หากโลกขั้นที่ 9 ทั้งหมดล้วนเป็นตัวเร่งการกำเนิดของบรรพกาล งั้นจางหยูก็สามารถควบคุมบรรพกาลเป็นร้อยเป็นพันแห่งหรืออาจจะมากกว่านั้น…หากเขาต้องการ เขาก็สามารถสร้างโลกขึ้นมาได้อีก เมื่อโลกเหล่านั้นขึ้นเป็นโลกขั้นที่ 9 บรรพกาลก็จะกำเนิดขึ้นมาอีก จำนวนของมันอาจจะไร้ขีดจำกัด
จ้าวบรรพกาล ?
การควบคุมบรรพกาลหนึ่งแห่งนั้นเรียกว่าจ้าวบรรพกาล แต่การควบคุมบรรพกาลได้หลายร้อยหรือไม่จำกัดจะเรียกว่าอะไร ?
จางหยูกลัวจนไม่กล้าจะคิดต่อ มันราวกับฝันที่ไม่เป็นจริง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าโลกบรรพกาลและโลกผนึกเทพจะไม่ได้อยู่ในบรรพกาลเดียวกัน ทั้งสองอยู่คนละบรรพกาล มันหมายความว่าจางหยูประเมินโลกตันเถียนต่ำเกินไป โลกตันเถียนนั้นมีขีดความสามารถที่สูงและน่ากลัวกว่าที่เขาคิดเอาไว้
แต่ตอนนี้มีปัญหาหนึ่งที่จางหยูยังแก้ไม่ตก นั่นก็คือ…เขาจะเป็นจ้าวบรรพกาลยังไง?
แม้ว่าตอนนี้จะมีบรรพกาลสองแห่งแต่เขาก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหมื่นเท่า อย่างมากเพราะบรรพกาลทั้งสองแห่ง ทำให้จิตผู้สร้างของเขาเหนือกว่าราชาทั่วไป แต่หากเทียบกับจ้าวบรรพกาลที่แท้จริงแล้วมันยังต่างกันอย่างมาก
เขาต้องคิดหาคำตอบให้ได้ว่าเขาจะก้าวข้ามขอบเขตนี้ขึ้นไปเป็นจ้าวบรรพกาลได้ยังไง ?
เขาต้องรอให้บรรพกาลทั้งสองพัฒนาไปก่อนรึต้องลองอย่างอื่น ?
ตามหลักการแล้วเขาควบคุมบรรพกาลถึงสองแห่ง ก็สามารถเรียกว่าจ้าวบรรพกาลได้แล้ว กระทั่งแข็งแกร่งกว่าจ้าวบรรพกาลทั่วไป แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีพลังของจ้าวบรรพกาลเลย ในบรรพกาลนั้นเขาสามารถควบคุมพลังบรรพกาลได้ แต่ในโกลาหล เขากลับไม่สามารถควบคุมพลังบรรพกาลหรือจะบอกว่าพลังโกลาหลได้ ความหมายก็คือช่องว่างระหว่างเขากับจ้าวบรรพกาลนั้นยังห่างไกลกันมาก
จะต้องทำยังไงถึงจะใช้พลังบรรพกาลได้ ?
จางหยูตรวจสอบพลังบรรพกาลรอบตัวแล้วครุ่นคิด
เขารู้ดีว่ามีแค่การควบคุมพลังบรรพกาลได้ตามใจเท่านั้นที่จะทำให้เขาขึ้นเป็นจ้าวบรรพกาลอย่างแท้จริง
จ้าวโกลาหลควบคุมพลังโกลาหลได้ตามใจรึ? จางหยูคิด
ผ่านไปสักพัก จางหยูก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพราะเขาไม่เคยพบกับจ้าวโกลาหลมาก่อน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจ้าวโกลาหลมีจริงรึไม่
หลังจากครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ไม่ได้คำตอบ เขาก็ออกจากโลกตันเถียนและมุ่งหน้าไปที่โลกป่า จากนั้นก็เดินทางออกสู่โกลาหลภายนอก เขาตรวจสอบโกลาหลรอบตัวเพื่อดูว่ามีความแตกต่างจากบรรพกาลตรงไหน ผ่านไปสักพัก จางหยูก็ดึงการรับรู้กลับมา หลังจากที่เปรียบเทียบกันแล้วเขาก็มั่นใจว่าโกลาหลกับบรรพกาลนั้นเหมือนกัน หากต้องพูดถึงความต่าง งั้นความต่างอย่างเดียวคือพลังโกลาหลนั้นหนาแน่นกว่าพลังบรรพกาลและมีพลังที่แข็งแกร่งกว่า
หากข้าควบคุมพลังบรรพกาลได้โดยไม่ต้องใช้จิตผู้สร้างโลกตันเถียน… จางหยูครุ่นคิดอีกครั้ง งั้นข้าก็สามารถควบคุมพลังของข้าในที่แห่งนี้ได้!
แน่นอนนี่คือความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น
มันมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอยู่อีก นั่นก็คือเขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำยังไงเขาก็ไม่อาจจะควบคุมพลังนั้นได้
หากอยากขึ้นเป็นจ้าวบรรพกาลจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมพลังโกลาหล หากมีวิธีการอื่นที่จะนำพลังบรรพกาลออกมายังโลกภายนอกได้ มันก็จะเหมือนกับการควบคุมพลังโกลาหล
จางหยูไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีการไหน ไม่มีใครตอบคำถามของเขาได้ คนเดียวที่จะตอบเขาได้ก็คือจ้าวโกลาหล ที่บางทีอาจจะตายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องทดสอบด้วยตัวเอง
จริงสิ ทักษะระดับสูง… จางหยูนึกถึงทักษะระดับสูงในสุสาน สามารถเรียกว่าทักษะระดับสูงได้ ก็หมายความว่าจะต้องเหนือกว่าการใช้พลังสร้างทั่วไป หรือนี่อาจจะเป็นวิธีควบคุมพลังโกลาหล?
แม้ว่ามันแค่อาจจะเป็นไปได้แต่ก็มีโอกาส หากจะลองดูก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
คนที่ใช้ทักษะระดับสูงนั้นหาได้ยากมาก จนถึงตอนนี้จางหยูก็รู้จักแค่สี่คนเท่านั้น นั่นก็คือบรรพชนกระดูก, ซุนซิง, ซุนเมิ่งและตวนมู่หลินที่ตายไปแล้ว แม้ว่าทั้งสี่จะไม่เคยแสดงความสามารถในการควบคุมพลังโกลาหล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจางหยูจะทำไม่ได้ เพราะจางหยูได้สร้างบรรพกาลขึ้นมา สถานะของเขานั้นสามารถมองได้ว่าเป็นจ้าวบรรพกาล หรืออาจจะกล่าวได้ว่าจางหยูมีบุคลิกของเทพเซียน สิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือวิถีของเทพเซียน
เมื่อคิดแบบนั้นจางหยูก็พยายามใช้ทักษะแยกร่างออกมา แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้พลังสร้างแต่กลับพยายามควบคุมพลังโกลาหลแทน
ต่อมาก็เกิดฉากที่ทำให้จางหยูต้องตื่นเต้น รอบตัวเขามีคลื่นก่อตัวขึ้นมาก่อนจะรวมตัวกันเป็นร่างมนุษย์ จางหยูได้ทำการแบ่งเศษเสี้ยววิญญาณให้กับร่างแยก ไม่นานร่างแยกก็ถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ
ได้ผล ! จางหยูตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างราบรื่นจนน่าเหลือเชื่อ
ร่างนั้นแผ่คลื่นพลังพิเศษออกมา นอกจากคลื่นพลังของจางหยูแล้ว มันยังมีคลื่นพลังของโกลาหลอยู่ด้วย ราวกับว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดคือระดับการบ่มเพาะของร่างแยกนี้อยู่ระดับหมื่นเท่าไม่ต่างอะไรจากซุนเมิ่งและราชาคนอื่นๆ
สิ่งที่จางหยูใช้ไปนอกจากเศษเสี้ยววิญญาณแล้ว เขาก็ใช้จิตผู้สร้างไปกว่าครึ่ง
จิตผู้สร้างกว่าครึ่งนั้นแม้แต่ในโลกตันเถียนก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นฟูขึ้นมา
แต่จางหยูก็ยังใจเต้นรัว มันหมายความว่าเขาเดาถูก
นี่คือพลังที่แท้จริงของทักษะระดับสูง !
แม้ว่าบรรพชนกระดูก, ซุนเมิ่ง, ตวนมู่หลินและคนอื่นๆจะมีทักษะระดับสูง แต่ไม่มีใครใช้พลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ มีแค่ จางหยู คนเดียวที่ทำได้
แต่หากต้องการใช้พลังที่แท้จริงของมันแล้วก็ต้องใช้จิตผู้สร้างเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจางหยูจะมีจิตผู้สร้างมากกว่าคนทั่วไปสองเท่า แต่ก็เกือบจะไม่พอ เห็นได้ว่าพลังที่ต้องใช้กับทักษะระดับสูงนั้นมากแค่ไหน
ตอนนี้ ข้าถือว่าเป็นจ้าวบรรพกาลแล้วรึ? จางหยูไม่มั่นใจ ตามหลักการแล้ว ถ้าสามารถควบคุมพลังโกลาหลได้ก็เท่ากับว่าได้ก้าวขึ้นไปยังขอบเขตจ้าวโกลาหล แต่ข้ามีทักษะระดับสูงแค่สองอัน.. เขาควบคุมสติอารมณ์ให้ใจเย็น จ้าวโกลาหลน่าจะควบคุมพลังโกลาหลได้อย่างอิสระ ไม่ใช่จำกัดแค่สองอย่าง ?
จางหยูใจเย็นลง เขาเข้าใจแล้วว่าตอนนี้เขายังไม่ใช่จ้าวบรรพกาลที่แท้จริง
มีแค่การควบคุมพลังได้ตามใจเท่านั้นที่เขาจะทัดเทียมกับจ้าวโกลาหลได้
ปัญหาน่าจะเป็นการใช้พลังสร้างระดับสูง จางหยูสลด ตราบใดที่เข้าใจธรรมชาติการใช้พลังสร้างระดับสูง ก็สามารถก้าวเข้าไปในขอบเขตจ้าวโกลาหลได้