงอีเดินออกจากพาหนะอย่างไม่เต็มใจ นางอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงไป
จางหยูเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ เจ้ามีอะไรรึ ?”
หงอีลังเลก่อนจะถามขึ้นมา “ ก่อนที่ท่านกับซุนเมิ่งจะจากไป ข้าได้ยินจ้านเทียนเกอและคนอื่นๆพูดถึงสุสาน ท่านบอกข้าได้รึไม่ว่าท่านจะไปยังสุสานแห่งนั้นรึ ?”
จางหยูแปลกใจ เขาไม่คิดว่าหงอีจะรู้เรื่องนี้ด้วย
“ ข้าคิดแบบนั้น ” จางหยูเงียบสักพักก่อนจะยอมรับตามจริง
“ ไม่ไปได้รึไม่?” หงอีกังวลขึ้นมา “ สุสานนั้นอันตรายอย่างมาก แม้แต่ราชาตะวันออกก็ยังต้องตาย แม้ว่าท่านจะแข็งแกร่งกว่าราชาตะวันออก แต่ท่านอาจจะต้านทานอันตรายในสุสานไม่ได้….”
จางหยูพูดด้วยรอยยิ้ม “ ขอบคุณที่ห่วงข้า ” หลังจากที่ขอบคุณแล้วน้ำเสียงของจางหยูก็เปลี่ยนไป “ แต่สุสานนั้นมีความลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของโกลาหล ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีความสามารถเพียงพอ แต่เมื่อขึ้นมาเป็นราชาแล้ว ข้าก็ต้องไป” จางหยูไม่ได้สนใจว่าโกลาหลจะเป็นอย่างไร แต่เขาไม่อยากให้โลกขั้นที่ 9 ที่อยู่ในความทรงจำของเขาต้องถูกทำลาย
“ มันเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของโกลาหลรึ ?” หงอีตะลึง
“ ข้าไม่น่าจะบอกเจ้าเรื่องนี้แต่เมื่อเจ้าสงสัย ข้าจะเล่าให้ฟัง ” จางหยูพูดขึ้น “ อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อนโกลาหลก็เริ่มตกต่ำลงไป เจ้าจำที่ข้าได้คัมภีร์ของราชาตะวันออกมาได้รึไม่ ? มันมีบันทึกอยู่ด้านในคัมภีร์นั้น…”
จางหยูเล่าสถานการณ์ของโกลาหลให้นางฟัง “ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย เจ้ามิอาจแพร่งพรายต่อใครได้ ”
หงอีหวาดกลัวขึ้นมา ในหัวของนางมีแต่ความสับสน
หลังจากนั้นสักพักนางถึงได้สติกลับมาและพูดด้วยสีหน้าหม่น “ ข้าจะไม่บอกใคร ”
“ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะดูดีและไม่มีวี่แววของการทำลายล้าง แต่จะเป็นแบบนี้ได้นานแค่ไหนนั้นไม่มีใครบอกได้ ” จางหยูพูดขึ้น “ วิหารอวี๋ฮุ่นได้รวบรวมราชาและร่วมมือกันในการสร้างโกลาหลนภาขึ้นมา แต่ทว่ามันก็กำเนิดขึ้นมาในโกลาหล มันเป็นส่วนหนึ่งของโกลาหล หากโกลาหลถูกทำลายไป โกลาหลนภาก็ไม่อาจจะหนีรอดไปได้ ดังนั้นจึงมีแค่สองทางที่จะแก้ไขเรื่องนี้ หนึ่งคือหาทางหยุดการทำลายล้าง สองคือทำให้โกลาหลนภากลายเป็นโกลาหลแห่งใหม่ การยกระดับโกลาหลเทียมให้กลายเป็นโกลาหลที่แท้จริงนั้นต้องใช้เวลานานอย่างมาก” จางหยูอยากจะลองทางอื่นเพื่อหยุดการทำลายล้าง แม้ว่าความหวังจะมีน้อยนิดแต่จางหยูก็ยังอยากที่จะลอง
“ แต่…สุสานนั้นอันตรายเกินไป ” หงอียังไม่อยากให้จางหยูเข้าไปในสุสาน
“ มันเป็นเรื่องที่ต้องจัดการ หากข้าไม่ทำและไม่มีใครคิดจะทำ แล้วใครกันที่จะยอมเสียสละ ? ข้าไม่ชินกับการฝากความหวังไว้กับผู้อื่น ” จางหยูพูดขึ้น
“ ยังไงท่านก็จะไปรึ ?”
“ ใช่ ” จางหยูพยักหน้า
หงอีเงียบไปอีกครั้ง
“ หงอี เจ้าไม่ต้องกังวล ” จางหยูยิ้มออกมา “ เมื่อข้ากล้าที่จะไป เป็นธรรมดาที่ข้าจะมั่นใจอยู่บ้างว่าจะดูแลความปลอดภัยของตัวเองได้ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าเป็นคนที่หวงแหนชีวิตอย่างมาก”
หงอีมองไปที่จางหยูด้วยความสงสัย นางรู้สึกว่าจางหยูกำลังปลอบใจนางอยู่ หงอีส่ายหน้าและพูดขึ้น “ หากเป็นเช่นนั้น ท่านพาข้าไปด้วยได้รึไม่ ?”
จางหยูมองไปที่หงอีด้วยความแปลกใจ “ เจ้าก็อยากจะไปด้วยรึ ?”
หงอีตอบกลับโดยไม่ลังเล “ ถูกต้อง !”
“ นี่…” จางหยูแปลกใจอย่างมาก ตอนที่หงอีถามถึงสุสานมันไม่ได้มีความรู้สึกว่านางอยากจะไปที่นั่นเลยแม้แต่น้อย
“ ข้าเสียใจด้วย ข้าเกรงว่าคงไม่อาจจะพาเจ้าไปด้วยได้ “ จางหยูเงียบสักพักแล้วพูดขึ้น “ เจ้าก็รู้ว่าสุสานแห่งนั้นอันตราย ข้าไม่อาจจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้”
จางหยูไม่ได้โง่ เขาจะมองไม่ออกได้ยังไงว่าหงอีนั้นสนใจเขา ?
แต่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับนาง
เขาถึงกับสงสัยว่าควรจะเว้นระยะห่างกับนางในอนาคตเพื่อไม่ให้ทั้งสองต้องเสียเวลา
“ หากท่านไม่พาข้าไปด้วย ข้าจะไปด้วยตัวเอง” หงอีพูดขึ้นมา “ กุญแจสุสานนั้นหายากแต่ข้าจะตั้งรางวัลขึ้นมา ข้าว่าน่าจะพอหาได้”
จางหยูหมดหนทาง หงอีตอนนี้ดูเหมือนว่าจะโง่เง่าจนทำตัวไร้เหตุผล
จางหยูสูดหายใจเข้าลึกๆและมองไปที่หงอี “ หงอี ข้าถือว่าเจ้าเป็นเพื่อน หวังว่าเราจะรักษาความเป็นเพื่อนนี้ไว้ตลอดกาล” คำพูดเขาไม่อาจจะชัดเจนไปกว่านี้ได้แล้ว เพราะหงอีไม่ได้บอกชอบเขาออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจจะปฏิเสธโดยตรงได้ ดูเหมือนว่าเขาจะหลงตัวเองแต่หากไม่พูดอะไรออกไปแล้วเขากลัวว่าหงอีจะคิดว่าเขาชอบนาง
“ เพราะซุนเมิ่งของวิหารอวี๋ฮุ่นรึ ? ” หงอีตัวสั่น หน้าของนางซีดขึ้นมาเล็กน้อย
“ อะไรนะ ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ ไม่มีอะไร” หงอีส่ายหน้าและพูดขึ้นมาด้วยปากที่สั่น “ ในเมื่อท่านบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน งั้นจะมีปัญหาอะไรที่จะพาเพื่อนไปยังสุสานสวรรค์ด้วย?” นางแสร้งทำทีไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจางหยู
นางไม่ยอมแพ้หรอก คู่ครองเช่นจางหยูนั้นหากพลาดไปแล้วนางเกรงว่าทั้งชีวิตคงไม่ได้พบอีก