บทที่ 12
กลับบ้านตระกูลเย่
“อัญมณีสีม่วงนั้นขายได้ถึง 70,000 เหรียญทองเลยหรือนี่ ดูเหมือนมันจะมีค่ามากกว่าที่ข้าคิดอีกแฮะ!”
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะรู้อยู่แล้วว่าเฟิงเซียนซีพยายามจะผูกมิตรกับเขา แต่ราคาที่นางให้มานั้นก็ไปไกลกว่าที่เขาคิดไว้อยู่มากเลย แต่เดิมเย่เย่คิดว่าอัญมณีสีม่วงชิ้นนี้น่าจะขายได้แค่ราวๆ 50,000 เหรียญทองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความไม่คาดคิดนี่ก็ทำเอาเย่เย่รู้สึกมีความสุขมากๆอยู่ดี ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับไปยังบ้านตระกูลเย่นั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยใจอันเด็ดเดี่ยวและใช้ฟังก์ชันรีไซเคิลสแกนตั๋วทอง 50,000 เหรียญด้วยกล้องทันที
‘ตรวจพบ ตั๋วทองมูลค่า 10,000 จำนวน 5 ใบ! ยึดตามอัตราการแลกเปลี่ยน สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญจักรวาลได้ 500 เหรียญ ต้องการที่จะแลกเปลี่ยนตอนนี้เลยหรือไม่?’
หลังจากที่แอปพลิเคชันแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลตรวจพบตั๋วทอง กล่องข้อความก็ปรากฏขึ้นมาเพื่อให้ยืนยัน
“แน่นอน!”
เมื่อยืนยันการแลกเปลี่ยนเปลี่ยน ตั๋วทองจำนวน 50,000 เหรียญก็หายวับไปในพริบตา และยอดเงินในระบบก็เพิ่มขึ้นจาก 0 เป็น 500 เหรียญจักรวาลในทันที
‘ยากจนจริงๆ อดออมมากกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ?’
ขณะที่เย่เย่กำลังพึงพอใจกับจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นหลังแลกเปลี่ยนเสร็จอยู่นั้น หน้าจอโทรศัพท์ก็ปรากฏกล่องข้อความดังกล่าวขึ้นมา
“…”
ข้อความนั้นมันทำเอาเย่เย่พูดอะไรไม่ออกเลย ในความคิดของเขานั้น มองว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะระบบนี้มันขี้เหนียวต่างหาก ไม่งั้นมันไม่มองเงิน 50,000 เหรียญทองเป็นแค่กระแสลมอันไร้ค่าเช่นนี้หรอก!
โชคยังดีที่แม้จะปากมากแต่ก็ไม่ทำอะไรโดยพลการอย่างการปิดหมวดร้านค้าทิ้งเหมือนกันครั้งแรกเพื่อบังคับให้เติมเงินเพิ่ม นั่นเพราะว่าในหัวของเย่เย่นั้นคิดถึงวิธีการหมุนเงิน 500 เหรียญจักรวาลนี่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดไว้เรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เย่เย่กลับมาถึงบ้านของเขาแล้ว แทนที่เขาจะได้กลับเข้าไปยังห้องของตน เขากลับต้องถูกคนรับใช้ที่แต่งชุดจีนโบราณสีเขียวสดใสดักจับไว้ได้เสียก่อน
“นายน้อย! นายน้อยหายไปไหนมาเจ้าคะ! ข้าตามหาท่านที่ไหนๆก็ไม่เจอ นายน้อยรู้ไหมว่าข้าเป็นห่วงว่าท่านจะเป็นอะไรไปขนาดไหนน่ะเจ้าคะ!”
นางผู้นี้คือเสี่ยวหยู ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้นางจะเป็นคนรับใช้ที่คอยตามติดเย่เย่ไปทุกหนทุกแห่ง แต่เพราะเย่เย่ที่สลับตัวมานั้นไม่ได้รู้ถึงเรื่องนี้ การออกไปไหนโดยไม่บอกกล่าวจึงทำให้นางต้องกระวนกระวายราวกับหลงทางเช่นนี้
“ข้าแค่อยากลองอยู่คนเดียวบ้าง อย่าให้ใครเข้ามารบกวนข้าเด็ดขาดเลยนะ!”
เย่เย่ไม่ได้อธิบายอะไรแก่เสี่ยวหยู หลังจากเข้าห้องไปแล้วเขาก็ปิดประตูทันทีซึ่งทำให้เสี่ยวหยูแทบจะวิ่งชนประตูหลังจากตามมาติดๆ
การกระทำเช่นนี้ของเขามันดูเหมือนจะพยายามตัดเสี่ยวหยูออกไปโดยปริยายเลย
พูดกันตามความเป็นจริง เสี่ยวหยูนั้นเปรียบได้กับผู้หญิงของเย่เย่ แต่เย่เย่ในตอนนี้ไม่ได้สนใจในความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาวเหมือนกับเย่เย่คนก่อนแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวคราวเรื่องการแต่งงานของเทพธิดาในฝันกับเจ้านายหน้าเลือดของเขาในคราวก่อนที่จะข้ามมายังโลกนี้มันทำให้เย่เย่ไม่ชอบผู้หญิงที่ใช้ผู้ชายรวยๆในการปีนป่ายขึ้นสู่ความสูงส่ง ซึ่งเรื่องนี้มันส่งผลให้มุมมองของเขาที่มีต่อเสี่ยวหยูนั้นต่างไปจากที่เย่เย่คนเก่ามองด้วย
“มีของชิ้นไหนที่สามารถแลกได้ด้วยเหรียญจักรวาล 500 เหรียญนี่บ้างนะ? อยากให้มีทักษะหรือไม่ก็กระบวนท่าที่ข้าสามารถเรียนรู้ตอนนี้ได้จัง”
เขาทิ้งตัวลงไปบนเตียงและไขว่ห้างขณะที่นอนมองรายการสิ่งของมากมายในโทรศัพท์ตอนนี้ เย่เย่ยังคงจิมดิ่งอยู่ในหมวดของกระบวนท่าวรยุทธ์อยู่ดังเดิม ไม่นานนัก สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกระบวนท่านามว่า “อสรพิษคืบคลาน”
‘ชื่อ : กระบวนท่าอสรพิษคืบคลาน
ราคา : 50 เหรียญจักรวาล
ฟังก์ชัน : ทักษะนี้เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อยู่ในระดับ งูเหลือม หรือ งู มันจะช่วยให้ทักษะอื่นๆของผู้ใช้เพิ่มขึ้น 70-80% อย่างรวดเร็วดุจงูที่เลื้อยในป่าใหญ่ ซึ่งมันจะทำให้ผู้ใช้สามารถก้าวเข้าสู่การเป็นจ้าววรยุทธ์ได้เร็วยิ่งขึ้น
คำวิจารณ์ : เป็นทักษะที่เหมาะแก่ผู้ใช้จิตวิญญาณแห่งอสรพิษที่แท้จริง ซึ่งหายากเอาการ ท่ามกลางทักษะต่างๆที่สมควรเรียนรู้ อสรพิษคืบคลานนี้ค่อนข้างจะดีเลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่ามันจะช่วยยกระดับวรยุทธ์ในขั้นนี้ได้ แต่มันก็เข็นวรยุทธ์เราได้สุดๆที่ 70% เท่านั้น’
เย่เย่ไตร่ตรองสิ่งนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่ท้ายสุดเขาจะตัดสินใจจ่ายเหรียญจักรวาลไป 50 เหรียญเพื่อซื้อกระบวนท่านี้มา
จากคำอธิบายของระบบ นี่มันเป็นอะไรที่พบเจอได้ยากจริงๆ ทักษะที่เหมาะกับผู้ใช้จิตวิญญาณแห่งอสรพิษเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยได้จนตลอดรอดฝั่ง แต่ก็น่าจะดีกว่าฝึกฝนด้วยตนเองเพียวๆจากในตระกูลเย่นี่
ในเมื่อเป้าหมายของเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายก็คือเพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาและกลายเป็นจ้าววรยุทธ์กัน ตราบใดที่วิธีที่เลือกปฏิบัตินั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกฝนสามารถพัฒนาระดับของวรยุทธ์ของตนได้เร็วที่สุด มันก็น่าที่จะเสี่ยง และยิ่งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นั้นเก่งกาจขึ้นขนาดไหน มันก็จะยิ่งช่วยทำให้ผู้ครอบครองนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นตามไปด้วย
มันมีข้อแตกต่างระหว่างผู้ที่อยู่ในขั้นตอนการฝึกฝนเพื่อเป็นจ้าววรยุทธ์และผู้ที่เป็นจ้าววรยุทธ์ในระดับมากๆอยู่ นั่นก็คือ ในขณะที่กำลังฝึกฝนเพื่อที่จะได้เป็นจ้าววรยุทธ์ ตราบใดที่เราทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการหมั่นขยันฝึกซ้อม ความแข็งแกร่งก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่เมื่อใดถ้าได้เลื่อนระดับเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ไปแล้ว วิธีการฝึกฝนตนต่อจากนั้นก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การฝึกฝนของจ้าววรยุทธ์นั้นจำเป็นต้องฝึกฝนในการกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่อยู่ภายในร่างกาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถซึมซับพลังชีวิตจากโลกและสวรรค์และแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายแล้วจึงเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่งของเหล่าจ้าววรยุทธ์แต่ละคนอีกทีหนึ่ง
พูดง่ายๆก็คือ หลังจากที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ตื่นขึ้นมาแล้ว มันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก ซึ่งหมายถึง เมื่อจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ตื่นขึ้นมา มันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มันเป็นอยู่ใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของคนคนนั้นจะออกมาเป็นอะไร นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาหนึ่งเดียวของจ้าววรยุทธ์จริงๆนั่นก็คือ จะทำอย่างไรเพื่อให้ตนสามารถดูดกลืนพลังชีวิตของโลกและสวรรค์เพื่อให้ได้มากที่สุดต่างหาก และผู้ที่จะกังวลเรื่องนี้มากที่สุดก็เห็นจะเป็น ปรมาจารย์แห่งจ้าววรยุทธ์ ที่ต้องมีวิชาแก่กล้าแบบสุดๆ
ยามที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นั้นเสถียรแล้ว การฝึกทักษะทั่วๆไปจะดึงเอาศักยภาพของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมาได้แค่ 10%-30% เป็นอย่างมาก ในขณะที่มีเพียงเหล่าจ้าววรยุทธ์ที่มีชื่อเสียงเท่านั้นที่สามารถดึงศักยภาพทั้งหมดของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมาได้ และสำหรับการที่จะฝึกเพิ่มเติมต่อจากนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับระดับความเข้ากันได้ของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และวรยุทธ์ที่สั่งสมมาแล้วเท่านั้น
หากใครก็ตามที่ค้นพบหนทางฝึกฝนที่เหมาะกับทักษะและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตนเองได้ ก็จะสามารถทำให้ลดเวลาการฝึกฝนลงไปอีกมากโขเลยทีเดียว แต่เพราะความน่าจะเป็นที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้นั้นเล็กน้อยมากๆ มันจึงทำให้ผู้คนที่บรรลุศาสตร์นี้จริงๆ อาจจะมีอยู่แค่ในตำนานเพียงอย่างเดียว
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ก่อนหน้าแล้วก็จริง แต่ด้วยการฝึกฝนของเย่เย่เองมันก็เลยมีสภาพเป็นเพียงหนอนตัวเล็กๆแบบนั้น และด้วยความที่มันมีค่าเท่านั้น จะใช้ทำอะไรก็ทำไม่ได้ เจ้าหนอนนั่นหมดโอกาสที่จะเติบใหญ่แล้วแม้ว่าจะได้รับการฝึกฝนที่ดีขนาดไหนก็ตาม แต่เพราะตอนนี้ ด้วยเทคนิคพิเศษมันเลยทำให้หนอนแมลงตัวจิดได้ก้าวเข้าสู่การเป็นอสรพิษตัวจ้อยที่มีเกล็ดสีเขียวปกคลุมไปเรียบร้อยแล้ว แถมความเร็วและความแข็งแกร่งของมันก็ยังสูงกว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แบบอื่นๆอีกด้วย มันจึงไม่แปลกใจเลยที่เย่เย่จะสนใจอยากจะฝึกฝนเพื่อดึงศักยภาพของมันออกมาให้มากกว่านี้
แม้กระบวนท่าอสรพิษคืบคลานนั้นจะเหมาะแก่ผู้ที่อยู่ในกระบวนการฝึกฝนวรยุทธ์และเพิ่มความสามารถในการดึงศักยภาพออกมาได้สุดๆเพียง 70% เท่านั้นก็ตาม แต่เย่เย่ก็ยังไม่เห็นว่ามีวิธีอื่นที่เหมาะสมกับตัวเขามากกว่าสิ่งนี้ในตอนนี้
ในส่วนของกลืนสวรรค์ที่เขาช่วยในการฝึกฝนก่อนหน้านั้น แม้สิ่งนั้นจะสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ก็จริง แต่เขาคงพึ่งมันไปตลอดไม่ได้หรอก
กระบวนท่ากลืนสวรรค์นั้นเปรียบเสมือนอาวุธลับที่แตกต่างจากอาวุธลับชิ้นอื่นๆ เพราะดูเหมือนมันจะยังมีส่วนอื่นๆที่เป็นตัวเติมเต็มอยู่อีก สิ่งที่เย่เย่เรียนรู้เอาไว้ในตอนนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของกระบวนท่าเต็มๆเท่านั้น ดังนั้นราคาของมันจึงถูกมากๆ เมื่อไหร่ที่เขาก้าวเข้าสู่การเป็นจ้าววรยุทธ์ได้จริงๆ เขาคงจะต้องเรียนรู้กระบวนท่าตัวเต็มของกลืนสวรรนี่อีกครั้ง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นมูลค่าของมันน่าจะสูงจนจินตนาการไม่ถูกแน่ๆเลย
หลังจากที่แลกเอากระบวนท่าอสรพิษคืบคลานมาแล้ว เย่เย่ก็ไม่ได้รีบไปฝึกซะทีเดียว เขายังคงเลือกดูสินค้าอื่นๆอีก
เย่เย่จ่าย 150 เหรียญจักรวาลเพื่อซื้อชุดยุทโธปกรณ์เหล็กกล้ามา ที่ซึ่งจะช่วยให้พลังป้องกันและพลังโจมตีของเขาเพิ่มมากขึ้น ต่อมาเขาก็จ่ายเพิ่มอีก 100 เหรียญจักรวาล ตามด้วย 30 เหรียญจักรวาลสำหรับชุดต่อสู้ที่ชำรุดกับผ้าคลุมล่องหน
การที่ระบบได้รับการเติมเงินจนมันเริ่มแกร่งกล้าขึ้นแล้ว ชุดต่อสู้ที่ชำรุดนั้น ในตอนนี้มันไม่ชำรุดแล้วแถมยังดูแพรวพราวอีก ค่าสถานะต่างๆของมันก็สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกมากเลยเช่นกัน ในขณะที่ผ้าคลุมล่องหนเองก็เพิ่มค่าสถานะพลังป้องกันขึ้นมาด้วย และด้วยค่านี้มันทำให้พลังป้องกันของเย่เย่เพิ่มขึ้นมากกว่าแต่เดิมอีก
ในตอนนี้เย่เย่เหลือเหรียญจักรวาลเพียง 170 เหรียญเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะเก็บมันเอาไว้โดยไม่ใช้จนหมด ทั้งนี้ก็เผื่อไว้เป็นเงินฉุกเฉินในกรณีที่เกิดปัญหาใดๆ ที่ต้องแลกเปลี่ยนของขึ้นมาในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณของเขานั้นยังอยู่ในขั้นต้นอยู่ ดังนั้นก่อนที่จะแข็งแกร่งไปถึงระดับที่สูงกว่านี้ เย่เย่ไม่อยากจะแลกเปลี่ยนอะไรมาเป็นตัวช่วยเพิ่ม ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้คนอื่นเกิดสงสัยในตัวเขาขึ้นมาด้วย
ตัวเขานั้นยังไม่สามารถปรับตัวกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของตนได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะค่อยๆรวบรวมวรยุทธ์และทยอยฝึกฝนไปทีละขั้นก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงเริ่มที่จะฝึกกระบวนท่าอสรพิษคืบคลานเป็นอันดับแรกเมื่อเขาหลับตาลง
เพราะจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เย่นั้นประสบผลสำเร็จในการปรับปรุงศักยภาพไปแล้ว ผนวกกับกระบวนท่าอสรพิษคืบคลานนี้ก็ให้ผลดีจนน่าประหลาดใจกว่าการฝึกของตระกูลเย่อีก ซึ่งมันเหมาะกับตัวเย่เย่ที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เป็นอสรพิษมากกว่า เพราะฉะนั้นเย่เย่จึงประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการฝึกฝนตนเองเช่นนี้ ร่างกายของเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงกระแสของพลังชีวิตแห่งโลกและสวรรค์ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา พลังเหล่านี้มันค่อยๆแทรกซึมเข้ามาภายในร่างกายของเย่เย่ ซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นค่อยๆเพิ่มอยู่เรื่อยๆ
เพียงค่ำคืนเดียว การฝึกฝนวรยุทธ์ของเขาก็มั่นคงราวกับเขาฝึกฝนมันมาเป็นเวลานาน หากเย่เย่มีอาวุธครบมือรวมไปถึงไพ่ตายต่างๆเพียบพร้อมแล้วล่ะก็ ตัวเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าววรยุทธ์ระดับสูงเลยหากต้องปะทะกันจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เย่เปิดประตูออกไป และเขาก็พบว่าเสี่ยวหยูนั้นยืนเฝ้าประตูห้องของเขาไว้อยู่ด้วยความเงียบ ทันทีที่นางเห็นเขาตื่นขึ้น คิ้วสวยบนใบหน้าก็ขมวดเข้าหากันช้าๆ
“นายน้อย…ตื่นแล้วเหรอเจ้าคะ?”
สาวน้อยตรงหน้าหาววอดพร้อมกับตาที่ปรือแบบสุดๆแล้ว กระนั้นเมื่อเห็นเย่เย่ออกมาจากห้องเธอก็ยังไม่วายเอ่ยทักทายด้วยความสุภาพ
การที่ได้เห็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยตรงหน้ามีท่าทีเช่นนี้ อารมณ์ของเย่เย่มันก็ปั่นป่วนขึ้นมานิดหน่อย แต่ในชั่วพริบตาเขาก็กลับมาคงไว้ซึ่งความเยือกเย็นได้อีกครั้งและทำท่าเหมือนจะไม่พอใจเสี่ยวหยูด้วย
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ารอหน้าห้องเสียหน่อย เจ้าควรจะรู้ตัวเองว่าควรไปพักผ่อนโดยไม่ต้องรอให้ข้าสั่งนะ เกิดมาหลับคาหน้าห้องข้าแบบนี้เดี๋ยวมันจะรบกวนการฝึกฝนของข้าเอา!”
เสี่ยวหยูที่เห็นท่าทีของเย่เย่ แววตาของเธอก็แสดงความเสียใจออกมานิดหน่อย ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจมันก็อดทำให้เธอบ่นอุบอิบไม่ได้ “ก่อนหน้านี้เวลาท่านทุกข์ใจที่ไรข้าก็เห็นกอดไหสุราร่ำไห้มาตลอดให้ข้าต้องคอยดูแล นี่ข้าก็เกรงว่าท่านจะเมาหยำเปจนเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น ถึงได้คอยอยู่หน้าห้องนี่หรอกนะ…”
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เธอบ่นเบาๆ ภาพเก่าๆที่เย่เย่เคยดื่มหนักจนเมาหยำเปตามที่เสี่ยวหยูว่าก็ปรากฏขึ้นมาในหัว เพราะตัวเย่เย่คนเก่านั้นเสียแม่ไปตั้งแต่ครั้นยังเด็ก ดังนั้นจะเรียกได้ว่าคนคนนี้อ่อนแอกว่าคนปกติก็ไม่ได้เกินเลยเสียเท่าไหร่ และทุกๆครั้งที่เย่เย่คนนั้นร้องห่มร้องไห้หลังร่ำสุราไปแล้ว เสี่ยวหยูก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาดูแลเขาอยู่ตลอด
พอได้เห็นดังนั้นเย่เย่ก็เข้าใจได้ทันทีถึงความรู้สึกระหว่างนายท่านและข้าทาสทั้งหลาย บางที…มันอาจจะไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้ก็ได้
โดยเฉพาะเสี่ยวหยู นางผู้นี้ยังเด็กยิ่งนัก แม้เย่เย่จะไม่ใช่บุรุษที่เรียกได้ว่าดี แต่ตัวเขาก็ไม่ได้แย่เหมือนข่าวที่คนอื่นเลื่องลือกัน และถึงแม้เย่เย่จะทำตัวเสียๆหายๆให้คนอื่นเห็นและมักจะไม่ทำตัวมีประโยชน์ให้แก่วงศ์ตระกูลเลยก็จริง แต่ตัวเขานั้นกลับไม่เคยเอาอารมณ์โกรธไประบายใส่เหล่าข้ารับใช้ของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้นเย่เย่คนปัจจุบันก็รู้สึกว่าตนเองนั้นช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน เพราะเรื่องร้ายๆที่เขานั้นได้ประสบมากับตัว มันทำให้เขามองคนอื่นด้วยทัศนคติแย่ๆไปเสียก่อน ดังนั้นแล้วในฐานะนายน้อยแห่งตระกูลเย่ เขาคงจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายผิดจริงๆ ผิดที่เข้าใจเสี่ยวหยูผิดด้วย เช่นนั้นแล้วเย่เย่จึงรีบเดินออกจากลานที่เขาพักอยู่โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งนั้น
เขาวางแผนที่จะมอบประคำอสนีบาตที่เหลืออีก 4 ลูกให้แก่เย่เทียนเพื่อเอาไว้ป้องกันตนเอง เนื่องจากความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นมันได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดไปแล้ว ดังนั้นประคำอสนีบาตเหล่านี้จึงไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกต่อไป
แม้ว่าเย่เทียนจะไม่ใช่พ่อแท้ๆของเขา แต่ความรักที่เขามอบให้เย่เย่นั้นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย ถึงตัวเย่เทียนจะยังไม่รู้ว่าเย่เย่ที่เป็นลูกของเขาจริงๆนั้นจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ต้องยอมรับเลยว่าเย่เทียนประคบประหงมลูกดีจริงๆ แม้ว่าลูกคนนั้นจะไม่ได้ดีเหมือนคนอื่นๆเขา
ทว่าเมื่อเย่เย่เข้ามาถึงห้องของเย่เทียน เขาก็พบว่าบรรยากาศภายในห้องนั้นมันไม่ปกติเสียเท่าไหร่
“ท่านจ้าวตระกูล บางทีสิ่งที่ข้าจะพูดกับท่านนี้อาจจะดูน่าเกลียดนิดหน่อย แต่ในวันนี้ ต่อหน้าผู้อาวุโสของตระกูลทั้ง 3 ท่าน ข้าจะเป็นต้องทำตามหน้าที่ของข้า ในฐานะบุตรแห่งตระกูลเย่”
ชายคนนั้นผู้ที่กำลังพูดอยู่ในห้องของเย่เทียนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ เย่เซียง ลูกพี่ลูกน้องของเย่เย่นั่นเอง เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังพูดนั้น ได้ยินเพียงนิดเดียวเย่เย่ก็รู้ได้แล้วว่าเย่เซียงกำลังจะพูดเรื่องของเขาเป็นแน่แท้