บทที่ 16
ผลลัพธ์
ลืมเรื่องท่าทีของหลินหยูฉีไปก่อน เพราะตอนนี้การต่อสู้ของชายทั้งสองคนบนสนามประลองนั้นกำลังเต็มไปด้วยความร้อนแรงและฟัดเหวี่ยง ทั้งสองผลัดกันบุกและตั้งรับเป็นช่วงๆ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฮั่วเฟิงตกใจเป็นอย่างมาก เขาเริ่มจะหนักใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วที่ความแข็งแกร่งของเย่เย่มันค่อนข้างจะเกินกว่าสิ่งที่เขาคิดไว้มาก ๆ เลย
ก่อนหน้านี้ที่ภูเขาหลี่เทียน เหล่าศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์นั้นต่างบาดเจ็บหนักกันถ้วนหน้า จึงเป็นโอกาสให้เย่เย่ได้แสดงฝีมือด้านวรยุทธ์ของเขาเอง ซึ่งในตอนนั้นจากสิ่งที่เห็น เย่เย่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งล้ำหน้าเหล่าผู้ที่เพิ่งจะได้บรรลุเป็นจ้าววรยุทธ์ใหม่ๆ เสียเท่าไหร่ โดยรวมแล้วที่จะน่าทึ่งจริงๆน่าจะเป็นอาวุธประหลาดที่เขาใช้ซะมากกว่า ทว่าเย่เย่ตอนนี้ไม่ได้ใช้อาวุธเหล่านั้น แม้แต่ชุดต่อสู้ที่เคยเห็นก็ไม่ได้สวมใส่มาในครั้งนี้ด้วย แต่ความแข็งแกร่งของเย่เย่กลับไม่ได้ด้อยไปกว่ายามที่เขาสวมเกราะเต็มตัวเลย เห็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ฮั่วเฟิงตกใจได้อย่างไร
‘แข็งแกร่งขึ้นได้รวดเร็วอะไรเช่นนี้ เย่เย่เป็นผู้มาพรสวรรค์ในด้านวรยุทธ์งั้นหรือ?’
ฮั่วเฟิงเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเย่เย่ถึงแข็งแกร่งขึ้นได้มากขนาดนี้ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของเย่เย่ ณ ตอนนี้มันทำให้ฮั่วเฟิงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองเป็น 60% แทนเพื่อให้สามารถรับมือกับเย่เย่ได้
“คราวนี้ลองหยุดข้าให้ได้สิ!”
ต่อหน้าการเพิ่มพลังของฮั่วเฟิง เย่เย่ก็ตัดสินใจกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเขาขึ้นมาด้วยเช่นกัน ทันทีที่ใดที่จิตวิญญาณแห่งอสรพิษถูกปลุกขึ้นมา เกล็ดสีเขียวก็ปรากฏขึ้นบนหมัดทั้งสองข้างของเขา
เพราะก่อนหน้านี้ จิตวิญญาณแห่งอสรพิษตนนี้ได้กลืนกินจิตวิญญาณตนอื่นๆไว้เป็นจำนวนมาก มันเลยทำให้รูปลักษณ์ที่เป็นเพียงงูตัวเล็กๆนั้นไม่ได้อ่อนแอเหมือนดั่งที่ควรเป็น เกล็ดสีเขียวเหล่านั้นนอกจากจะช่วยเพิ่มพลังป้องกันแล้ว มันยังเพิ่มพลังโจมตีให้เย่เย่อีกมากมายด้วย
เย่เย่ตะโกนก้องขณะที่รัวหมัดใส่ฮั่วเฟิงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จังหวะและท่วงทำนองของเพลงหมัดเย่เย่นั้นรวดเร็วกว่าเดิมและมันยังรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆจนขนาดฮั่วเฟิงเองยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เขาต้องรับการโจมตีของเย่เย่อย่างเดียวจนกระทั่งถอยไปจนถึงมุมหนึ่งของสนามประลอง
จังหวะที่ฮั่วเฟิงกำลังประหลาดใจนี้ เย่เย่ก็ใช้โอกาสจับแขนของฮั่วเฟิงไว้และเตรียมจะโยนร่างของอีกฝ่ายออกไปจากสนาม ทว่าฮั่วเฟิงนั้นถือเป็นสมบัติล้ำค่าของอารามจ้าววรยุทธ์เลยก็ได้ เขารีบดึงสติกลับมาและทำลายการจับของเย่เย่พร้อมกับหนีกลับมายังกลางสนามประลองได้อีกครั้งหนึ่ง
กระนั้นแล้วเย่เย่ก็ไม่ได้พรั่นพรึงในความสามารถของอีกฝ่ายแต่อย่างใด กลับกันเขากลับเริ่มเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอีกครั้งด้วย ซึ่งในตอนนั้นเอง ฮั่วเฟิงก็ยื่นมือขึ้นมาปรามเขาไว้ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าไม่ต้องสู้อีกต่อไปเพราะเจ้าได้ผ่านการทดสอบในครั้งนี้แล้ว!”
น้ำเสียงของฮั่วเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความหมายมากมายที่ซ่อนอยู่ภายใน ถึงแม้ว่าการเพิ่มพลังก่อนหน้านั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำให้การทดสอบมันยากขึ้นก็จริง แต่ในการที่จะไม่ทำให้เย่เย่ได้ใจเกินไปจนละเลยการฝึกหลังจากที่เข้ามาเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ได้แล้ว เขาจำเป็นต้องทำให้เย่เย่รู้สึกได้ถึงความวิกฤตการณ์เพื่อที่จะได้ระวังตัวและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเอาไว้
แต่ฮั่วเฟิงนั้นไม่ได้คิดเลยว่าศักยภาพของเย่เย่นั้นจะสูงกว่าที่เขาคิดไว้มาก สูงขนาดที่เขาต้องพลิกโอกาสด้วยการแอบเพิ่งพลังของตนเองไปถึงระดับนี้ ในตอนนี้ถึงเวลาที่กำหนดในการทดสอบแล้ว ดังนั้นฮั่วเฟิงจึงต้องหยุดการกระทำทุกอย่างเอาไว้ก่อน สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือประกาศว่าการทดสอบได้เสร็จสิ้นลงแล้วเท่านั้น
“ข้าขอขอบคุณที่ชี้แนะ”
สีหน้าของเย่เย่นั้นยังคงดูเหมือนดั่งเคย เขาเอ่ยขอบคุณกับฮั่วเฟิงตามมารยาทที่พึงมี และถึงแม้ว่าการทดสอบเมื่อครู่นั้นจะยากกว่าที่เขาคาดคิด แต่ในที่สุดเขาก็สามารถผ่านมันมาจนได้อย่างราบรื่น ซึ่งผลลัพธ์ที่น่าพอใจนี้เองก็ได้นำพาความโล่งใจมาให้เขาด้วย
แม้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยตั้งแต่กลับมาจากภูเขา หลี่เทียน แต่ความกังวลว่าคนของสำนักอัคคีจะกลับมาล้างแค้นนั้นก็ยังไม่ได้คลี่คลายลงไป หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่มีคนพบเห็นก็คงไม่น่ากังวลขนาดนี้ แต่นี่การที่เฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกถูกฆ่าตายด้วยประคำอสนีบาตนั้นดันมีศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่มีเหตุผลให้คนเหล่านี้ทรยศเขาก็ตาม แต่ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามทางของมัน อีกไม่ช้าก็เร็ว พวกพ้องของคนเหล่านั้นที่เหลือรู้ข่าวเมื่อไหร่ ต่อให้มีตระกูลเย่ทั้งตระกูลคอยหนุนหลังก็คงจะไม่สามารถรับมือกับคนเหล่านี้ไหวแน่ ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมาเย่เย่จึงกังวลเรื่องนี้อยู่ตลอด
แต่หลังจากผลลัพธ์ในวันนี้ ในเมื่อเขาเองก็เป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์ได้แล้ว หากพวกกระบี่จรัสแสงหรืออัคคีเหล่านั้นอยากจะจัดการเขาจริงๆ ก็คงจะไม่ต้องถึงมือตระกูลเย่ แต่ยังไงก็ต้องคิดถึงผลการกระทำให้ดีกว่าเดิม
ในขณะที่จิตใจของเย่เย่นั้นกำลังสงบลง หลินหยูฉีกลับกลายเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถสงบลงได้หลังจากเห็นผลลัพธ์ที่สนามประลองนั้น
ตั้งแต่เริ่มการทดสอบจนถึงตอนนี้ นางเองก็เห็นว่าฮั่วเฟิงไม่ได้ออมมือแต่อย่างใด แถมยังดูจะรุนแรงกว่าข่าวลือที่เขาเล่าต่อๆ กันมาเสียอีก แต่ขนาดนี้แล้วเย่เย่ก็ยังสามารถผ่านการทดสอบและเข้ามาเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ได้อีก สิ่งนี้มันค่อนข้างจะรบกวนจิตใจของหลินหยูฉีอยู่มากๆเลย
จากความแข็งแกร่งของเย่เย่ที่แสดงให้เห็นเมื่อครู่ หลินหยูฉีก็คิดได้ว่านางนั้นประเมินอีกฝ่ายผิดไปจริงๆ เย่เย่น่ะไม่ใช่จ้าววรยุทธ์ในแบบที่นางคิด ดังนั้นแล้วนางจำเป็นต้องหาให้เจอว่าทำไมเย่เย่ถึงแข็งแกร่งระดับนี้ได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้
“หรือว่าเขาจะทายาทที่มาจากวีรบุรุษในตำนานงั้นเหรอ?”
การนึกย้อนกลับไปถึงที่เย่เย่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาและตั้งแต่ตอนนั้นมาพลังของเย่เย่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในเวลาอันสั้น มันอดไม่ได้จริงๆที่จะทำให้หลินหยูฉีตระหนักถึงเหล่าวีรบุรุษที่เคยเป็นตำนานเรื่องเล่า
สิ่งนี้น่ะมันเหมือนกับ “การกลับชาติมาเกิด” ทุกประการเลยนี่นา…เหมือนๆกับที่เขามักเล่ากันว่ามีเซียนกลับชาติมาเกิดเป็นครั้งคราวโดยคงไว้ซึ่งความแข็งแกร่งดังเดิม นั่นเพราะจิตวิญญาณของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้นจะไม่สูญสลายไปในทันทีหลังจากตาย แต่จะวนเวียนอยู่ระหว่างโลกและสวรรค์โดยไม่มีความทรงจำใดๆเหลืออยู่เลย และเมื่อไหร่ที่ถึงเวลาหรือพบผู้ที่เหมาะสมก็จะไม่ลังเลที่จะมีชีวิตใหม่อีกครั้งบนโลกใบนี้ แบบเดียวกับการกลับชาติมาเกิดไม่มีผิด
อย่างไรก็ตาม การทีใครก็ตามจะได้วิญญาณของเหล่าตำนานกลับมาเกิดใหม่ในร่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ไม่ใช่แต่วิญญาณของผู้ที่กลับชาติมาเกิดจะต้องแข็งแกร่งมากๆแล้ว ชื่อของเจ้าของร่างยังต้องละม้ายคล้ายหรือเหมือนกับวิญญาณดวงนั้นๆอีกด้วย!
หากคนคนนั้นมีชื่อที่เหมือนกับตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว รวมถึงวิญญาณของผู้เป็นตำนานนั้นยังไม่สูญสลายไป โอกาสที่จะเกิดการกลับชาติมาเกิดก็จะยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าหลินหยูฉีจะคิดทบทวนขนาดไหน แต่นางก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่ามีตำนานคนไหนที่่ชื่อเย่เย่แล้วตายลงไป และเพราะโอกาสที่แม้จะมีมากที่สุดของการกลับชาติมากเกิดนั้นยังไงก็ยังน้อยกว่าที่ฝนจะตกเป็นเพลิง เธอจึงตัดสินใจลืมข้อสงสัยนี้ไปก่อน
เมื่อเห็นว่าเย่เย่นั้นเดินผ่านหน้าและออกจากโถงแห่งนี้ไปโดยไม่ได้พูดอะไร หลินหยูฉีก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ นางไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าเย่เย่นั้นผ่านการทดสอบของอารามจ้าววรยุทธ์ได้ไม่ว่าจะเห็นด้วยตาตนเองแล้วเมื่อครู่
อีกฟากหนึ่ง ทางฝั่งเย่เย่ที่กลับไปยังบ้านตระกูลเย่ ก่อนที่เขาจะได้กลับไปยังห้องของตนเอง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็รีบเดินมาหาเขาทันทีเมื่อเห็นหน้า
“หลานเย่ การทดสอบเป็นเยี่ยงไรบ้าง? หลานผ่านการทดสอบไหม?”
ผู้ที่เดินเข้ามาหาเย่เย่นั้นก็คือลุงคนที่สามของเขา เย่เฉิง เนื่องจากเย่เทียนนั้นยังคงอยู่ในขั้นการฝ่าอุปสรรคอันถาโถมเพื่อที่จะได้เป็นจ้าววรยุทธ์ เย่เฉิงจึงมาคอยดูแลและจัดการเรื่องต่างๆของตระกูลเย่แทนเขาชั่วคราวในฐานะเจ้าตระกูล และเพราะเย่เย่นั้นค่อนข้างจะสนิทกับเย่เฉิงมากกว่าผู้เป็นพ่อของตนเนื่องจากคนคนนี้ไม่ใช่พวกชอบอวดเบ่ง ดังนั้นแล้วถึงแม้ว่าจะรู้แล้วว่าเย่เย่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ได้แล้ว เย่เฉิงก็ยังคงปฏิบัติตนกับเย่เย่ดังเดิม
การที่เย่เย่ไปสอบเข้าเพื่อเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์นั้น เย่เฉิงเองก็รู้เรื่องนี้ ครั้นเมื่อได้ข่าวว่าเย่เย่กลับมาแล้ว เขาจึงรีบเข้าไปถามเกี่ยวกับเรื่องการสอบทันที
“ท่านลุงนี่เอง การสอบวันนี้ค่อนข้างจะเกินความคาดหมายข้านิดหน่อยน่ะขอรับ แล้วก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับคนรู้จักเก่าด้วย”
ในขณะที่เย่เย่กำลังจะเล่าต่อ เย่เฉิงก็ชิงตบไหล่เขาเบาๆพร้อมกับเอ่ยกับเขาด้วยเสียงปลอบโยน “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร การสอบน่ะมันก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นได้เสมอนั่นแหละ ยังไงซะก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในการทดสอบของเจ้าอยู่ดี เพราะงั้นหลานไม่ต้องกังวลไปหรอก กลับไปพักผ่อนให้สบายเถอะ”
เย่เฉิงนั้นคิดว่าเย่เย่กำลังว้าวุ่นเนื่องจากมีคนรู้จักมาพบว่าเย่เย่นั้นสอบไม่ผ่าน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้เย่เย่พูดเยอะไปกว่านี้และไม่ถามอะไรเพิ่มเพราะกลัวว่าจะกระทบจิตใจ
เมื่อตอนที่หลินหยูฉีมาพาตัวเย่เย่ไปเพื่อที่จะสอบนั้น เย่เฉิงเองก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก นั่นเพราะว่าในความคิดของเขา เย่เย่เพิ่งจะกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ได้แท้ๆ ควรจะให้เย่เย่ได้เตรียมตัวให้มากกว่านี้เสียก่อน แต่เพราะเย่เย่เองก็ดูอยากจะไปสอบด้วย เย่เฉิงจึงตัดสินใจที่จะไม่ห้ามและรอฟังข่าวคราวอยู่ที่บ้านแทน
ทั้งนี้เย่เฉิงเองก็เห็นมานานแล้วว่าหลินหยูฉีนั้นไม่ได้มีความกตัญญูต่อตระกูลเย่เลย แถมเขายังเห็นอีกว่านางนั้นแสดงความเกลียดชังเย่เย่ออกมาตลอด เหตุผลเดียวที่นางพาเย่เย่ไปรับการทดสอบเช่นนี้ก็ ไม่ใช่เพราะนางอยากจะช่วยเย่เย่ให้สอบเข้าอารามจ้าววรยุทธ์ได้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางต้องการจะแสร้งทำเป็นให้เย่เย่พ่ายแพ้กับการสอบด้วยตนเองต่างหาก และด้วยความที่เย่เย่นั้นเพิ่งจะได้เป็นจ้าวรยุทธ์ มันก็ย่อมไม่มีทางที่ เย่เย่จะสอบผ่านอยู่แล้ว
เพราะงั้นแล้วครั้งนี้เย่เฉิงจึงกล่าวโทษหลินหยูฉีอยู่เต็มอกเกี่ยวกับการที่ให้เย่เย่สอบเข้าเป็นศิษย์จ้าววรยุทธ์ไม่ผ่านแบบนี้ด้วยความไม่พอใจ
“ท่านลุง ท่านจะฟังข้าต่อหรือยัง? คนรู้จักที่ข้าว่านั้นเขาเป็นผู้คุมสอบข้าน่ะขอรับ แล้วก็ข้าเคยช่วยเขามาก่อนด้วย!”
เย่เย่ที่มองเย่เฉิงซึ่งกำลังโกรธอยู่นั้น เขาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่ ซึ่งดูเหมือนเย่เฉิงจะคิดไปไกลจนเขาพูดอะรไม่ออกเลย ดังนั้นเย่เย่จึงรีบแก้เรื่องที่เย่เฉิงเข้าใจผิดนี้ก่อนที่เรื่องมันจะใหญ่กว่าเดิมเสียก่อน
“โอ้ อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ เรื่องไม่คาดคิดน่ะเกิดขึ้นได้ในการสอบเสมอ เพราะฉะนั้นหลานไม่…”
เย่เฉิงยังคิดว่าเย่เย่นั้นคับอกข้องใจจนอยากจะอธิบายอยู่ แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าเขากำลังเข้าใจผิดเพราะไม่ยอมฟังให้จบ
“เมื่อครู่หลานว่าอะไรนะ? ผู้คุมสอบของหลานเป็นคนรู้จักงั้นเหรอ? แถมหลานยังเคยช่วยเขาอีกเหรอ? แล้วแบบนี้ผลลัพธ์ล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
“แน่นอน ก็ต้องผ่านอย่างง่ายๆอยู่แล้วสิขอรับ!”
เย่เย่ไม่ได้อธิบายว่าเขานั้นสอบผ่านได้ด้วยกำลังของตนเองล้วนๆ นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนในตระกูลเย่เองแตกตื่นจนแพร่งพรายเรื่องนี้ไปทั่ว ยังไงเสียเย่เย่ก็ยังอยากทำตัวเหมือนคนธรรมดาทั่วไปต่อก่อนที่จะจัดการพวกอัคคีกับกระบี่จรัสแสงให้หมดไปได้
“จริงเหรอ? ฮ่าๆๆๆ เยี่ยมยอดไปเลย! เท่านี้หลานเองก็เป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว! คราวนี้ล่ะต่อไปก็จะไม่มีใครดูถูกตระกูลเย่รวมถึงตัวหลานเองอีกต่อไปแล้ว!”
ยามที่พูดจมเย่เฉิงก็หัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้นรวมถึงพาเย่เย่ไปดื่มสาเกเพื่อฉลองให้กับเรื่องน่ายินดีกับเขาด้วย
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นี้เอง พลังชีวิตอันมหาศาลก็พรั่งพรูออกมาจากห้องของเย่เทียน ซึ่งเย่เฉิงนั้นไม่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้ แต่สำหรับเย่เย่นั้นเขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตนี้ได้อย่างชัดเจนเลย
“ถ้าข้าเดาไม่ผิดนะ ข้าว่าพวกเราน่ะได้จ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งตระกูลเย่มาอีกคนแล้วล่ะ!”
สีหน้าของเย่เย่ค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมาในขณะที่สายตาของเขาก็ดูจะพึงพอใจมากๆด้วย
เย่เทียนนั้นสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนั้น ยามที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาตื่นขึ้นมา เขาน่าจะสามารถจับคลื่นพลังแห่งชีวิตได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น เย่เย่ยังเดาเพิ่มจากความผันผวนของคลื่นชีวิตที่แผ่กระจายออกมาด้วยว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เทียนนั้นไม่น่าจะเป็นระดับต่ำเช่นเขาแน่นอน
“ฮ่าๆๆ หลานกำลังฝันกลางวันเรื่องไหนอยู่อีกน่ะ? แค่หลานสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ ข้ากับท่านพี่เทียนก็ดีใจกันจนจะเป็นจะตายแล้ว หลานคิดว่าจ้าววรยุทธ์เป็นกันได้ง่ายๆหรือไง?”
เย่เฉิงส่ายหน้าขณะที่คิดว่าเย่เย่นั้นพูดเพื่อให้เขามีความสุข กระนั้นแล้วเย่เย่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแต่เดินตรงไปยังห้องของเย่เทียนแทน
เพียงแค่ประตูของสวนที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเย่เทียนนั้นเปิดออก เย่เทียนที่อยู่กลางสวนดังกล่าวที่เพิ่งจะสำเร็จการก้าวขึ้นเป็นจ้าววรยุทธ์นั้นก็กำลังค่อยๆยืนขึ้นมาจากพื้นพอดี
“โอ้?! ท่านพี่เทียน!!”
ในตอนนี้เพราะเขาอยู่ใกล้กัน ขนาดเย่เฉิงที่ยังไม่ได้ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาเองยังรู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นชีวิตที่หลั่งไหลอยู่ทั่วร่างของเย่เทียน เขาตกใจสุดๆผ่านสีหน้าและค่อยๆเริ่มจะตกใจจนสั่นไปทั้งตัวราวกับเป็นพวกความรู้สึกช้าไปเสียอย่างนั้น
“ลูกเย่ อ้า เย่เฉิงเองก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ! พ่อโชคดีจริงๆ เพราะว่าพ่อน่ะสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้และกลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์เรียบร้อยแล้วล่ะ!”
หลังจากที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้แล้ว แรงกดดันอันมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา ด้วยแรงกดดันอันมหาศาลนี้ ทำให้เย่เทียนไม่รู้สึกเกรงกลัวแล้วยามที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าววรยุทธ์เหมือนที่ผ่านๆมา