บทที่ 14
บรรลุจ้าววรยุทธ์
เย่เซียงนั้นถึงกับเงียบลงไปเลย ใบหน้าของเขานั้นมีแต่ความหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ในขณะเดียวกันผู้อาวุโสทั้ง 3 คนต่างก็มองหน้ากันเองและไม่กล้าที่จะพูดเรื่องขับไล่เย่เย่ออกจากตระกูลอีก
“แค่ก– เย่เย่ ในเมื่อเจ้าได้กลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้แล้ว เรื่องนี้คงต้องมองกันใหม่ เพราะยังไงซะตระกูลเย่ของพวกเราน่ะก็ใจกว้างกับเหล่าเด็กที่มีพรสวรรค์อยู่แล้ว แต่ว่านะ ยังไงก็อย่าไปทำให้คนอื่นต้องมาพิกลพิการเพราะวรยุทธ์ของเจ้าในอนาคตอีกล่ะ เจ้าต้องมีเมตตาเข้าไว้ ถึงทำไม่ได้ในทันทีก็ค่อยๆปรับแก้กันไป”
“ใช่ๆ ถึงพวกข้าจะรีบมาที่นี่เพื่อสอบสวนเพราะฟังความข้างเดียวจากเย่เซียงก็จริง แต่ในเมื่อตอนนี้เย่เซียงได้รับการลงโทษที่สมควรแล้ว ดังนั้นข้าคิดว่าเท่านี้ก็สาสมแก่สิ่งที่เขาควรจะได้รับแล้วล่ะ”
ผู้อาวุโสทั้งสองนอกเหนือจากญาติใกล้ชิดกับเย่เซียงต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเย่เซียงสมควรที่จะโดนเย่เย่กระทำเช่นนี้อยู่แล้ว
เมื่อเย่เซียงได้ยินเช่นนั้น เขาก็สำลักเลือดออกมาอีกทีแล้วสลบไปเลย
เพราะจากน้ำเสียงของผู้อาวุโสทั้งสองคนนั้น การที่เย่เย่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้แถมยังสามารถกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ได้อีกด้วยจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตระกูลเย่ไม่ติดใจเอาความหรือสงสัยใดๆในตัวเย่เย่ และด้วยเหตุนี้มันทำให้การที่เย่เซียงถูกเย่เย่กระทำนั้น ถูกถือว่าเป็นการลงโทษไปโดยปริยายด้วย ในตอนนี้ไม่มีใครในตระกูลเย่สามารถปกป้องเขาได้แล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตัวเขาออกไป! อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเขาอีกในภายภาคหน้า เช่นนั้นแล้วข้าไม่ปล่อยเขาไว้อีกแน่!”
เย่เย่นั้นเห็นว่าเย่เซียงอยู่ในอาการที่ไม่รู้สึกตัวแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยากจะเอาเรื่องเอาความต่อ ไม่ว่าต่อจากนี้เย่เซียงจะคิดหาทางแว้งกัดเขาหรือล้างแค้นก็ตาม มันไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเย่เย่แล้วทั้งสิ้น รวมไปถึงหลินหยูฉีผู้ที่ได้กลายเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์ไปแล้วก็ตาม แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะต้องเกรงกลัวอยู่ดี
“ไม่มีปัญหา พวกข้าจะตักเตือนเขาให้หลังจากเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ถ้าอย่างไรข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะ!”
เหล่าผู้สูงอายุทั้งสามเมื่อเห็นว่าเย่เย่ไม่ได้จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มแล้วพวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ
แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาทั้งสามจะถูกเชิญมาเพื่อไต่สวนถึงความผิดของเย่เย่ แต่การที่ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกเสียหายแต่อย่างใด นั่นก็เพราะตระกูลเย่ของพวกเขาก็เพิ่งจะได้ผู้ที่คอยปกป้องตระกูลสุดแกร่งมาเพิ่มเอง ดังนั้นตอนนี้ถึงเวลาที่อิทธิพลของตระกูลเย่ในเฟิงเจิ้นจะกว้างขวางมากกว่าเดิมแล้วในตอนนี้ และในเมื่อพวกเขายอมถวายทั้งชีวิตเพื่อตระกูลแล้ว เหตุใดเล่าเขาจะไม่มีความสุขกับเรื่องนี้?
หลังจากที่เย่เซียงและผู้อาวุโสทั้งสามออกไปแล้ว ณ เวลานี้มีเพียงเย่เทียนและเย่เย่เท่านั้นที่ยังอยู่ภายในห้องนี้ ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องก็เริ่มที่จะอึดอัดใจขึ้นมา
เย่เทียนนั้นรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเลยที่รู้ว่าเย่เย่นั้นได้กลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ไปแล้ว อาจจะเป็นที่ตัวเขานั้นไม่เคยเลี้ยงดูเย่เย่ด้วยตัวเองมาก่อน แล้วไหนเย่เย่จะยังไม่ถือว่าเขาเป็นพ่ออีก ดังนั้นแล้วสถานการณ์แบบนี้มันทำให้ทั้งสองพ่อลูกค่อนข้างจะอึดอัดที่จะเปิดฉากพูดอะไรทั้งสิ้น เพราะงั้นลืมเรื่องที่จะให้เย่เย่พูดความลับต่างๆให้เย่เทียนฟังไปได้เลย
เย่เย่ตัดสินใจหยิบเอาประคำอสนีบาตทั้ง 4 ลูกออกมาแล้วเอ่ยขึ้นกับเย่เทียนเบาๆ “ประคำอสนีบาตทั้ง 4 ลูกนี้ ข้าเผอิญเจอมันโดยบังเอิญ ยามใดที่มันถูกทำให้ระเบิดออกมา แรงระเบิดของมันรุนแรงพอๆกับเวลาที่จ้าวแห่งวรยุทธ์ระเบิดพลังออกมาเลย ข้าอยากให้ท่านเก็บพวกมันไว้เพื่อใช้ป้องกันตนเองไปก่อน”
“โอ้!”
เมื่อได้ยินเย่เย่พูดถึงสรรพคุณของมัน สีหน้าของเย่เทียนก็ดูจะตกใจไปครู่หนึ่งเลย แต่จากนั้นไม่นาน สีหน้าของเขาก็กลายเป็นเหมือนเด็กเล็กที่ได้ของเล่นที่ชื่นชอบ เย่เทียนรีบรับประคำอสนีบาตไว้พร้อมกับกุมมันไว้ด้วยความระมัดระวัง
ขนาดเย่เย่ยังรู้สึกได้เลยว่าเย่เทียนนั้นประคบประหงมประคำอสนีบาตทั้ง 4 ลูกนี้ดีมากขนาดไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่าทีนั้นหาได้มาจากการที่ประคำนั้นมีประสิทธิภาพสูงหรอกนะ แต่มันเป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่เย่เย่ให้มาต่างหาก
ในฐานะที่เย่เทียนเป็นจ้าวตระกูลเย่คนปัจจุบัน นั่นทำให้ตัวเขานั้นไม่ค่อยมีเวลาที่จะได้เลี้ยงดูเย่เย่จนกระทั่งเย่เย่เติบใหญ่มาระดับนี้ แม้กระทั่งเย่เย่คนปัจจุบันจะข้ามกาลเวลามาความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้พัฒนาขึ้นไปจากเดิม เย่เย่คนนี้ก็ยังคงมองเย่เทียนเป็นเพียงพ่อที่คอยไว้ให้ตนรีดไถตั๋วทองและคอยปกป้องเขาเวลาทำอะไรผิดพลาดเท่านั้น
แต่ในตอนนี้เย่เย่ได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นจ้าววรยุทธ์แล้ว ดังนั้นสำหรับเขา เย่เทียนและตระกูลเย่กลายเป็นสิ่งที่มีค่าเล็กน้อยเท่านั้น และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เย่เย่ตัดสินใจมอบประคำอสนีบาตให้แก่เย่เทียนเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณที่เคยได้รับตั้งแต่ข้ามกาลเวลามา
อย่างไรก็ตาม ยามที่เขาได้เห็นท่าทีดีอกดีใจของเย่เทียนนั้น หัวใจของเย่เย่ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างพร้อมกับสีหน้าที่ดูจะแสดงความสับสนเล็กน้อย
“การตื่นขึ้นมาของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นั้นล้วนแต่ขึ้นอยู่กับดวง แต่กระนั้นแล้วนักรบผู้มีวรยุทธ์กล้าแกร่งที่สุดในเฟิงเจิ้นอย่างท่านพ่อก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามมาเป็นจ้าววรยุทธ์ได้งั้นหรือ?”
เย่เย่ไม่สามารถพูดถึงความลับของเขาเอาไปได้จริงๆ แต่กระนั้นเขาจะถือว่าการที่ทำให้ร่างนี้ตื่นขึ้นมาและกลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้ ทั้งหมดนี้จะถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เขาใช้เพื่อครอบครองร่างนี้ก็แล้วกัน
“โอ้! ถึงแม้ว่าพ่อน่ะจะเก็บสะสมวรยุทธ์ไว้มากมายก็จริง แถมตลอดเวลามานี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เต้นอย่างรุนแรงอยู่ภายในด้วย แต่มันก็แค่นั้น พ่อทำได้แค่รู้สึก แต่ไม่สามารถปลุกมันขึ้นมาได้ มันกลายเป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่เรื่อยๆเหมือนคอขวดแคบๆที่บีบพ่อเอาไว้ แล้วก็อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ มันอยู่กับดวงชะตา บางทีพ่ออาจจะต้องรอให้ดวงของพ่อมาบ้าง แม้จะต้องรอไปตลอดชีวิตอย่างขมขื่นก็คงต้องปล่อยให้เป็นเช่นนั้น”
น้ำเสียงของเย่เทียนนั้นเปี่ยมไปด้วยความเศร้าสร้อย เห็นได้ชัดเลยว่าตลอดมาไม่ใช่เขาไม่พยายามที่จะปลุกจิตวิญญาณต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมา แต่เพราะเขาพยายามมาตลอดแล้วมันยังทำไม่ได้ต่างหาก
ทันทีที่เย่เย่ได้ฟังเรื่องราวของเย่เทียน ในแววตาของเขาก็ฉายแววประหลาดขึ้น เมื่อวานขณะที่เขากำลังไล่ดูสินค้าภายในแอปแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลอยู่นั้น ในหมวดของยา เขาได้พบกับยาที่ชื่อว่า ‘บรรลุจ้าววรยุทธ์’ ซึ่งเป็นยาที่เหมาะกับผู้ทึ่ฝึกฝนวรยุทธ์มาจนแก่กล้าแล้ว ยานี่มีผลในการช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ฝึกฝนคนนั้นจะสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ผู้นั้นต้องมั่นใจก่อนว่าตัวเขาเองสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้จริงๆ
ยานี่น่ะไม่เหมาะกับเย่เย่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นก็เพราะมันจำเป็นต้องให้ใช้นั้นสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่หลับใหลอยู่ในตัวเสียก่อน ซึ่งการที่จะสัมผัสได้นั้นจำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนให้วรยุทธ์ในร่างกายแก่กล้ามานานแรมปี และอย่างที่เห็นว่าเย่เย่ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น ดังนั้นแล้วเย่เทียนจึงถือว่าน่าจะตรงกับสิ่งที่ยานี่ต้องการมากที่สุดแล้วตอนนี้
แม้ว่ายาบรรลุจ้าววรยุทธ์นั้นจะไม่ได้ยืนยันว่าจะทำให้คนที่กินมันลงไปสามารถเป็นจ้าววรยุทธ์ได้ทันทีเลยก็จริง แต่สำหรับเย่เย่แล้ว เขาคิดว่ามันมีค่าที่จะเสี่ยง เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงพูดกับเย่เทียนออกไป “เอ้อ ข้าได้ยาที่ชื่อว่า บรรลุจ้าววรยุทธ์มาโดยบังเอิญด้วย มันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปลุกจิตวิญญาณแห่งจ้าววรยุทธ์ขึ้นมาได้ แต่เอาจริงๆเลยนะ ข้ายังไม่เคยทดลองยานี้ด้วยตัวเองมาก่อนเลย ถ้าหากท่านพ่ออยากจะลองล่ะก็ เดี๋ยวกลับไปแล้วข้าจะให้เสี่ยวหยูนำมันมาให้ท่านอีกทีก็แล้วกัน”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? มียาที่แสนวิเศษเช่นนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วยอย่างงั้นหรือ?!”
แววตาของเย่เทียนแสดงความตกใจออกมาในทันที ตัวเขานั้นคงต้องไม่เชื่อหูตัวเองแน่ๆหากคนที่พูดเป็นเย่เย่คนเก่าที่ยังไม่ได้เป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์เช่นนี้ บางทีเขาอาจจะคิดว่าเย่เย่ต้องหาเรื่องมาขูดรีดทรัพย์เขาอีกเป็นแน่แท้
“พ่อจะลอง! อย่างน้อยๆมันก็ดีกว่าการที่พ่อต้องมาติดอยู่ในบ่วงกรรมอันน่าขมคอนี่ไปตลอดชีวิต หากความสำเร็จต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง มันก็คุ้มค่าที่จะได้เสี่ยงดู!”
เย่เทียนเผลอคิดไปโดยไม่รู้ตัวว่า ไม่มีอาหารมื้อไหนในโลกนี้ที่ได้มาฟรีๆ ดังนั้นถึงยาบรรลุจ้าววรยุทธ์ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มโอกาสที่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้นั้นจะมีผลข้างเคียงระดับไหน หรือต่อให้ชีวิตเขาจะต้องตกอยู่ในอันตราย มันก็น่าที่จะลองดู สำหรับเย่เทียนแล้ว เพื่อให้ได้เป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ ชีวิตเขาก็สามารถมอบให้ได้
เห็นเย่เทียนยอมตายซะขนาดนั้น เย่เย่ก็ทำได้เพียงแอบขำอยู่ภายในใจเท่านั้น เพราะตัวเขาที่เป็นคนเห็นมันน่ะ ย่อมรู้ดีกว่าเย่เทียนอยู่แล้วว่ายาบรรลุจ้าววรยุทธ์นั้นไม่ได้มีผลข้างเคียงที่อันตรายอย่างที่เย่เทียนคิดไว้ ถึงมันจะมีผลบ้างนิดๆหน่อยก็จริง แต่อย่างมากก็แค่ทำให้รู้สึกป่วยไปซัก 2-3 วันหากไม่สำเร็จ ซึ่งห่างไกลจากความตายอีกไกลโขนัก แต่นั่นแหละ ไม่ให้เย่เทียนรู้น่ะดีแล้ว ให้อีกฝ่ายเชื่อว่ามันอันตรายต่อไป อย่างน้อยๆเย่เทียนจะได้ทุ่มเทกับการดันศักยภาพร่างกายออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งแบบนี้จะทำให้โอกาสที่จะสำเร็จนั้นมีมากกว่า
“ถ้าเช่นนั้นท่านต้องพักจากการจัดการเรื่องต่างๆภายในตระกูลสักพักแล้วล่ะ จากนั้นก็เอาเวลาไปเตรียมตัวก้าวเข้าสู่การเป็นจ้าววรยุทธ์และปล่อยเรื่องต่างๆให้ผู้อาวุโสคนอื่นดูแลแทน”
เย่เย่พูดทิ้งท้ายเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป หลังจากที่เขากลับมายังห้องของเขาเองแล้ว เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาแล้วเปิดแอปแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลขึ้นมา จากนั้นก็จ่าย 100 เหรียญจักรวาลเพื่อแลกยาบรรลุจ้าววรยุทธ์ออกมา
มองจำนวนเหรียญจักรวาลที่เหลือเพียง 170 เหรียญแล้วเย่เย่ก็แอบรู้สึกเจ็บภายในใจนิดหน่อย ทว่าเขาไม่เสียใจหรอกที่ได้แลกมันออกมา หลังจากที่นำยาบรรลุจ้าววรยุทธ์บรรจุใส่หีบห่อเล็กๆแล้ว เย่เย่ก็เรียกเสี่ยวหยูที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามาหาเขาภายใน
“เสี่ยวหยู เจ้านำสิ่งนี้ไปให้ท่านเจ้าตระกูลทันทีเลยนะ แล้วก็บอกว่ามาจากข้า!”
เขายื่นห่อยาเล็กๆให้เสี่ยวหยู แต่กระนั้นนางกลับยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆอยู่พักใหญ่ๆ
“ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมา ไม่ใช่ยืนจ้องราวกับจะเหน็บแนมข้าเช่นนั้น”
ท่าทีที่แปลกประหลาดของนางนั้นทำให้เย่เย่รู้สึกตะขิดตะขวงใจจนต้องถามออกไปตรงๆ
“นายน้อยเจ้าคะ นายน้อยจะเอาของประหลาดๆไปให้นายท่านอีกแล้วเหรอเจ้าคะ? แบบนี้ไม่ดีนะเจ้าคะ หากนายท่านรู้เดี๋ยวเขาจะเสียใจเอานะ!”
ในที่สุดเสี่ยวหยูก็รวบรวมความกล้าและพูดมันออกมา อันที่จริงนางน่ะอายุน้อยกว่าเย่เย่ แต่กระนั้นนางกลับว่ากล่าวตักเตือนเย่เย่ราวกับเป็นพี่สาวเสียอย่างนั้นแหละ
“ห้ะ?-แค่ก–”
ได้ยินดังนั้นเย่เย่ถึงกับสำลักและไม่รู้จะตอบเสี่ยวหยูว่าอย่างไรดีเลย
เสี่ยวหยูในฐานะที่เป็นข้ารับใช้ของเย่เย่น่ะมักจะยอมให้เย่เย่ทำเรื่องไร้สาระได้มากมายโดยที่ไม่ได้ขัดอะไร หากแต่เมื่อไหร่เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับพ่อของเขา นางจะดูเป็นกังวลขึ้นมาทันที
สิ่งนี้มันทำให้เย่เย่ต้องพยายามทำใจให้สงบลงก่อนจะพยายามอธิบายให้เสี่ยวหยูเข้าใจได้ง่ายๆ “เรื่องครั้งนี้มันมีอะไรละเอียดอ่อนกว่าที่เจ้าคิดอยู่นิดหน่อย เพราะงั้นเจ้าแค่เอาสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านพ่อของข้าที่ซึ่งเป็นนายท่านของเจ้า โดยไม่ต้องเรียกร้องอะไรกลับมารวมถึงเงินทองด้วย แค่นี้ เป็นอันจบสิ้นงานที่ข้ามอบหมาย ข้าคิดว่าน่าจะชัดเจนนะ?”
“ว้าว! นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเจ้าคะที่นายน้อยให้ข้านำสิ่งของไปมอบให้นายท่านโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้ ข้าไม่อยู่ด้วยเพียงไม่นานท่านเติบโตมากถึงขนาดนี้เลยหรือนี่ เหลือเชื่อมากๆ!”
เด็กสาวพูดเว่อวังในขณะที่สีหน้าของนางเองก็ดูจะตื่นเต้นและพึงพอใจกับสิ่งที่เย่เย่พูดเป็นอย่างมาก และเมื่อเย่เย่เห็นนางเป็นเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเขินออกมาแบบสุดๆเลย
“ออกจากห้องข้าไปได้แล้ว!”
ด้วยความเขินอายนี้เองที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะสู้หน้านางมากไปกว่านี้ แววตาที่ดูร้อนรุ่มและขี้สงสัยของนางนั้นทำให้ความเยือกเย็นของเขาถูกหลอมละลายไปจนหมด
เมื่อเห็นดังนั้นเสี่ยวหยูก็รู้แล้วว่าตัวเธอเองอาจจะพูดมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้วรีบนำยาบรรลุจ้าววรยุทธ์ไปส่งให้เย่เทียนในทันที
เย่เทียนเก็บตัวเงียบทันทีหลังจากที่ได้ยาบรรลุจ้าววรยุทธ์มาจากเสี่ยวหยู เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะฝ่าฟันอุปสรรคหลังกินยาเข้าไปแล้วอยู่หลายวัน ซึ่งระหว่างนั้นเขาไม่มีเวลาออกมาเยี่ยมชมโลกภายนอกเลย
ข่าวที่เย่เย่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาพร้อมกับกลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ค่อยๆแพร่สะพัดไปทั่ว
ผู้คนที่ได้ยินข่าวในภายในเฟิงเจิ้นต่างพากันตกใจและอุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ และท่ามกลางคนเหล่านี้ หลินหยูฉีก็เป็นอีก 1 คนที่ตกใจกับข่าวที่แพร่มานี้ด้วย นั่นเพราะนางนั้นมั่นใจเลยว่าเย่เย่ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือนางไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่นอกจากจะไม่ตายแล้วยังสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ด้วย
สำหรับนางแล้ว ตระกูลเย่นั้นถือเป็นผู้มีพระคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ตลอดชีวิต
แต่ถึงแม้ว่าหลินหยูฉีจะถูกตระกูลเย่ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ครั้นยังเด็กก็จริง แต่เมื่อโตขึ้นนางก็ตระหนักได้ว่าตัวนางไม่สามารถอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับเย่เทียนและคนอื่นๆได้เมื่อค้นพบว่าตัวเองมีพลังที่เหนือกว่าคนอื่น ด้วยเหตุนี้นางจึงกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ที่อายุน้อยที่สุดในเฟิงเจิ้นพร้อมกับเลือกที่จะเข้าไปอยู่ในอารามจ้าววรยุทธ์
และเมื่อคราวนี้เย่เย่เข้ามาลวนลามนางครั้นยังเมา หลินหยูฉีต้องแบกรับความรู้สึกอัปยศอย่างมากและฆ่าอีกฝ่ายลงไปในทันที แต่หลังจากที่ฆ่าเย่เย่ลงไปแล้ว หลินหยูฉีกลับเป็นฝ่ายต้องมารู้สึกเสียใจแทน
ยังไงเสีย หลินหยูฉีนั้นก็ถูกเย่เทียนรับเลี้ยงในฐานะลูกสาว และตระกูลเย่ทั้งหมดต่างก็ใจดีกับนางมากๆ หากเรื่องที่นางฆ่าเย่เย่นั้นถูกรู้เข้า มันจะต้องส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนางเป็นอย่างมากแน่ๆ
โชคยังดีที่ก่อนหน้านี้หลินหยูฉีได้ยาคงสภาพศพมาโดยบังเอิญ ยานี่มีผลทำให้ร่างกายคนตายดูเหมือนกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่กินมันลงไปแล้ว มันจะยังรักษาให้ร่างนั้นหายใจไปได้อีกพักใหญ่ๆและอยู่ในสภาพที่หลับใหล นางไม่ลังเลเลยที่จะใช้มันกับเย่เย่ที่ตายคาเงื้อมมือตนเองและแสร้งทำเป็นว่าตั้งใจจะสอนบทเรียนให้แก่เขา ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่เย่เซียงที่เป็นตัวบงการยังไม่ล่วงรู้ความจริงเลย เขาก็คิดไม่ต่างกับคนอื่นที่มองว่าเย่เย่แค่สลบไปเท่านั้น
เมื่อครั้งที่หลินหยูฉีไปพบเย่เทียนที่บ้าน ถึงแม้ว่านางจะทำเป็นใจอ่อนและไม่ติดใจเอาความเรื่องให้เย่เย่มารับผิดชอบ แต่ในตอนนั้นนางมั่นใจแล้วว่าเย่เย่จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ดังนั้นยามที่นางเห็นเย่เย่ฟื้นมาต่อหน้าต่อตามันจึงทำให้หลินหยูฉีตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก กระนั้นแล้วนางก็พยายามเก็บอารมณ์ที่แปรปรวนเหล่านั้นไว้และไม่แสดงท่าทีแปลกๆอะไรออกมาแต่อย่างใด เป็นหลินหยูฉีที่ดูสงบเยือกเย็นเหมือนดังที่ผ่านมา