บทที่ 170
ความแน่วแน่
เปรี้ยงงงงง!
ตู้มมมมมม!
เสียงการต่อสู้ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งค่ายกล ลำแสงพิฆาตของดวงดารายังคงสาดส่องมายังเหล่าศิษยานุศิษย์แห่งสำนักเหยี่ยวทมิฬที่กัดฟันสู้อย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาที่สูญเสียหนึ่งในกำลังสำคัญอย่างเฉินหนานเจียนไป ทำให้พวกเขาร่อแร่เต็มที
ในระหว่างที่ลิ่วฉินตงขอความเมตตาและรอคำตอบจากเย่เย่ กองกำลังของเขาก็ต้องรับมือกับการโจมตีที่ไม่หยุดหย่อนของซูฉีเจี่ย
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเสียงเล็กๆของสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งในจักรวาลที่กว้างใหญ่นั้นจะส่งไปไม่ถึงโสตประสาทของเย่เย่ หลังจากที่ดวงดาวส่องแสงประกาย ลำแสงสีขาวก็พุ่งตรงมายังร่างของลิ่วฉินตงอย่างรวดเร็ว
“เย่เย่ แกมันเศษสวะ!”
ทันทีที่รู้ว่าคำอ้อนวอนของเขาไม่สัมฤทธิผล ลิ่วฉินตงก็แหกปากตะโกนด่าทอเย่เย่ด้วยความเกลียดชังที่ฝังรากลึกไปถึงขั้วหัวใจ เขาคาดไม่ถึงว่าเย่เย่จะเพิกเฉยต่ออำนาจของสำนักเหยี่ยวทมิฬซึ่งเป็นถึง 1 ใน 7 ขุนพลแห่งราชวงศ์ฉางหลางได้
ตู้มมมมมมมมมมมมมมม!
แสงสีขาวส่องประกายจนทำให้ทั่วทั้งจักรวาลสว่างว้าบขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อแสงสว่างจางลงก็ปรากฏให้เห็นสภาพอันน่าอเนจอนาถของลิ่วฉินตงลอยเท้งเต้งอยู่เบื้องหน้าลูกน้องของเขา แม้ว่าเขาจะยังไม่ตายเนื่องจากใช้พลังปราณทั้งหมดทุ่มลงไปกับการป้องกันแบบเต็มสูบ แต่นั่นมันก็ทำให้เทพอสูรขั้นสูงอย่างเขาบาดเจ็บสาหัส
“ทะ…ท่านลิ่ว!?”
“มันจบแล้ว พวกเราจะตายกันหมด!”
เมื่อเห็นสภาพของลิ่วฉินตง กองกำลังของพวกเขาก็แตกกระเจิง พยายามหลีกหนีไปในทุกทิศทุกทาง แต่ทว่ามิติพิศวงนี้ก็อยู่ในการควบคุมของเย่เย่ ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปไหน พวกเขาก็ย้อนกลับมาที่เดิมเสมอ
“เหวอออออ อะไรกัน!?”
เย่เย่ที่ทนดูการกระทำอันเปล่าประโยชน์ของพวกเขาไม่ได้ ก็ดึงพลังของค่ายกลหมายปิดฉากศัตรูในคราเดียว
ดวงดาวเคลื่อนตัวรายเรียงเป็นแนวยาว พร้อมจะยิงลำแสงอานุภาพร้ายแรงใส่ผู้ที่รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต
“วะ…ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด! ขะ…ข้ายอมสวามิภักดิ์ต่อท่านแล้ว จะให้ข้าทำสิ่งใดข้ายินดีทำให้ได้ทุกอย่าง!” ครั้งนี้ลิ่วฉินตงไม่กล้าแม้แต่จะคิดกลับมาแก้แค้นเย่เย่อีก เขาเพียงต้องการที่จะเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณเท่านั้น ทว่าเย่เย่นั้นไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปได้ตั้งแต่แรก ชายร่างสูงที่พูดยังไม่ทันจบประโยคดีก็ถูกลำแสงพลังงานสีขาวสาดส่องจนสลายกลายเป็นผุยผงพร้อมๆกับลูกน้องของเขาและหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
เสียงระเบิดที่รุนแรงทำให้ทั่วทั้งจักรวาลสั่นสะท้าน หลังจากที่ศัตรูถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก เย่เย่ก็ดีดนิ้วเพื่อหยุดการทำงานของค่ายกล
ทันใดนั้นโดมทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมโถงของหอการค้าหยูเย่ก็ค่อยๆสลายตัวลง เย่เย่ ซูฉีเจี่ย และฉินเจิ้นตูก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฝูงชนที่คอยเอาใจช่วยพวกเขาอยู่ด้านนอกอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ ท่านเย่” เสวี่ยหยูดีใจจนน้ำตาคลอเบ้าออกมา
“ไชโย ท่านประธาน ท่านซู ท่านฉิน เก่งที่สุด!” เหล่าตัวประกอบขี้อวยก็อดกระโดดโลดเต้นด้วยความปีติยินดีเสียไม่ได้
ซูฉีเจี่ย และฉินเจิ้นตูต่างโบกมือช้าๆ และยิ้มตอบพวกเขา มีเพียงเย่เย่ที่ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย หลังจากกลับมาได้ เขาก็พูดกับแม่นางมู่หลูโดยไม่แยแสปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้าง
“แม่นางมู่ พวกเจ้าบาดเจ็บมาสินะ? อยู่รักษาตัวที่หอการค้าของข้าสักคืนนึงก่อนเถอะ แล้วเรื่องหลังจากนี้ค่อยว่ากันใหม่”
แม้ว่าการไปมีเรื่องกับสำนักเหยี่ยวทมิฬที่ทรงอำนาจจะทำให้เขาหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่ตราบใดที่นิกายลำนำแห่งขุนเขายังไม่ถูกทำลายก็จะยืดเวลาของการเกิดมหาสงครามออกไปได้ระยะหนึ่ง ซึ่งระยะเวลาสั้นๆนี้มีค่าสำหรับเย่เย่มาก
ในทีแรกแม่นางมู่นั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของเย่เย่ ทำให้นางคิดว่าการมีอยู่ของพวกนางรังแต่จะทำให้หอการค้าหยูเย่เดือดร้อนเสียเปล่าๆ แต่เมื่อนางเห็นศักยภาพของเย่เย่
ทำให้ความคิดของนางเปลี่ยนไป
“ท่านเย่ มาเป็นส่วนหนึ่งของข้าไหมเจ้าคะ?”
สิ้นเสียงของแม่นางมู่ หม่าเจียนเยว่ก็สะดุ้งโหยง พลางมองแม่นางมู่ด้วยดวงตาที่เบิกโพลง
“ขะ…ข้าหมายถึง ข้าจะชวนหอการค้าหยูเย่มาเป็นพันธมิตรกับนิกายของพวกเราตะหากเล่า สะ สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวใช่ไหมล่ะ” หลังจากเห็นปฏิกิริยาของหม่าเจียนเยว่ แม่นางมู่ก็หน้าแดง โบกไม้โบกมือและพูดอย่างติดๆขัดๆ
หม่าเจียนเยว่ได้ยินดังนั้นก็กอดอกพลางถอนหายใจ ก่อนที่เขาและลั่วเฟิงเฉิงจะชายตามองเย่เย่ราวกับรอฟังคำตอบจากเขา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่เย่เย่เป็นตาเดียวกัน
เมื่อชั่งน้ำหนักดูดีๆแล้ว ดูเหมือนว่าการเข้าร่วมกับนิกายลำนำแห่งขุนเขาจะเป็นการสร้างศัตรูเพิ่มโดยใช่เหตุ จากเดิมที่มีเพียงสำนักเหยี่ยวทมิฬ จะกลายเป็นว่าต้องรับมือกับกองกำลังทั้ง 7 ขุนพลในเวลาเดียวกัน แต่หากร่วมมือก็จะสามารถต่อลมหายใจของนิกายและจะยื้อเวลาของมหาสงครามออกไปได้อีกเช่นกัน
แต่ทว่าซูฉีเจี่ยและพรรคพวกเห็นตรงกันว่าไม่ควรไปเสี่ยงอีก ทุกวันนี้ก็มีศัตรูมากมายจนพวกเขารับมือกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงภาวนาไม่ให้เย่เย่ตอบตกลงข้อเสนอของแม่
นางมู่
แม้ว่าแม่นางมู่จะรู้สึกผิดแค่ไหน แต่นางก็ยังหวังอยู่ลึกๆว่าเย่เย่จะตอบรับข้อเสนอ สัญชาติญาณบางอย่างของนางได้บอกกับนางว่าเย่เย่นั้นเป็นกุญแจสำคัญที่จะพลิกสถานการณ์ ดังนั้นนางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เย่เย่มาเป็นพวก
เย่เย่นั้นมั่นใจว่าด้วยระบบแลกเปลี่ยน และพลังของอารามวิถีสวรรค์ผนวกกับการช่วยเหลือจากเหยียนลี่หยางจะทำให้เขาผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปอย่างไม่ยากเย็น แต่ทว่าเขายังมีอีกหลายชีวิตในหอการค้าหยูเย่ที่ต้องรับผิดชอบ และเขามองว่าหอการค้าหยูเย่ยังไม่พร้อมสำหรับศึกในครั้งนี้
“ข้าขอโทษ ข้าไม่สามารถเอาผู้คนทั้งหอการค้าไปเสี่ยงได้ ข้ารู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วไฟสงครามจะลุกลามไปทั่ว และเมื่อเวลานั้นมาถึงหอการค้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมได้อยู่ดี แต่หากข้าร่วมมือกับเจ้าในตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ” หลังจากอยู่ในห้วงความคิดอยู่พักใหญ่ เย่เย่ก็ตอบปฏิเสธแม่นางมู่อย่างหนักแน่น
คำตอบของเย่เย่นั้นไม่ได้เกินการคาดการณ์ของแม่นางมู่ นางก้มหน้าลง และพูดกับเย่เย่ขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ต้องขออภัยด้วยที่ข้าเสียมารยาท”
ลั่วเฟิงเฉิงและหม่าเจียนเยว่เองก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่ได้สูญเสียความมั่นใจไปเสียทีเดียว เพราะไพ่ตายอย่างเมล็ดพันธุ์บัวหิมะที่ลุกไหม้ยังอยู่ในกำมือของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขากลับไปยังนิกายและส่งมอบเมล็ดบัวให้เม่งเทียนฉือได้ พวกเขาก็ยังพอมีหวังอยู่ หลังจากเย่เย่บอกให้มู่หลูเงยหน้าขึ้น เขาก็สั่งให้เสวี่ยหยูจัดเตรียมห้องพักสำหรับแขกทั้งสาม ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้าย เย่เย่ก็นึกบางอย่างขึ้นได้และถามแม่นางมู่ขึ้น
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าประมุขของพวกเจ้าเก่งกาจแค่ไหนหลังจากได้พลังจากเมล็ดบัว แต่หากไม่ว่ายังไงนิกายของพวกเจ้าต้องล่มสลาย พวกเจ้าจะทำยังไงกันต่อไป?”
หลังจากถามเสร็จ เย่เย่ก็จ้องไปในดวงตาของแม่นางมู่ เพื่อหวังอ่านความรู้สึกนึกคิดจากสีหน้าของนาง
“เมื่อวันนั้นมาถึง ข้ายอมสู้ตาย”
ไม่เพียงแต่แม่นางมู่ที่มีสีหน้าที่แน่วแน่ หม่าเจียนเยว่และลั่วเฟิงเฉิงเองก็พยักหน้าด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาเตรียมใจมาเป็นอย่างดี
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
เย่เย่ขมวดคิ้วด้วยความสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม่นางมู่และพรรคพวกของนางถึงได้ยึดติดกับนิกายนัก ต่อให้มันเป็นที่ที่นางเติบโตมา แต่เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่พวกนางจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ราวกับคนเขลาเช่นนั้น…