บทที่ 13
หมดสภาพ
หากเป็นในยามปกติ แม้เย่เซียงจะไม่ชอบเย่เย่ขนาดไหน แต่เขาก็คงไม่กล้าเอาเรื่องของลูกหัวแก้วหัวแหวนอย่างเย่เย่มาพูดกับเย่เทียนแน่ๆ แต่ในวันนี้ ในเมื่อผู้อาวุโสทั้ง 3 ของตระกูลได้มานั่งอยู่ด้านหลังเย่เซียงแล้ว ถึงแม้ว่าจะทำให้เย่เทียนไม่พอใจ แต่ก็น่าจะจะทำให้อีกฝ่ายยอมนั่งฟังเงียบๆจนจบเป็นแน่ๆ
“มันเป็นเรื่อง…ของเย่เย่ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านนั่นแหละ ข้านั้นกระอักกระอ่วนที่จะพูดถึงลูกของท่านก็จริง แต่จากสิ่งที่เกิดมาตลอดปีนี้ ข้าเห็นสมควรว่าเราควรจะพูดเรื่องนี้กันเสียที”
น้ำเสียงของเย่เซียงนั้นเต็มไปด้วยความเหยียบหยามและกดขี่ราวกับเขาไม่ได้สนใจเลยว่าสีหน้าของเย่เทียนในตอนนี้จะดูรังเกียจเรื่องที่เขาพูดขนาดไหน
“หากเรายังปล่อยให้เย่เย่ทำตัวแบบนี้ต่อไป ทั่วทั้ง เฟิงเจิ้นก็จะมองตระกูลเย่ตกต่ำลงเป็นแน่แท้ แล้วไหนจะเรื่องที่เขาลวนลามหลินหยูฉีนั่นก็ทำให้นางไม่พอใจอย่างมากอีก นางน่ะเป็นถึงจ้าววรยุทธ์ของอารามจ้าววรยุทธ์เลยนะ หากตระกูลเย่ตกอยู่ในอันตรายแล้วเกิดนางไม่มาช่วย พวกเราจะทำยังไงเล่า!”
ถึงแม้ว่าเย่เซียงจะพูดเหมือนเอาผลประโยชน์ของตระกูลมาเป็นอันดับแรกก็จริง แต่เหตุผลที่เขามาพูดเรื่องนี้กับเย่เทียนในวันนี้ก็ล้วนแต่เป็นเพราะเขาอิจฉาเย่เย่อยู่ทั้งใจเลย
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดคาดสุดๆนั้นคงไม่พ้นเรื่องที่ นอกจากเย่เย่จะไม่ยอมตายไปแล้ว เย่เย่ยังไปรู้จักมักจี่กับเฟิงเซียนซีอีกด้วย ขนาดตัวเขาที่ดีกว่าเย่เย่ทุกอย่างยังไม่สามารถเข้าใกล้นางได้เลย ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะอิจฉาเย่เย่เพราะเรื่องนี้ด้วย
“เจ้าพูดได้ดี แต่ว่านะหลานรัก ถึงแม้ท่านหญิงหลินจะไม่พอใจในเรื่องนี้ก็จริง แต่นางเคยบอกข้าไว้แล้วว่าจะไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้อีก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลหากเกิดปัญหาในอนาคตหรอก”
แม้เย่เทียนจะเป็นจ้าวตระกูลเย่ก็จริง แต่หัวใจของเขาก็ช่างอ่อนโยนเกินกว่าจะใช้ความเด็ดขาดได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงมักจะเป็นฝ่ายเจรจาเพื่อหาข้อยุติกับเรื่องต่างๆอยู่เสมอ และเพราะเหตุนี้ มันทำให้แม้เย่เย่จะทำตัวแย่ให้แก่ตระกูลขนาดไหน แต่เย่เทียนก็ยังคงไม่มีมาตรการรุนแรงอะไรออกมาอยู่ดี
“นางพูดเช่นนั้นท่านก็ไม่กังวลเลยงั้นหรือ? ท่านเข้าข้างลูกของท่านมากไปแล้วนะ! พวกเราไม่เอาด้วยหรอกถ้าต้องมาคอยประนีประนอมกับเด็กอมมือแห่งตระกูลเย่นั่นน่ะ! สิ่งที่เย่เย่ทำนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของวงตระกูลเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้วข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วที่พวกเราจะไล่เจ้านั่นออกจากตระกูลเย่ไปซะ!”
หลังจากเย่เซียงพูดเสร็จแล้ว เขาก็กลับไปนั่งยังเก้าอี้ด้านหลังพร้อมกับความเงียบในทันที ซึ่งครานี้เป็นคราวของผู้อาวุโสทั้ง 3 ของตระกูลที่ต้องเป็นฝ่ายกดดันเย่เทียนแทนเขาแล้ว
หน้าผากของเย่เทียนเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมามากขึ้นเรื่อยๆเพราะตัวเขานั้นไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
ผู้อาวุโสประจำตระกูลเหล่านี้ แม้ว่าตัวพวกเขาจะหมดหน้าที่ในการจัดการบริหารตระกูลกันไปแล้วก็จริง แต่ความอาวุโสเหล่านี้ก็ทำให้เขาสามารถมีปากมีเสียงกับการสนับสนุนอะไรสักอย่างได้ ซึ่งถ้าหากเย่เทียนไม่มีทักษะในการโต้เถียงมากพอเพื่อที่จะช่วยปกป้องเย่เย่และปฏิเสธข้อเสนอของเย่เซียงแล้วล่ะก็ บางทีเขาอาจจะหลุดออกจากตำแหน่งนี้ได้อย่างง่ายดายเลยก็ได้
“ท่านพ่อ ทำไมท่านไม่บอกข้าเล่าว่าท่านผู้อาวุโสทั้ง 3 มาในวันนี้?”
ขณะที่เย่เทียนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เย่เย่ก็ตัดสินใจปรากฎตัวขึ้นมาราวกับเขาไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังคุกรุ่นในตอนนี้เลย และเมื่อเขาเดินเข้าไปภายในห้องนั้น เขาก็โค้งให้แก่ผู้อาวุโสทั้ง 3 โดยที่เมินเย่เซียง อย่างเห็นได้ชัดราวกับตรงจุดนั้นไม่มีเย่เซียงอยู่
“ลูกเย่! ทำไมเจ้ามาที่นี่ตอนนี้กันน่ะ? อั้ยหยา…”
เย่เทียนเมื่อเห็นเย่เย่ปรากฎตัวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไม่มีความสุข มันก็ยิ่งทำให้เขากระวนกระวายขึ้นมาอีก
“เย่เย่! เจ้ายังกล้าเสนอหน้าออกมาอีกงั้นเหรอ?! ถ้าข้าเป็นเจ้าล่ะก็ ข้าคงจะหนีออกจากตระกูล ไม่สิ หนีออกจากเมืองนี้ไปแล้ว! ออกไปจากที่นี่ซะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทำให้ตระกูลเย่กลายเป็นตัวตลกที่ใครต่อใครต่างก็ดูถูกกัน!”
เย่เซียงมองเย่เย่ที่เมินเขาไป มันทำให้ตัวเขานั้นยิ่งโกรธมากขึ้นไปกว่าเดิมซะอีก ซึ่งด้วยความโกรธนั้นมันก็ทำให้เขาลุกขึ้นมาและชี้หน้าต่อว่าเย่เย่ด้วยเสียงอันดังกึกก้อง
“ใครก็ได้เอาหมาไปเก็บหน่อยซิ ข้าหนวกหูเหลือเกินเวลามันเห่าเสียงดัง”
ถ้อยคำว่ากล่าวของเย่เซียงนั้นไม่ได้เข้าหูเย่เย่เลย แถมมันยิ่งทำให้เขาโดนเมินหนักกว่าเดิมเสียอีก แบบนี้น่ะมันดูถูกกันชัดๆ!
“หน็อยเจ้า! เป็นถึงบุตรแห่งตระกูลเย่ แต่กลับทำตัวหยาบกร้าน วันนี้แหละข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าแทนท่านเจ้าตระกูลเอง!”
ความโกรธของเย่เซียงบีบคั้นให้เขามองข้ามเรื่องที่ตั้งใจจะมาพูดในตอนแรกไปหมดและดิ่งเข้าไปหาเย่เย่หมายจะจัดการด้วยตนเอง
และด้วยระยะห่างที่มีอยู่มากระหว่างเย่เทียนและทั้งสองคนนี้ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยเย่เย่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสทั้ง 3 ของตระกูลยังยืนดักหน้าเขาไว้อีกด้วย
“สั่งสอนบทเรียนงั้นเหรอ? เจ้าทำได้เหรอ?”
เย่เย่มองเย่เซียงที่เข้ามาพร้อมกับกำปั้น เขาเพียงถอนหายใจแบบดูถูกก่อนจะยกมือขึ้นและตบหน้าเย่เซียงก่อนที่ เย่เซียงจะรู้สึกตัวเสียอีก
แม้เย่เย่จะเป็นฝ่ายออกตัวช้ากว่าแต่กระนั้นมือเขานั้นกลับถึงหน้าของเย่เซียงก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงเย่เย่มีความเร็วเหนือกว่าเย่เซียงแล้วในตอนนี้
แต่เพราะเป็นเย่เซียง ขนาดล้มลงไปแล้วเขายังคิดว่าเป็นเพราะเย่เย่ลอบกัดเขาอยู่เลย ไม่ได้คิดเลยว่าเย่เย่นั้นสามารถดังสมรรถภาพของร่างกายออกมาได้อย่างเหลือเชื่อตามที่เป็นจริง
“เจ้า!”
เขารีบยกมือกุมแก้มไว้และบันดาลโทสะขึ้นมาอีก ความอัปยศอดสูจากการโดนตบนี้ไม่สามารถลบเลือนได้แน่ๆ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นเย่เย่แล้วยิ่งยอมไม่ได้ นั่นจึงทำให้เย่เซียงวิ่งเข้าใส่เย่เย่อีกครั้ง
“หาที่ตายแท้ๆ”
สาเหตุการตายของเย่เย่คนเก่าส่วนหนึ่งก็มาจากเย่เซียงเป็นผู้บงการแผนอยู่ลับๆ ตั้งแต่บอกหม่าเฟยถึงที่อยู่ของ หลินหยูฉีและยุยงให้เย่เย่กระทำเรื่องอันน่าผิดบาปเช่นนั้น ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้แม้จะไม่ใช่ฝีมือเย่เซียงแม้แต่นิด แต่ในฐานะคนวางแผนน่ะ มันน่ารังเกียจมากกว่าคนลงมือเสียอีก และความน่ารังเกียจนี้มันทำให้เย่เย่ไม่สามารถปล่อยวางได้อย่างง่ายๆจริงๆ
เมื่อเห็นเย่เซียงวิ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้ง เย่เย่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะออมมือเลย เขายกขาขึ้นและถีบเข้าไปทางกลางอกเย่เซียงอย่างรุนแรง
*ผลั่ก!*
ความเร็วระดับสายฟ้าฟาดของเย่เย่นั้นทำให้เย่เซียงไม่สามารถหลบได้และโดนถีบเข้าที่กลางอกอย่างแรงจนสำลักเลือดออกมาก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดขึ้นมา
“อั่ก—อ๊ากกกกก!”
เสียงร้องระทมด้วยความเจ็บปวดของเย่เซียงดังไปทั่วห้อง ร่างกายที่รับแรงอันมหาศาลเมื่อครู่นี้เข้าไปมันบาดเจ็บเสียจนเข้าไม่สามารถใช้พลังได้อีก เขาน่ะโดนเย่เย่เตะตัดจุดปล่อยพลังไปเสียแล้ว
“ไม่จริง! ข้าไม่ได้แพ้! เย่เย่! เจ้าทำอะไรข้าน่ะ!”
เย่เซียงร้องตะโกนถามด้วยเสียงอันสั่นเทา ในขณะเดียวกันเย่เทียนและผู้อาวุโสทั้ง 3 ที่อยู่ใกล้ๆต่างก็รู้กันถ้วนหน้าว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น ยิ่งได้เห็นสภาพของเย่เซียง พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเย่เย่นั้นทำให้เย่เซียงไม่สามารถใช้พลังได้อีกต่อไปแล้วในอนาคต ซึ่งรวมไปถึงเย่เซียงจะไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้อีกด้วย
“เจ้ากล้าดียังไงมาลงไม้ลงมือคนจากตระกูลเดียวกันต่อหน้าผู้อาวุโสเช่นพวกข้าน่ะ! กล้าที่จะทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ต่อพวกข้าโดยไม่คำนึงเห็นหัวกันเลยหรืออย่างไร!”
ผู้อาวุโสทั้งสามนั้นมองไปยังเย่เซียงที่ถูกทำให้หมดสภาพ ถึงพวกเขาจะยังไม่เข้าใจว่าเย่เย่ทำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่พวกเขาก็เลือกที่จะโกรธเย่เย่ นั่นก็เพราะ 1 ใน 3 คนนี้คือญาติสนิทของเย่เซียงนั่นเอง! เขาหันไปชี้หน้าเย่เย่ด้วยความโกรธทันทีพร้อมกับก่นด่าเสียๆหายๆ
“ก็พวกท่านไม่ยอมหยุดตอนเจ้านั่นเริ่มก่อนเองนี่ แล้วพอตอนข้าทำมั่งท่านกลับมาบอกว่าข้าโหดร้ายงั้นเหรอ? เอ๋ ที่พูดแบบนั้นเพราะข้าทำให้พ่อลูกแหง่ของท่านแพ้ไม่เป็นท่าหรือเปล่าน่ะ? เฮอะ ความยุติธรรมในตัวพวกท่านมันถดถอยส่วนทางกลับอายุที่มากขึ้นหรือไง!”
ขนาดเย่เทียนดุเย่เย่ยังไม่กลัวเลย แล้วนับประสาอะไรกับผู้อาวุโส 3 คนนี้ที่เหมือนกันแค่สายเลือด
“เจ้ามันไอ้เด็กเมื่อวานซืน! เจ้าไม่มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่! ก็ได้ เห็นทีต้องเป็นหน้าที่ของพวกข้าแล้วที่จะสั่งสอนเจ้าเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ๆเด็กตระกูลเย่คนอื่นๆว่าถ้าไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่จะโดนเยี่ยงไร!”
หลังจากที่โดนตอกหน้าไป เหล่าผู้อาวุโสทั้งสามก็ดูจะไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ พวกเขาถกแขนเสื้อขึ้นและเตรียมที่จะเข้าล้อมเย่เย่เอาไว้ ซึ่งตัวเย่เทียนเองก็พยายามห้ามปรามพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง
เหตุผลที่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลเย่ไม่สามารถจัดการเรื่องต่างๆของตระกูลได้ก็เพราะพวกเขานั้นแก่เกินไปแล้ว ยามที่พวกเขาทั้งสามนั้นปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมาเพื่อที่จะเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์นั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสามยังเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์คนอื่นๆด้วยกันเองอีก ขนาดที่ว่าเมื่อเทียบกับเย่เทียนที่เป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเฟิงเจิ้นตอนนี้ก็ยังห่างกันแบบเทียบไม่ติด
ทั้งสามคนวางแผนไว้ว่าจะสั่งสอนเย่เย่ด้วยกัน แต่ทว่า เย่เย่ไม่ได้แสดงสีหน้าที่หวาดกลัวใดๆออกมาเลย กลับกันเขากลับพูดขึ้นกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มบางๆอีกด้วย “พวกท่านทั้ง 3 ก็อายุเยอะแล้วนะ ข้าแนะนำว่าให้ทำอะไรง่ายๆดีกว่า เกิดออกแรงเยอะแล้วกระดูกกระเดี้ยวหักไปมันจะยุ่งกับตัวพวกท่านเองนะ อยากจะนอนเตียงกันตลอดบั้นปลายชีวิตหรือไงน่ะ?”
“เจ้า! เจ้าคิดว่าพวกข้าแก่เกินที่จะสั่งสอนเจ้างั้นเหรอ!”
“วันนี้แหละ! ข้าจะแสดงให้เจ้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองเลยว่าคนเฒ่าคนแก่ที่เจ้ากำลังดูแคลนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน!”
“ปากมากไปเถอะเจ้าไก่อ่อน! ไว้ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งหลังเจ้าฟื้นว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง!”
ทันทีที่พูดจบทั้งสามก็เข้าโจมตีเย่เย่พร้อมๆกันโดยที่มี เย่เซียงมองด้วยสีหน้าตื่นเต้น นั่นก็เพราะว่าเย่เซียงรู้ดึถึงฝีมือของผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้ง 3 ท่านนี้ และเขาเองก็ยังมั่นใจอีกด้วยว่าถ้าระดับคนพวกนี้ลงมือเอง เย่เย่ได้กลายเป็นหนอนโดนเหยียบแน่ๆ หรือถ้าเกิดมีใครคนใดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ เย่เย่ก็จะยิ่งถูกตำหนิติเตียนจากทั่วทั้งตระกูลเย่มากขึ้นไปอีก คราวนี้ต่อให้เป็นเย่เทียนก็ไม่สามารถปกป้องเย่เย่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เย่เซียงคิดแผนการอันแยบยลได้และไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาคิดจะมีช่องโหว่ให้เกิดความผิดพลาด เย่เย่ก็ระเบิดพลังอันมหาศาลจนกลืนกินบรรยากาศโดยรอบไปจนหมดด้วยวรยุทธ์ที่สั่งสมอยู่ภายใน เขาไม่เพียงแต่สามารถหลบการโจมตีของผู้อาวุโสทั้งสามได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้พลังชีวิตแห่งสวรรค์ที่หลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่เมื่อคืนในการพันธนาการร่างของทั้งสามไว้ด้วยกันอีกด้วย และไม่ว่าพวกเขาเหล่านี้จะพยายามมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากพลังที่แข็งกล้านี้ไปได้
“ค-คลื่นสวรรค์?! นี่มันคลื่นชีวิตของสวรรค์!”
“เย่เย่! นี่เจ้าสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาและกลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้แล้วงั้นเหรอ?!”
“มันเป็นไปได้ยังไงกันน่ะ?!”
เมื่อเห็นว่าความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นสูงเกินกว่าที่คาดคิดไว้มาก ทุกๆคนที่อยู่ภายในห้องนั้นก็พากันตกใจไปหมด
เย่เทียนเองก็ขมวดคิ้วแน่น แต่เพียงไม่นานแววตาของเขาก็แสดงออกถึงความดีอกดีใจออกมา กลับกันกับเย่เซียงที่เสียหน้าแบบสุดๆ ยิ่งเขาได้เห็นความจริงเช่นนี้เขายิ่งเหมือนจะสลบลงไปได้ทุกเมื่อเลย ในส่วนของผู้อาวุโสทั้งสามเองที่ถูกคลื่นสวรรค์ของเย่เย่พันธนาการไว้ต่างก็แสดงสีหน้าปลื้มและกระวนกระวายไปพร้อมๆกัน
“ก็อย่างที่พวกท่านเห็นนั่นแหละ ข้าได้กลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ไปแล้ว และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของข้าเองก็อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ไปอีกหลายขั้นด้วย”
เย่เย่ไม่ได้จะปิดบังอะไรและเปิดเผยเรื่องความแข็งแกร่งของเขาออกไปโดยตรง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงพลังของจิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเขาให้ดู แต่เพียงแค่นี้เย่เซียงและคนอื่นๆก็ไม่กล้าสงสัยในสิ่งที่เขาพูดแล้ว
จากการที่เย่เย่สามารถใช้คลื่นสวรรค์ในการพันธนาการร่างของผู้อาวุโสได้พร้อมกันถึง 3 คนเช่นนี้มันก็เป็นที่ประจักษ์แน่ชัดแล้วว่าเย่เย่ไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งจะได้เข้าสู่การเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ระดับต้น และการที่เขามาได้ถึงระดับนี้ในเวลาอันสั้นนั้นก็น่าจะชี้ชัดแล้วเช่นกันว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เย่นั้นแตกต่างออกไปจากคนอื่น
“ลูกเย่ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเจ้าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ?! ทำไมเจ้าไม่บอกพ่อให้เร็วกว่านี้? ฮ่าๆๆๆ! นี่มันดีจริงๆ! คราวนี้ล่ะ ใครก็ตามที่กล้ามาเสนอหน้าพูดชี้นู่นชี้นี่อีกพ่อจะไล่มันออกไปจากบ้านนี้เสียเลย!”
เย่เซียงที่ในตอนแรกไม่ยอมแพ้นั้น เขาตั้งใจจะถามเย่เย่เรื่องจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ แต่ยามที่สัมผัสได้ถึงความห่างชั้นของพลังที่มีมากเกินไปและรู้ว่าเย่เย่กับเขานั้นอยู่กับคนละโลกแล้ว เขาก็รีบหยุดและแข็งทื่อลงไปทันที
เห็นเช่นนั้นเย่เย่ก็ถอนหายใจอยู่เงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ก็ตาม แต่เขาก็อยู่ที่นี่มาสักระยะหนึ่งได้แล้ว ดังนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแอบตกใจถึงความน่ากลัวของพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นเช่นนี้
ในขณะที่เย่เทียนที่เห็นเย่เย่เก่งกาจขึ้นมาเขาก็อวดเบ่งออกมามากขึ้นกว่าเดิมอีกตามธรรมชาติของเขา แม้เย่เย่จะบอกเขาว่าไม่ต้องพูดถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่เย่เทียนในตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ยินแล้ว
“บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตัวพ่อและเจ้าก็ได้!”
แม้ว่าเย่เทียนและเย่เย่จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกกันจริงๆสำหรับเย่เย่ตอนนี้ นั่นก็เพราะเย่เย่ของเย่เทียนตัวจริงนั้นได้ตายไปแล้ว หากแย่เย่ยังคงอยู่กับเย่เทียนต่อไปเป็นเวลานานจนกระทั่งเย่เทียนตระหนักได้ว่าเขาไม่ใช่ลูกจริงๆของอีกฝ่าย เมื่อถึงตอนนั้นมันอาจจะเกิดปัญหาตามมาก็ได้
ทันทีที่ตัดสินใจได้แล้ว เย่เย่ก็หันไปยังเย่เซียงและเหล่าผู้อาวุโสทั้ง 2 ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ในตอนนี้ข้าได้กลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์แล้ว ต่อให้หลินหยูฉีไม่ต้องการที่จะปกป้องตระกูลเย่ต่อ เราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวกันอีกแล้วมิใช่หรือไร?”