จางหยูกังวลว่าไห่อู่เซิงจะลงมือกับซุนเมิ่งและซุนวู ถ้าหากพวกเขาปะทะกัน แล้วไห่อู่เซิงลงมือกับซุนเมิ่งและซุนวู เขาควรจะทำยังไง ?
ด้วยความสามารถในการวางแผนของไห่อู่เซิง จางหยูจึงไม่คิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป ในทางกลับกันแล้ว ไห่อู่เซิงอาจจะลงมือกับสองคนนี้ก็ได้
จางหยู, ซุนเหยียนและเสี่ยวเสียเดินทางตัดผ่านเขตย่อยไปอย่างง่ายดาย ไม่นานพวกเขาก็ตรงไปยังเขตใต้ตอนล่างเพื่อไปยังโลกอวี๋ฮุ่น
ด้วยความเร็วของพวกเขาแล้ว การเดินทางข้ามโกลาหลนี้กินเวลาแค่เพียงชั่วครู่
เมื่อแผ่การรับรู้ออกไป จางหยูก็รู้ว่าสองพี่น้องนั้นอยู่ที่ไหน
ต่อมาจางหยูก็หายตัวเข้าไปในโลก และพบว่าซุนเมิ่งกำลังนั่งอยู่ที่ริมผา ส่วนซุนวูนั้นนั่งอยู่บนต้นไม้พลางเหม่อมองไปยังท้องฟ้าไกล
จางหยู, ซุนเหยียนและเสี่ยวเสียได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของซุนเมิ่ง ทำให้ซุนเมิ่งลุกขึ้นยืนด้วยความยินดีและพูดขึ้นมาว่า “ อาจารย์ ในที่สุดท่าน…” เมื่อพูดได้ครึ่งทางนางก็เห็นซุนเหยียนและเสี่ยวเสีย แต่นางไม่ได้สนใจเสี่ยวเสีย นางกลับมองไปที่ซุนเหยียนแล้วพูดขึ้น “ อาจารย์ คนผู้นี้คือใครกัน ?”
“ เจ้าสำนัก” ในเวลาเดียวกัน ซุนวูก็รับรู้ถึงการมาของพวกเขาและรีบมาทำความเคารพทันที
จางหยูพยักหน้ารับการคำนับของซุนวู ก่อนจะมองไปที่ซุนเมิ่ง “ ข้าขอแนะนำ คนทางซ้ายคือเสี่ยวเสีย คนทางขวาคือซุนเหยียน”
เสี่ยวเสียโบกมือทักทาย “ ไป่หลิง เราได้พบกันอีกแล้ว ”
ซุนเมิ่งแปลกใจนิดๆ “ เจ้าคือเสี่ยวเสียรึ ?” นางสับสนอย่างมาก นางสงสัยว่าทำไมนางถึงไม่อาจจะมองระดับของเสี่ยวเสียออก
“ หึหึ นี่คือร่างใหม่ที่นายท่านสร้างให้กับข้า เขาบอกว่านี่คือร่างบรรพกาล ” เสี่ยวเสียพูดขึ้นมาอย่างภูมิใจ “ อย่ามองหน้าตาที่อัปลักษณ์ของร่างนี้ ถึงยังไงร่างนี้ก็เป็นถึงจ้าวโกลาหล และตอนนี้ข้าก็เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว”
“ กึ่งจ้าวโกลาหลรึ ?” ซุนวูแสดงสีหน้าสับสนออกมา แค่ฟังจากชื่อก็หมายถึงจ้าวโกลาหล
ซุนเมิ่งมองไปที่เสี่ยวเสียด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ เจ้าแกร่งขนาดนั้นเลยรึ ?”
นี่มันผ่านมานานแค่ไหนกัน ?
ครั้งที่แล้วที่พบกัน เสี่ยวเสียอยู่ระดับพันเท่า แต่ตอนนี้กลับก้าวข้ามราชาขึ้นไปเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว
น่าเหลือเชื่อ
เสี่ยวเสียยังไม่ทันได้อวดต่อ ซุนเหยียนก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา “ ไห่อู่เซิงคิดจะลงมือจริงๆ”
จางหยูแสดงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เขาตรวจสอบร่างกายของทั้งคู่และพบจิตผู้สร้างลึกลับที่ผู้อื่นไม่อาจจะตรวจจับได้ หากไม่ขึ้นมาเป็นกึ่งจ้าวโกลาหล งั้นเขาคงไม่อาจจะรับรู้ถึงมันได้
“ อาจารย์ ท่านพูดถึงอะไรกัน ?” ซุนเมิ่งถามขึ้นมา
ซุนวูเองก็สับสน เขาไม่เข้าใจคำพูดของจางหยูและซุนเหยียน
จางหยูคิดสักพักแล้วสร้างมิติแยกส่วนขึ้นมา ก่อนจะมองไปที่ซุนเมิ่งแล้วพูดขึ้น “ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว คงได้เวลาที่เจ้าจะได้รู้ความจริงของเรื่องนี้“
ภายใต้สายตาสงสัยของทั้งสองคน จางหยูก็ค่อยๆเล่าเรื่องจ้าวโกลาหลรวมถึงการที่ซุนเหยียนถูกชิงร่างไป และการที่ซุนเหยียนได้เข้าไปในร่างจิตปนเปื้อน อีกทั้งยังมีเรื่องสุสานสวรรค์กับโกลาหลนภาและเรื่องที่เกี่ยวกับไห่อู่เซิงทั้งหมด จางหยูได้เล่าออกมาโดยไม่ปิดบัง
สุดท้ายจางหยูก็พูดขึ้น “ พวกเจ้าสองคนรวมถึงปู่ของเจ้าคือลูกหลานของจ้าวโกลาหล “
คำพูดของจางหยู ทำให้ทั้งสองพากันตกตะลึง
“ ผู้อาวุโสซุนเหยียน คือร่างแยกของจ้าวโกลาหลและได้กลายเป็นจิตสุสานรึ ?” ซุนเมิ่งอึ้ง “ เราคือทายาทของจ้าวโกลาหลรึ ?”
ซุนเหยียนพูดขึ้นมา “ เด็กน้อย เจ้าเข้าไปในสุสานและได้รับทักษะสร้างร่างเทียมในลานแห่งแรก เจ้าจำได้รึไม่ ? ทักษะนั้นข้าจงใจทิ้งมันไว้ให้กับเจ้า ส่วนผู้ควบคุมขั้นที่ 9 นั้นข้าจงใจให้เขาหลุดออกจากการควบคุม เพื่อที่เจ้าจะได้เข้าใจทักษะนี้ ไม่งั้นแล้วเจ้าคิดจริงๆรึว่าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าแล้ว เจ้าจะเรียนรู้ทักษะนั้นได้ ?”
“ ท่านช่วยข้ารึ ?” ซุนเมิ่งสงสัยมาตลอดว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกัน สุดท้ายนางก็เข้าใจความจริง ซุนเหยียนพยักหน้า “ ไม่ใช่แค่เจ้า แม้แต่ปู่ของเจ้าก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากข้า ถึงได้เรียนรู้ทักษะมาได้ ”
แม้ว่าจะคอยขัดขวางอยู่บ้างแต่ต่อหน้าลูกหลานของร่างหลักแล้ว เขาก็ไม่อาจจะจัดการกับอีกฝ่ายได้
เขาคือร่างแยกของจ้าวโกลาหล ซุนเมิ่งและคนอื่นๆคือลูกหลานของจ้าวโกลาหล ฉะนั้นซุนเมิ่งก็เหมือนเป็นลูกหลานของเขาด้วย
ซุนวูขมวดคิ้วและมองไปที่จางหยูกับซุนเหยียน ก่อนจะพึมพำออกมา “ ท่านพิสูจน์ได้รึไม่ว่าไม่ได้หลอกเรา ?”
เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เชื่อคำพูดของจางหยูและซุนเหยียนในทันที
“ ข้าเชื่อพวกเขา” ซุนเมิ่งพูดขึ้น
“ พี่ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ…” ซุนวูพูดมาได้ครึ่งคำก็เงียบไป “อย่าใช้ความรู้สึกมาตัดสินสิ ”
เสี่ยวเสียมองไปที่ซุนวูด้วยท่าทางไม่พอใจ “ เด็กน้อย นายท่านเห็นแก่สายเลือดของจ้าวโกลาหลในตัวเจ้า และคิดจะช่วยเจ้า เจ้าคิดจริงๆรึว่าตัวเองมีค่ามาก…หากนายท่านคิดร้ายต่อเจ้าจริงๆ แค่ตบเจ้าทีเดียวก็ตายแล้ว ไม่สิ นายท่านไม่ต้องทำแบบนั้นเลย ข้าคนเดียวก็จัดการเจ้าได้ง่ายๆ ”
“ ข้าพูดกับนายของเจ้า ใครใช้ให้เจ้าเห่ากัน ?” ซุนวูพูดขึ้นมา
เสี่ยวเสียพลันโมโหขึ้นมา “ เจ้าว่าใครเห่า ? เชื่อรึไม่ว่าข้าน่ะฆ่าเจ้าได้ !”
จางหยูผลักเสี่ยวเสียให้หลบไป ก่อนจะยิ้มให้กับซุนวู “ ข้าชื่นชมที่เจ้ากล้าสงสัย บางครั้งความจริงก็พบได้จากความสงสัย” เมื่อพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงของจางหยูก็เปลี่ยนไป “ แต่เสี่ยวเสียพูดถูก หากข้าคิดร้ายกับเจ้า ทำไมข้าต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ด้วย ?”
ซุนวูพูดไม่ออก
“ จริงๆแล้วมันง่ายที่จะพิสูจน์ว่าเราไม่ได้โกหก ” จางหยูยิ้มออกมา “ พวกเจ้ามีจิตผู้สร้างของไห่อู่เซิงอยู่ในตัว ตราบใดที่เราดึงมันออกมาได้ เราก็พิสูจน์ได้ว่าเราไม่ได้โกหก”
จางหยูแผ่จิตผู้สร้างออกไปและดึงเอาจิตผู้สร้างของไห่อู่เซิงออกมาจากตัวทั้งสองแล้วพูดขึ้น “ เห็นนี่รึไม่ ? นี่คือจิตผู้สร้างของใคร ซุนเมิ่ง เจ้าเคยพบกับไห่อู่เซิงมาแล้ว เจ้าน่าจะแยกแยะออกได้ว่านี่คือจิตผู้สร้างของใครกัน ?”
“ มันเป็นของไห่อู่เซิงจริงๆ” ซุนเมิ่งตัวสั่น
แทนที่จะลบจิตผู้สร้างนั้น จางหยูกลับผนึกมันไว้
“ ข้าได้แสดงมันชัดเจนแล้ว หากเจ้ายังไม่เชื่อข้า ข้าก็ช่วยไม่ได้” จางหยูพูดขึ้น
หากไม่ได้จริงๆ จางหยูคงได้แต่ใช้ทักษะหลอกลวง ยังไงซะซุนเมิ่งและซุนวูก็ไม่อาจจะต่อต้านได้
ซุนวูสีหน้าบิดเบี้ยวไป “ งั้นเราก็โดนเขาหลอกใช้รึ ? เมื่อเขาใส่จิตนี่กับตัวเรา งั้นเขาก็น่าจะรู้ฐานะของเรามานานแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมบอกพวกเรา ชัดแล้วว่าเขาจะต้องวางแผนบางอย่าง”
บางทีจางหยูอาจจะพูดความจริง ไห่อู่เซิงต้องการสายเลือดของพวกเขา !
“ อาจารย์มาที่นี่เพื่อบอกเราเรื่องนี้แค่นั้นรึ ?” ซุนเมิ่งถามขึ้นมา “ ท่านต้องการให้เราทำอะไรรึไม่ ?”
“ เขาหมายตาพวกเจ้าเอาไว้ แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่ แม้อีกฝ่ายจะมีพลังที่น่ากลัว แต่เราสองคนน่ะแกร่งเพียงพอแล้ว เจ้าไม่ต้องทำอะไร” จางหยูพูดขึ้น
“ สามสินายท่าน รวมข้าด้วย” เสี่ยวเสียรีบพูดขึ้นมา
จางหยูไม่ได้สนใจเสี่ยวเสียและพูดต่อ “ แม้ว่าเจ้าทำอะไรไม่ได้ แต่ก็เผื่อเอาไว้ ข้าไม่อาจจะพาเจ้าไปด้วยได้ เจ้าไปที่สำนักคังเฉียง อย่างน้อยไห่อู่เซิงก็ไม่อาจจะทำอะไรเจ้าได้”
“ ไห่อู่เซิงวางแผนมาดี” ดังนั้นจางหยูต้องระวังตัว
ซุนเมิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ซุนวูเองก็อยากจะไปกับจางหยูและคนอื่นๆ แต่เมื่อเห็นว่าซุนเมิ่งตกลงแล้วเขาก็ไม่อาจจะคัดค้านได้ “ ได้”
จางหยูตั้งใจจะส่งสองคนนี้กลับไปยังสำนักคังเฉียงแต่อยู่ๆเขาก็นึกถึงบางอย่างและพูดขึ้นมา “ ข้ามีวิธีทำให้เจ้ากลายเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลได้ แต่มันต้องใช้เวลาสักพัก เจ้าลองคิดทบทวนดู จากนั้นเจ้าค่อยตอบข้า”
ตอนนี้มีบรรพกาลแค่เพียงสองแห่งในโลกตันเถียน เขาต้องรอให้มีบรรพกาลแห่งที่สามก่อนถึงจะมีจ้าวบรรพกาลคนที่สามขึ้นมา
ด้วยความสามารถในการวางแผนของไห่อู่เซิง จางหยูจึงไม่คิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป ในทางกลับกันแล้ว ไห่อู่เซิงอาจจะลงมือกับสองคนนี้ก็ได้
จางหยู, ซุนเหยียนและเสี่ยวเสียเดินทางตัดผ่านเขตย่อยไปอย่างง่ายดาย ไม่นานพวกเขาก็ตรงไปยังเขตใต้ตอนล่างเพื่อไปยังโลกอวี๋ฮุ่น
ด้วยความเร็วของพวกเขาแล้ว การเดินทางข้ามโกลาหลนี้กินเวลาแค่เพียงชั่วครู่
เมื่อแผ่การรับรู้ออกไป จางหยูก็รู้ว่าสองพี่น้องนั้นอยู่ที่ไหน
ต่อมาจางหยูก็หายตัวเข้าไปในโลก และพบว่าซุนเมิ่งกำลังนั่งอยู่ที่ริมผา ส่วนซุนวูนั้นนั่งอยู่บนต้นไม้พลางเหม่อมองไปยังท้องฟ้าไกล
จางหยู, ซุนเหยียนและเสี่ยวเสียได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของซุนเมิ่ง ทำให้ซุนเมิ่งลุกขึ้นยืนด้วยความยินดีและพูดขึ้นมาว่า “ อาจารย์ ในที่สุดท่าน…” เมื่อพูดได้ครึ่งทางนางก็เห็นซุนเหยียนและเสี่ยวเสีย แต่นางไม่ได้สนใจเสี่ยวเสีย นางกลับมองไปที่ซุนเหยียนแล้วพูดขึ้น “ อาจารย์ คนผู้นี้คือใครกัน ?”
“ เจ้าสำนัก” ในเวลาเดียวกัน ซุนวูก็รับรู้ถึงการมาของพวกเขาและรีบมาทำความเคารพทันที
จางหยูพยักหน้ารับการคำนับของซุนวู ก่อนจะมองไปที่ซุนเมิ่ง “ ข้าขอแนะนำ คนทางซ้ายคือเสี่ยวเสีย คนทางขวาคือซุนเหยียน”
เสี่ยวเสียโบกมือทักทาย “ ไป่หลิง เราได้พบกันอีกแล้ว ”
ซุนเมิ่งแปลกใจนิดๆ “ เจ้าคือเสี่ยวเสียรึ ?” นางสับสนอย่างมาก นางสงสัยว่าทำไมนางถึงไม่อาจจะมองระดับของเสี่ยวเสียออก
“ หึหึ นี่คือร่างใหม่ที่นายท่านสร้างให้กับข้า เขาบอกว่านี่คือร่างบรรพกาล ” เสี่ยวเสียพูดขึ้นมาอย่างภูมิใจ “ อย่ามองหน้าตาที่อัปลักษณ์ของร่างนี้ ถึงยังไงร่างนี้ก็เป็นถึงจ้าวโกลาหล และตอนนี้ข้าก็เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว”
“ กึ่งจ้าวโกลาหลรึ ?” ซุนวูแสดงสีหน้าสับสนออกมา แค่ฟังจากชื่อก็หมายถึงจ้าวโกลาหล
ซุนเมิ่งมองไปที่เสี่ยวเสียด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ เจ้าแกร่งขนาดนั้นเลยรึ ?”
นี่มันผ่านมานานแค่ไหนกัน ?
ครั้งที่แล้วที่พบกัน เสี่ยวเสียอยู่ระดับพันเท่า แต่ตอนนี้กลับก้าวข้ามราชาขึ้นไปเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว
น่าเหลือเชื่อ
เสี่ยวเสียยังไม่ทันได้อวดต่อ ซุนเหยียนก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา “ ไห่อู่เซิงคิดจะลงมือจริงๆ”
จางหยูแสดงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เขาตรวจสอบร่างกายของทั้งคู่และพบจิตผู้สร้างลึกลับที่ผู้อื่นไม่อาจจะตรวจจับได้ หากไม่ขึ้นมาเป็นกึ่งจ้าวโกลาหล งั้นเขาคงไม่อาจจะรับรู้ถึงมันได้
“ อาจารย์ ท่านพูดถึงอะไรกัน ?” ซุนเมิ่งถามขึ้นมา
ซุนวูเองก็สับสน เขาไม่เข้าใจคำพูดของจางหยูและซุนเหยียน
จางหยูคิดสักพักแล้วสร้างมิติแยกส่วนขึ้นมา ก่อนจะมองไปที่ซุนเมิ่งแล้วพูดขึ้น “ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว คงได้เวลาที่เจ้าจะได้รู้ความจริงของเรื่องนี้“
ภายใต้สายตาสงสัยของทั้งสองคน จางหยูก็ค่อยๆเล่าเรื่องจ้าวโกลาหลรวมถึงการที่ซุนเหยียนถูกชิงร่างไป และการที่ซุนเหยียนได้เข้าไปในร่างจิตปนเปื้อน อีกทั้งยังมีเรื่องสุสานสวรรค์กับโกลาหลนภาและเรื่องที่เกี่ยวกับไห่อู่เซิงทั้งหมด จางหยูได้เล่าออกมาโดยไม่ปิดบัง
สุดท้ายจางหยูก็พูดขึ้น “ พวกเจ้าสองคนรวมถึงปู่ของเจ้าคือลูกหลานของจ้าวโกลาหล “
คำพูดของจางหยู ทำให้ทั้งสองพากันตกตะลึง
“ ผู้อาวุโสซุนเหยียน คือร่างแยกของจ้าวโกลาหลและได้กลายเป็นจิตสุสานรึ ?” ซุนเมิ่งอึ้ง “ เราคือทายาทของจ้าวโกลาหลรึ ?”
ซุนเหยียนพูดขึ้นมา “ เด็กน้อย เจ้าเข้าไปในสุสานและได้รับทักษะสร้างร่างเทียมในลานแห่งแรก เจ้าจำได้รึไม่ ? ทักษะนั้นข้าจงใจทิ้งมันไว้ให้กับเจ้า ส่วนผู้ควบคุมขั้นที่ 9 นั้นข้าจงใจให้เขาหลุดออกจากการควบคุม เพื่อที่เจ้าจะได้เข้าใจทักษะนี้ ไม่งั้นแล้วเจ้าคิดจริงๆรึว่าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าแล้ว เจ้าจะเรียนรู้ทักษะนั้นได้ ?”
“ ท่านช่วยข้ารึ ?” ซุนเมิ่งสงสัยมาตลอดว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกัน สุดท้ายนางก็เข้าใจความจริง ซุนเหยียนพยักหน้า “ ไม่ใช่แค่เจ้า แม้แต่ปู่ของเจ้าก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากข้า ถึงได้เรียนรู้ทักษะมาได้ ”
แม้ว่าจะคอยขัดขวางอยู่บ้างแต่ต่อหน้าลูกหลานของร่างหลักแล้ว เขาก็ไม่อาจจะจัดการกับอีกฝ่ายได้
เขาคือร่างแยกของจ้าวโกลาหล ซุนเมิ่งและคนอื่นๆคือลูกหลานของจ้าวโกลาหล ฉะนั้นซุนเมิ่งก็เหมือนเป็นลูกหลานของเขาด้วย
ซุนวูขมวดคิ้วและมองไปที่จางหยูกับซุนเหยียน ก่อนจะพึมพำออกมา “ ท่านพิสูจน์ได้รึไม่ว่าไม่ได้หลอกเรา ?”
เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เชื่อคำพูดของจางหยูและซุนเหยียนในทันที
“ ข้าเชื่อพวกเขา” ซุนเมิ่งพูดขึ้น
“ พี่ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ…” ซุนวูพูดมาได้ครึ่งคำก็เงียบไป “อย่าใช้ความรู้สึกมาตัดสินสิ ”
เสี่ยวเสียมองไปที่ซุนวูด้วยท่าทางไม่พอใจ “ เด็กน้อย นายท่านเห็นแก่สายเลือดของจ้าวโกลาหลในตัวเจ้า และคิดจะช่วยเจ้า เจ้าคิดจริงๆรึว่าตัวเองมีค่ามาก…หากนายท่านคิดร้ายต่อเจ้าจริงๆ แค่ตบเจ้าทีเดียวก็ตายแล้ว ไม่สิ นายท่านไม่ต้องทำแบบนั้นเลย ข้าคนเดียวก็จัดการเจ้าได้ง่ายๆ ”
“ ข้าพูดกับนายของเจ้า ใครใช้ให้เจ้าเห่ากัน ?” ซุนวูพูดขึ้นมา
เสี่ยวเสียพลันโมโหขึ้นมา “ เจ้าว่าใครเห่า ? เชื่อรึไม่ว่าข้าน่ะฆ่าเจ้าได้ !”
จางหยูผลักเสี่ยวเสียให้หลบไป ก่อนจะยิ้มให้กับซุนวู “ ข้าชื่นชมที่เจ้ากล้าสงสัย บางครั้งความจริงก็พบได้จากความสงสัย” เมื่อพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงของจางหยูก็เปลี่ยนไป “ แต่เสี่ยวเสียพูดถูก หากข้าคิดร้ายกับเจ้า ทำไมข้าต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ด้วย ?”
ซุนวูพูดไม่ออก
“ จริงๆแล้วมันง่ายที่จะพิสูจน์ว่าเราไม่ได้โกหก ” จางหยูยิ้มออกมา “ พวกเจ้ามีจิตผู้สร้างของไห่อู่เซิงอยู่ในตัว ตราบใดที่เราดึงมันออกมาได้ เราก็พิสูจน์ได้ว่าเราไม่ได้โกหก”
จางหยูแผ่จิตผู้สร้างออกไปและดึงเอาจิตผู้สร้างของไห่อู่เซิงออกมาจากตัวทั้งสองแล้วพูดขึ้น “ เห็นนี่รึไม่ ? นี่คือจิตผู้สร้างของใคร ซุนเมิ่ง เจ้าเคยพบกับไห่อู่เซิงมาแล้ว เจ้าน่าจะแยกแยะออกได้ว่านี่คือจิตผู้สร้างของใครกัน ?”
“ มันเป็นของไห่อู่เซิงจริงๆ” ซุนเมิ่งตัวสั่น
แทนที่จะลบจิตผู้สร้างนั้น จางหยูกลับผนึกมันไว้
“ ข้าได้แสดงมันชัดเจนแล้ว หากเจ้ายังไม่เชื่อข้า ข้าก็ช่วยไม่ได้” จางหยูพูดขึ้น
หากไม่ได้จริงๆ จางหยูคงได้แต่ใช้ทักษะหลอกลวง ยังไงซะซุนเมิ่งและซุนวูก็ไม่อาจจะต่อต้านได้
ซุนวูสีหน้าบิดเบี้ยวไป “ งั้นเราก็โดนเขาหลอกใช้รึ ? เมื่อเขาใส่จิตนี่กับตัวเรา งั้นเขาก็น่าจะรู้ฐานะของเรามานานแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมบอกพวกเรา ชัดแล้วว่าเขาจะต้องวางแผนบางอย่าง”
บางทีจางหยูอาจจะพูดความจริง ไห่อู่เซิงต้องการสายเลือดของพวกเขา !
“ อาจารย์มาที่นี่เพื่อบอกเราเรื่องนี้แค่นั้นรึ ?” ซุนเมิ่งถามขึ้นมา “ ท่านต้องการให้เราทำอะไรรึไม่ ?”
“ เขาหมายตาพวกเจ้าเอาไว้ แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่ แม้อีกฝ่ายจะมีพลังที่น่ากลัว แต่เราสองคนน่ะแกร่งเพียงพอแล้ว เจ้าไม่ต้องทำอะไร” จางหยูพูดขึ้น
“ สามสินายท่าน รวมข้าด้วย” เสี่ยวเสียรีบพูดขึ้นมา
จางหยูไม่ได้สนใจเสี่ยวเสียและพูดต่อ “ แม้ว่าเจ้าทำอะไรไม่ได้ แต่ก็เผื่อเอาไว้ ข้าไม่อาจจะพาเจ้าไปด้วยได้ เจ้าไปที่สำนักคังเฉียง อย่างน้อยไห่อู่เซิงก็ไม่อาจจะทำอะไรเจ้าได้”
“ ไห่อู่เซิงวางแผนมาดี” ดังนั้นจางหยูต้องระวังตัว
ซุนเมิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ซุนวูเองก็อยากจะไปกับจางหยูและคนอื่นๆ แต่เมื่อเห็นว่าซุนเมิ่งตกลงแล้วเขาก็ไม่อาจจะคัดค้านได้ “ ได้”
จางหยูตั้งใจจะส่งสองคนนี้กลับไปยังสำนักคังเฉียงแต่อยู่ๆเขาก็นึกถึงบางอย่างและพูดขึ้นมา “ ข้ามีวิธีทำให้เจ้ากลายเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลได้ แต่มันต้องใช้เวลาสักพัก เจ้าลองคิดทบทวนดู จากนั้นเจ้าค่อยตอบข้า”
ตอนนี้มีบรรพกาลแค่เพียงสองแห่งในโลกตันเถียน เขาต้องรอให้มีบรรพกาลแห่งที่สามก่อนถึงจะมีจ้าวบรรพกาลคนที่สามขึ้นมา