บทที่ 15
การทดสอบ
หลังจากที่กลับจากการเข้าพบเย่เทียนเมื่อครั้งนั้นแล้ว หลินหยูฉีก็งุนงงอยู่ตลอด ช่วงที่นางหายหน้าหายตาไปนั้น นางเอาแต่ครุ่นคิดว่า เหตุใดทำไมเย่เย่ถึงสามารถกลับมาจากความตายได้ ทว่าไม่เพียงเท่านั้น เพราะไม่นานหลังจากที่ได้เห็นเย่เย่ฟื้นขึ้นมา ข่าวเรื่องที่เย่เย่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และก้าวเข้าสู่การเป็นจ้าววรยุทธ์ได้มันก็เข้าหูเธออีก
ภายในใจของหลินหยูฉีตอนนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆมากมายเต็มไปหมด และครั้งนี้นางไม่สามารถซ่อนสีหน้าตกใจและสับสนไว้ได้เหมือนแต่ก่อน นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งที่มันบีบรัดหัวใจที่กำลังตกตะลึงนี้เอาไว้อีกอย่างหนึ่งก็คือสัญญาที่ให้ไว้กับเย่เทียนที่ว่า หากเย่เย่ฟื้นขึ้นมาใน 3 เดือนนี้ นางจะเป็นคนแนะนำเย่เย่ให้แก่อาจารย์ของนาง หลี่ชวน ด้วยตนเอง ในเมื่อเรื่องมันมาถึงระดับนี้ ยังไงเสียก็คงต้องรักษาชื่อเสียงของตนเองไว้ก่อน ไม่ว่าจะไม่เต็มใจทำก็ตาม
2 วันต่อมา หลังจากที่อาจารย์ของหลินหยูฉีอย่างหลี่ชวนอนุญาต เย่เย่ก็สามารถเข้าร่วมกับการสอบเข้าเพื่อเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์เสียที
การจัดสอบคัดเลือกเพื่อที่จะได้เข้าเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์นั้นจะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปีเท่านั้น จึงทำให้การสอบนี้เป็นที่เฝ้าจับตามองของผู้ที่สนใจอยากไต่เต้าในด้านนี้ และเย่เย่นอกจากจะได้สิทธิสอบที่นี่แล้ว เขายังได้รับสิทธิในการสอบเพียงแค่บททดสอบเดียวเท่านั้นด้วย เนื่องจากว่าเขานั้นมากับ หลินหยูฉี สิ่งที่เขาจำเป็นต้องผ่านไปให้ได้ก็คือ ผู้มอบการทดสอบหนึ่งเดียวที่รอเขาอยู่ที่สนามประลองกลางด้านล่างนี่
หลินหยูฉีนั้นไม่ได้ชอบเย่เย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่มีประสงค์ที่จะช่วยให้เขาสามารถเข้าเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ไปแบบง่ายๆ ซึ่งหลี่ชวนเองก็รู้ถึงเรื่องนี้ดี ตั้งแต่ที่เขาอนุญาตให้เย่เย่เข้ามาสอบที่นี่ได้ เขาก็ได้ขอให้ผู้คุมสอบที่มีชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดมาช่วยคุมสอบครั้งนี้ด้วย
ชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดนี้เลื่องลือกันในหมู่จ้าววรยุทธ์ ซึ่งหลินหยูฉีเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เขาคนนี้คือผู้ที่เข้มงวดกับเด็กใหม่มากๆ และเป็นผู้ที่สนุกสนานกับการต่อสู้กับเด็กใหม่เหล่านั้นเสียยิ่งกว่ากระไร ด้วยความชอบอันแปลกประหลาดนี้เอง มันจึงทำให้เขามีฉายาอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ ยมทูตสำหรับพวกเด็กใหม่แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ ด้วยชื่อเสียงที่ขึ้นชื่อว่าไร้ความปรานีเช่นนั้น หลินหยูฉีจึงมั่นใจมากๆว่าเย่เย่เองก็ไม่น่าจะรับมือไหว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ที่ตั้งใจมาสอบเข้าที่นี่นั้นกี่คนต่อกี่คนต่างก็ล้วนพ่ายแพ้ให้แก่เขาคนนี้ ไม่ว่าจะพยายามมากขนาดไหน ท้ายสุดก็ต้องแบกความผิดหวังและกลับออกไป
อันที่จริงก็ไม่เพียงแต่เด็กใหม่เท่านั้นที่ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ เพราะแม้แต่ศิษย์ชั้นสูงของอารามจ้าววรยุทธ์เองก็ยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย เพราะฉะนั้น ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ หลินหยูฉีจึงมั่นใจมากๆว่าระดับเย่เย่ ยังไงก็ต้องพ่ายให้กับคนคนนี้เป็นแน่แท้!
เย่เย่เดินตามหลินหยูฉีไปด้วย ขณะที่เดินเขาก็มองบรรยากาศภายในอารามแห่งนี้ไปด้วยความตื่นเต้น ท่าทีที่เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงเช่นนี้มันทำให้หลินหยูฉียิ่งดูถูกเขามากขึ้นไปกว่าเดิมเสียอีก ถึงแม้ว่าเย่เย่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้และกลายเป็นจ้าววรยุทธ์แล้วก็จริง แต่กระนั้นหลินหยูฉีก็ยังถือว่าเป็นจ้าววรยุทธ์ในระดับที่สูงกว่าเขายิ่งนัก ช่องว่างขนาดใหญ่ของพลังที่ฝ่ายหนึ่งคือจ้าววรยุทธ์ขั้นสูง ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กที่เพิ่งจะเข้าเรียน ความต่างชั้นนี้ทำให้หลินหยูฉีไม่คิดว่าตนเองจะจำเป็นที่จะต้องลงไปเกลือกกลั้วกับเย่เย่ด้วย
เมื่อหลินหยูฉีมาเย่เย่มาพบกับผู้คุมสอบ ในขณะที่นางกำลังจะแนะนำตัวให้ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันก่อน นางก็พบว่าทั้งเย่เย่และผู้คุมสอบคนนี้ดูเหมือนจะพากันชะงักไปพักใหญ่เลย ในแววตาของทั้งสองคนนั้นเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
“เย่เย่? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…หรือว่าเจ้าเองงั้นหรือที่มาขอรับการสอบเข้าในครั้งนี้?”
ศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ผู้ที่จะมาคุมสอบเย่เย่นั้นไม่ใช่ใครอื่นคนไกล เขาคือ ฮั่วเฟิง ที่ได้พบกับเย่เย่มาก่อนแล้วเมื่อครั้งที่ไปภูเขาหลี่เทียน
ในฐานะที่เขานั้นเป็นศิษย์ระดับผู้อาวุโสของอารามจ้าววรยุทธ์ ตัวเขานั้นมีความเข้มงวดกับศิษย์คนอื่นๆมากๆ ไม่เว้นแม้แต่ฉินหมิงผู้ที่วึ่งเป็นบุตรชายของผู้ปกครองอารามจ้าววรยุทธ์แห่งนี้ซึ่งบางครั้งยังถูกตำหนิบ้างหากทำอะไรผิด เพราะฉะนั้นหลี่ชวนที่เป็นผู้ปกครองที่นี่จึงได้เลือกให้เขามาทำการทดสอบเย่เย่
อย่างไรก็ตาม ทั้งหลินหยูฉีและหลี่ชวนต่างไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่และฮั่วเฟิงนั้นรู้จักกันมาก่อนแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ฮั่วเฟิงยังดูจะชื่นชอบเย่เย่อยู่มากเสียด้วย เช่นนี้แล้วการทดสอบครั้งนี้ที่หมายหมั้นจะให้เป็นนรกสำหรับเย่เย่นั้น มันจะกลายเป็นการเปิดทางให้เย่เย่เข้ามาเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์ได้ง่ายๆหรือเปล่านะ?!
“ท่านพี่ฮั่วเฟิงเป็นผู้คุมสอบครั้งนี้เองหรือ? ช่างบังเอิญจริงๆ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นโชคชะตาสินะ”
เย่เย่ที่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เขารู้จักอยู่แล้ว ความกังวลมันก็ถูกแทนที่ด้วยความสุขนิดหน่อย เขาลืมเรื่องของ หลินหยูฉีไปชั่วขณะและวหันไปพูดคุยอย่างมีความสุขกับฮั่วเฟิงแทน
“ท่านรู้จักเขามาก่อนหรือ?”
ภาพที่เห็นนี้ยังทำให้หลินหยูฉีตกใจไม่หาย นางไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้จริงๆถึงขนาดที่แสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนออกมา
“ฮ่าๆๆๆ ดูเจ้าทำท่าเข้าสิหลินหยูฉี ฮ่าๆๆ ใช่แล้วๆ เขากับข้านั้นรู้จักกัน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ก่อนหน้านี้เขายังเคยช่วยข้ามาครั้งหนึ่งด้วยนะ!”
ฮั่วเฟิงอธิบายให้หลินหยูฉีฟังขณะที่หัวเราะ แต่เขานั้นไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรเพิ่ม
นั่นเพราะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับความขัดแย้งที่มีเฉินเทียนเฟิงและพวกสำนักกระบี่จรัสแสงมาเกี่ยวข้องด้วย และเพราะการตายของพวกกระบี่จรัสแสงนั้นยังอยู่ในการคำนวณของเย่เย่อีก หากเรื่องนี้ปูดขึ้นมาแล้วล่ะก็ เย่เย่ตกที่นั่งลำบากแน่ แต่ถึงเขาจะไม่พูดตอนนี้ ยังไงซะในวันข้างหน้าเรื่องก็ต้องแดงขึ้นมาอยู่ดี ดังนั้นนี่จึงเปรียบเสมือนการซื้อเวลาให้เย่เย่ไปก่อน จนกว่าเขาจะเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาขนาดใหญ่ที่จะตามมาในอนาคตได้
“ท่านพี่ฮั่วเฟิงก็พูดเกินไป สิ่งที่ข้าทำลงไปนั้นแค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีค่าอะไรให้จดจำหรอก”
เย่เย่นั้นปลาบปลื้มในความใจดีของฮั่วเฟิงมากๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่ด้วยคำพูดของเขาก็หนักแน่นพอที่จะทำให้คนอื่นๆไม่สงสัยอะไรในคำพูดที่หลุดมาจากปากของฮั่วเฟิงใดๆทั้งสิ้น
หลังจากที่ได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลินหยูฉีก็ดูจะน่าเกลียดมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เศษหน้าที่แตกยับของนางนั้นแทบจะไหลลงมาเป็นผุยผงเหมือนแป้งฝุ่นแล้ว
นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าแผนการที่ได้วางไว้อย่างดิบดีนี้จะกลายเป็นเหมือนดาบสองคมที่ไม่ได้แทงอีกฝ่ายเลยแต่กำลังแทงเข้าตัวเองอยู่ทีละนิดๆ หากเลือกเอาศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์คนอื่นมาคุมสอบเย่เย่ บางทีอาจจะมีโอกาสมากกว่าเสียอีก เพราะยังไงซะเย่เย่ก็ยังเป็นแค่จ้าววรยุทธ์ไก่อ่อน ในตอนนี้คนคุมสอบน่ะเหมือนจะถูกใจเย่เย่ไปแล้ว มันทำให้หลินหยูฉีคิดไม่ตกเลยว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เย่เย่ไม่ผ่านการทดสอบครั้งนี้บ้าง
ในขณะที่หลินหยูฉีกำลังคิดว่าเย่เย่จะต้องขอให้ฮั่วเฟิงปล่อยให้เขาสอบผ่านไปอย่างแน่นอนเพื่อจะได้เข้าเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ ทว่าเย่เย่เองกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาทำหน้าจริงจังและเอ่ยกับฮั่วเฟิงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากสีหน้าซักเท่าไหร่ “ท่านพี่ฮั่วเฟิง ถึงแม้ว่าพวกเราจะรู้จักกันมาก่อนก็จริง แต่ในการสอบครั้งนี้ข้าไม่อยากให้ท่านออมมือให้หรอกนะ ทำตามที่ท่านต้องทำเถิด และข้าเองก็มั่นใจด้วยว่าข้าจะสามารถผ่านการสอบครั้งนี้ไปได้ด้วยความแข็งแกร่งของข้าเอง”
คำพูดที่ฉะฉานและฟังดูเป็นสัจธรรมที่พึงเป็นของเย่เย่นี้ทำเอานางถึงกับตกใจไปครู่หนึ่งเลยว่าประโยคเมื่อครู่นั้นหูฝาดไปเองหรือเปล่า
“ดี! อย่างที่คิด ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ! สมแล้วที่ข้ายกย่องว่าเจ้าเป็นมิตร ไม่ว่าต่อจากนี้เจ้าจะพ่ายในการทดสอบของข้าก็ตาม!”
ฮั่วเฟิงได้ยินดังนั้นก็กล่าวชื่นชมพร้อมยกนิ้วให้โดยไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้น
ใบหน้าของเย่เย่ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา แต่ภายในใจของเขานั้นผ่านการคำนวณมาอย่างดีแล้วว่าไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกดีที่ฮั่วเฟิงมีต่อเขาต้องศูนย์เปล่า จากความแข็งแกร่ง ณ ตอนนี้ เย่เย่สามารถผ่านการทดสอบนี่ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องขอให้ ฮั่วเฟิงออมมือให้เสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้จากการที่ได้พบกันครั้งก่อน เย่เย่ยังเข้าใจถึงนิสัยของคนอย่างฮั่วเฟิงอีกด้วย ดังนั้นการที่ทำเช่นนี้จึงเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฮั่วเฟิงให้แน่นแฟ้นขึ้นไปในตัว
และผลลัพธ์มันก็เป็นดั่งที่เย่เย่หวังไว้อย่างไหลลื่น
มองไปยังท่าทีที่ประหลาดใจและแอบสงสัยของ หลินหยูฉีที่ยืนอยู่ข้างๆเขา เย่เย่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะอยู่ในใจเช่นกัน
ตั้งแต่ที่รู้ว่าหลินหยูฉีพยายามปกปิดเรื่องที่ฆ่าเขาตายไปนั้น เย่เย่ก็ไม่มองว่านางไร้เดียงสาอีกเลย
แม่นางผู้นี้นอกจากจะไม่น่าเห็นใจและพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยแล้วยังเป็นเสมือนรากของความแค้นที่หยั่งรากลึกลงไปในใจของเขาอีกด้วย ในตอนแรกเย่เย่ตั้งใจจะฆ่านางเมื่อมีโอกาสเพื่อเป็นการล้างแค้นให้แก่เย่เย่คนเก่า แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เขาตั้งใจจะทำให้นางรู้สึกได้ถึงความผิดหวังกับตนเอง รวมไปถึงให้นางจมอยู่ในห้วงความสงสัยและกังวลไปเรื่อยๆอีกด้วย
“เย่เย่ ความกล้าของเจ้ามันก็ดี แต่ท่านผู้อาวุโสฮั่วเฟิงนั้นถือเป็นชนชั้นสูงที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางพวกเราศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ ดังนั้นเจ้าน่ะไม่สามารถผ่านท่านไปได้ง่ายๆหรอก เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าจะสอบไม่ผ่าน เจ้าก็อย่าได้โทษตัวเองมากไปซะล่ะ!”
แม้คำพูดและท่าทีของหลินหยูฉีนั้นจะเหมือนว่าปลอบ เย่เย่อยู่ หากแต่แท้จริงแล้วนางกำลังพยายามบอกให้ฮั่วเฟิงรู้ว่าอย่าออมมือให้เย่เย่อยู่ เพราะตราบใดที่ฮั่วเฟิงไม่ออมมือ ยังไงก็ไม่มีทางที่เย่เย่ที่เพิ่งจะบรรลุการเป็นจ้าววรยุทธ์เช่นนี้จะสอบผ่านได้ ลมดูเหมือนจะกำลังพัดให้สิ่งที่หลินหยูฉีหวังนั้นเริ่มกลับมามีแนวโน้มว่าจะเป็นจริงอีกครั้ง
“เจ้าไม่ไว้ใจอาจารย์ของเจ้าเองหรือไรว่าจะไม่ปล่อยให้ข้าผ่านง่ายๆน่ะ? ฮ่ะๆๆ ไม่ต้องห่วง ข้าเองก็จะทำเต็มที่เพื่อให้เจ้าได้ตกตะลึงเช่นกัน!”
เย่เย่ยิ้มอย่างไร้เดียงสาและเดินตรงไปยังสนามประลองส่วนกลางของโถงใหญ่แห่งนี้ก่อนจะทำความเคารพฮั่วเฟิง “ท่านพี่ฮั่วเฟิง ได้โปรดชี้แนะข้าด้วย!”
“ฮ่าๆๆ เย่เย่ เจ้านั่นแหละอย่าออมมือ! ข้าไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของข้าเองเพราะก่อนหน้านี้ข้าบาดเจ็บอยู่ เพราะงั้นเจ้าเองก็อย่าหวังว่าจะผ่านข้าไปได้ง่ายๆเหมือนสายลมล่ะ! ถึงแม้ข้าจะไม่ใช้พลังเต็มที่ในการทดสอบก็จริงแต่ถ้าเจ้าไม่เต็มที่ ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าให้ผ่านไปง่ายๆหรอกนะ”
ในฐานะที่เป็น 1 ในไม่กี่คนที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในอารามแห่งจ้าววรยุทธ์ ดังนั้นแล้วความแข็งแกร่งของฮั่วเฟิงนั้นไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่หลินหยูฉีเลือกที่จะให้ฮั่วเฟิงเป็นผู้คุมสอบให้เย่เย่นั้นก็เพราะข่าวลือเรื่องที่เขาเข้มงวดกับเด็กใหม่รวมถึงไม่ปรานีขณะสอบเข้าต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใดหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นเแล้ว เมื่อฮั่วเฟิงเข้ามายังสนามประลอง เขาก็พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาด้วยความมั่นใจ “ไม่ว่าสิ่งที่ข้าจะได้พบเจอต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ข้าก็จะต้องผ่านการสอบนี้ไปให้ได้ เช่นนั้นแล้ว ขอให้ท่านพี่ฮั่วเฟิงเข้ามาได้ทุกเมื่อเลยขอรับ!”
“โฮ่ ด้วยความยินดีเลยแบบนี้ แต่ว่าตามกฎการสอบ พวกเราจะเริ่มโจมตีพร้อมกันเมื่อการทดสอบเริ่ม และถ้าเจ้าสามารถทนอยู่บนสนามประลองนี้เกิน 10 อึดใจได้ ข้าจะให้เจ้าผ่านการทดสอบ! แล้วถ้าเจ้าพร้อมแล้ว ข้าจะเริ่มการทดสอบตอนนี้เลยก็ได้!”
ฮั่วเฟิงมองเย่เย่ด้วยสีหน้าที่ไม่คาดคิดว่าเย่เย่จะพูดเช่นนั้นออกมา กระนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากและประกาศกฎของการทดสอบออกไป จากนั้นก็กวักมือท้าทายเย่เย่อันเป็นสัญญาณของการเริ่มการทดสอบ
ทันทีทันใด เย่เย่ไม่ปล่อยให้เวลาไหลไปกับเรื่องไร้สาระใดๆ เขาเป็นฝ่ายเปิดฉากพุ่งเข้าหาฮั่วเฟิงโดยเล็งไปที่อกของอีกฝ่ายด้วยหมัด
“มาเลย!”
ใบหน้าของฮั่วเฟิงคลี่ยิ้มออกมาและใช้พลังที่กั้นไปถึงครึ่งหนึ่งนั้นเตรียมปัดป้องหมัดที่พุ่งเข้ามาของเย่เย่
เขาคิดว่าเย่เย่คงไม่สามารถหลบการสวนกลับของเขาได้เพราะเจ้าตัวเพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นเป็นจ้าววรยุทธ์ได้ไม่นาน แต่แล้วทันใดนั้น เย่เย่กลับไม่ได้ตั้งใจจะใช้หมัดตรงนั้นเป็นตัวเปิดการโจมตีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาเปลี่ยนกระบวนท่าหลังจากเข้าใกล้ฮั่วเฟิงไปเป็นจับแขนของฮั่วเฟิงไว้และเหวี่ยงตนเองเพื่อเป็นจุดหมุนให้ตนสามารถเหวี่ยงร่างของฮั่วเฟิงลงไปแทน
“ข้าคงจะประเมินเจ้าต่ำไปหน่อยสินะ!”
การเปลี่ยนวิธีเข้าหาขณะพุ่งเข้ามาเช่นนี้ทำให้ฮั่วเฟิงประหลาดใจอีกครั้ง แต่ยังไงเสียเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์เช่นเขาพลาดท่าแต่อย่างใด เมื่อเย่เย่เหวี่ยงร่างของเขา ฮั่วเฟิงก็ใช้กำลังของตนกระชากเย่เย่เข้ามาและโจมตีไปที่หน้าของอีกฝ่ายเต็มๆ
เพราะจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เย่นั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ และเขาค้นพบวิธีที่จะฝึกให้จิตวิญญาณนั้นแข็งแกร่งขึ้นมา ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้จึงเรียกได้ว่ามากเอาการเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้สูงระดับจ้าววรยุทธ์ขั้นสูง แต่ก็ห่างไกลจากระดับของผู้เริ่มต้นอยู่มาก และเพราะฮั่วเฟิงนั้นกดพลังไว้เหลือเพียงครึ่งเดียวจากพลังทั้งหมดในการทดสอบครั้งนี้ ถึงแม้จะมีส่วนต่างของพลังอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ห่างจากเย่เย่มากแล้วในตอนนี้ ซึ่งการที่ช่องว่างของความแข็งแกร่งห่างกันเพียงน้อยนิดนี้ทำให้เย่เย่มีพื้นที่ยืดหยุ่นให้แสดงฝีมือได้มากขึ้น
ขณะที่ร่างทั้งสองกำลังจะเข้าปะทะกัน เย่เย่ก็ยกขาขึ้นและถีบออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
*ผั้ว!*
แรงถีบนั้นทำให้ฮั่วเฟิงล้มเลิกความคิดที่จะเข้าโจมตีหน้าของเย่เย่ไปทันใดและรีบยกศอกขึ้นเพื่อป้องกันการปะทะแรงถีบนั้นแทน เสียงปะทะกันของทั้งสองฝ่ายดังสนั่นไปทั่ว และคลื่นอัดกระแทกรุนแรงก็ทำให้เกิดกระแสลมที่รุนแรงระเบิดออกมาจากจุดปะทะและพัดให้ฝุ่นควันฟุ้งขึ้นปกคลุมไปทั่วทั้งสนามซึ่งสร้างความตกใจให้แก่หลินหยูฉีไม่น้อยเลย
“เป็นไปได้ยังไงกันน่ะ?! ไม่ใช่ว่าเย่เย่เพิ่งจะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ไม่นานนี้เหรอ?! ทำไมจิตวิญญาณของเจ้านั่นถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?!”
สิ่งนี้มันเกินกว่าที่หลินหยูฉีจะหาเหตุผลมารองรับได้ นางได้แต่มองร่างของเย่เย่ด้วยความสับสนงุนงงมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า