บทที่ 172
หืดขึ้นคอ
ซู่ววววววว
หวางเจียงหลิงเงื้อดาบสุดแขนฟาดฟันไปที่เย่เย่อย่างเต็มแรงจนทำให้เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งสนามประลองในชั่วพริบตา
“นี่ท่านอยู่ระดับเดียวกับข้าอย่างงั้นรึ?”
เย่เย่ที่เอี้ยวตัวหลบวิถีของคมดาบได้ทัน ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตะลึงเมื่อประเมินพลังที่แท้จริงของหวางเจียงหลิงได้คร่าวๆจากการโจมตีของเขา
พลังปราณที่อัดแน่นอยู่ที่ใบดาบแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความอุตสาหะที่ชายชราผู้นี้ได้บ่มเพาะพลังปราณมาอย่างยาวนาน
เป็นครั้งแรกที่สัญชาตญาณของเย่เย่รับรู้ถึงอันตรายจากการกวัดแกว่งดาบเพียงครั้งเดียวของศัตรู
“ตาข้า!”
เมื่อสบโอกาสเย่เย่ไม่รอช้า เขาโคจรพลังปราณไปทั่วร่างและปลุกจิตวิญญาณแห่งมังกร อสรพิษออกมา และขว้างหมัดใส่ชายชราในทันที
เคร้งงงงงง!
กำปั้นที่แข็งดุจเหล็กกล้ากระทบกับคมดาบของหวางเจียงหลิงจนเกิดเสียงโลหะกระทบกันดังกังวานเสียดหูจนทำให้ผู้ชมต้องยกมือทั้งสองข้างมาอุดหูเอาไว้
ความหนักหน่วงของหมัดของเย่เย่ทำให้จ้าวสำนักดาบร่นถอยออกไปไกลจนติดขอบเวที ขาทั้งสองข้างลากไปกับพื้นกระเบื้องจนเกิดรอยลากยาว
“น่ะ..นี่มัน!? จิตวิญญาณการต่อสู้ของเจ้างั้นรึ? น่าสนุกดีนี่” เมื่อหวางเจียงหลิงสังเกตเห็นผิวหนังของเย่เย่ที่แปรสภาพเป็นเกล็ดแข็งไปทั่วทั้งร่างยกเว้นส่วนหัว เขาก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น แทนที่จะหนีหรือตั้งรับชายชรากับยันเท้าไปข้างหลังและดีดตัวเข้าหาเย่เย่อีกครั้งราวกับต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของพญามังกร
เย่เย่ที่เห็นศัตรูวิ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็ว ก็ยืนมองด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นรับดาบของจ้าวสำนักดาบอย่างซึ่งๆหน้า ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ความเร็วของผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเทพอสูรทำให้เหล่าคนดูยากที่จะมองการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ด้วยตาเปล่า
เคร้ง เคร้ง เคร้งงงง!
ไม่ว่าจะโจมตีสักกี่ครั้ง ดาบของหวางเจียงหลิงก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลถากๆให้กับเย่เย่ได้เลย จึงดูเหมือนว่าเย่เย่จะเป็นฝ่ายที่ไล่ต้อนชายชราอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ทันไรขาข้างซ้ายของชายชราก็เกาะอยู่ที่ปลายขอบของเวทีประลอง
“จบกันซะที!” เย่เย่ได้ทีเงื้อหมัดของเขาหมายปิดบัญชีให้เร็วที่สุด แต่ทว่า
“ดาบสวรรค์สะบั้นเมฆา!” ในเสี้ยวอึดใจนั้นเอง หวางเจียงหลิงก็ได้งัดกระบวนท่าลับประจำสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายออกมา และสะบัดดาบอย่างรุนแรงจนทำให้เย่เย่ต้องทิ้งระยะออกไป
สายลมทำให้กลุ่มเมฆก่อตัวขึ้นและเคลื่อนตัวปกคลุมสนามประลอง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงใจกลางเวทีประลองระหว่างทั้งสองเท่านั้นที่ท้องฟ้ายังปลอดโปร่งพอให้มีแสงทองส่องลงมาอยู่รำไร
แสงอาทิตย์ต้องกับดาบของหวางเจียงหลิงจนเกิดแสงสะท้อนสว่างวาบไปทั่วทั้งเมืองหลิงเฉิง จนชาวเมืองต่างเงยหน้าขึ้นฟ้ามองปรากฏการณ์นี้เป็นตาเดียวกัน
เป็นครั้งแรกที่นัยน์ตาของเย่เย่สะท้อนความตื่นเต้นในการต่อสู้ออกมา เขาดีดตัวพุ่งโจมตีคมดาบของหวางเจียงหลิงอย่างสุดกำลัง
สายลมเริงระบำ สายฟ้าคำราม กลุ่มเมฆสีขาวที่ก่อตัวขึ้นจากกระบวนท่าของหวางเจียงหลิงกลับกลายเป็นสีดำทมิฬในทันทีที่เย่เย่ใช้กระบวนท่าคู่ใจ
ทุกครั้งที่เย่เย่โจมตีสายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงมาที่ร่างของศัตรู
เปรี้ยงงงงงงงงงงง!
เสียงอสนีบาตกัมปนาทดังลั่น จนเกิดแรงสั่นสะเทือนอ่อนๆ ผู้ชมต่างขนลุกซู่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้าน อย่างไรก็ตามพลังป้องกันของหวางเจียงหลิงนั้นเหนือกว่าศัตรูทุกคนที่เขาเจอมา
หลังจากเสียงฟ้าผ่าสงบลง ชายชราก็โผล่ออกมาจากแสงสีม่วงที่บดบังวิสัยทัศน์ของเย่เย่ชั่วขณะ
ซู่วววววววว
เมื่อสลาตันฟ้าคำรามสงบลง ทั่วทั้งสนามประลองก็ถูกปกคลุมด้วยควันและฝุ่นละอองที่ปลิวว่อน จนทำให้ผู้ชมทั้งสองฝ่ายต้องยกแขนขึ้นมาป้องตาเอาไว้
เย่เย่ที่ไม่ทันตั้งตัว ก็ใช้พลังแห่งสายลมก่อตัวเป็นกำแพงขึ้นมาเพื่อเบี่ยงวิถีดาบของชายชรา แต่ก็ไม่เป็นผล ดาบของหวางเจียงหลิงตัดฝ่าแนวป้องกันได้ง่ายดายราวกับมีดผ่าเนย
“บ้าน่า!”
แม้ว่าการป้องกันจะเปล่าประโยชน์ แต่ก็สามารถยืดเวลาให้เย่เย่ตั้งตัวได้ทัน
ตู้มมมมมมมมมม!
เกล็ดมังกรและดาบยาวปะทะกันอีกครั้ง มวลอากาศระเบิดออกอย่างรุนแรงและปัดเป่าควันที่ปกคลุมสนามประลองออกไปจนสิ้น ร่างของทั้งสองปรากฏต่อหน้าฝูงชนอีกครั้ง
แหมะ แหมะ แหมะ
เสียงเลือดหยดลงกับพื้นอย่างช้าๆ
“น่ะ..นี่มันอะไรกัน!?” สมาชิกหอการค้าหยูเย่ต่างตกใจจนพูดออกมาไม่เป็นศัพท์
เย่เย่เป็นฝ่ายที่ต้องถอยออกมาตั้งหลัก เขาใช้มือซ้ายกุมมือขวาที่โชกเลือดเอาไว้
วิชายุทธ์ดาบสวรรค์สะบั้นเมฆาของหวางเจียงหลิงนั้นร้ายกาจกว่าที่เขาคาดคิดไว้ เป็นครั้งแรกที่ความลำพองตนของเขาย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เย่เย่กัดริมฝีปากเงยหน้ามองชายชราด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป พลางรวมศูนย์ลมปราณไปที่บาดแผลเพื่อสมานมันเข้าด้วยกัน
“สมแล้วที่เป็นจ้าวสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายที่เลื่องชื่อ! ข้าน้อยขอคารวะจากใจจริง…แต่ท่านอย่าได้คิดว่าเพียงเท่านี้จะเอาชนะข้าได้!” เย่เย่แสยะยิ้มแปลกๆออกมา พลางคิดว่าศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงบททดสอบที่จะทำให้เขาบรรลุขั้นจิตพิสุทธิ์ได้เร็วขึ้นเพียงเท่านั้น
สายลมแรงและจิตสังหารแผ่ซ่านออกมาจากรอบๆตัวของเย่เย่ จนทำให้หวางเจียงเหลียงถึงกับต้องยกดาบขึ้นป้องกันโดยอัตโนมัติ
ทันใดนั้นเองฝนฟ้าคะนองก็ก่อตัวขึ้นปกคลุมสนามประลองอีกครั้ง!
ภายใต้การควบคุมของผู้ที่สำเร็จวิชาอย่างเย่เย่ ทำให้พลังของสายฟ้าและพายุผสานรวมกันเป็นหนึ่ง จนก่อให้เกิดพายุแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ทอดยาวขึ้นไปจรดฟ้า
หวางเจียงหลิงเงื้อดาบเหนือหัวก่อนสะบั้นพายุสายฟ้าขาดออกเป็นสองท่อน ความแรงในการฟันของเขาทรงพลังถึงขนาดที่ท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยก้อนเมฆสีดำ แยกออกจนแสงอาทิตย์ทอดลงมาสู่พื้นโลกอีกครั้ง
แต่ทว่าไม่นานนักทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในการควบคุมของเย่เย่ พายุไฟฟ้าที่ถูกแยกออกเป็น 2 ซีก รวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง กลุ่มเมฆสีดำที่แยกออกก็เคลื่อนตัวปกคลุมน่านฟ้าดังเดิม
ครั้งนี้วังวนพายุได้ก่อตัว ห้อมล้อมตัวหวางเจียงหลิงเอาไว้ตรงใจกลาง
ชายชราไม่ลดละความพยายาม เขาตั้งสติและรวบรวมลมปราณลงไปที่ตัวดาบ ก่อนที่จะฟาดฟันพายุที่รายล้อมตัวเขา แต่ทว่าทันใดนั้นเองเย่เย่ก็ปรากฏตัวขึ้นและใช้ฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณประทับลงไปที่กลางอกของหวางเจียงหลิง
“อั่กกกก” หวางเจียงหลิงที่จดจ่ออยู่กับพายุ ก็ไม่ทันตั้งตัวและถูกเย่เย่ซัดเข้าจังเบอร์จนกระอักเลือดออกมากลางอากาศ ร่างของเขาปลิวออกไปไกลจนหลุดออกจากวังวนพายุ
ในชั่วขณะจิต ก่อนที่ร่างของเขาจะสัมผัสกับพื้นด้านล่างเวทีประลอง หวางเจียงหลิงก็เหยียบอากาศดีดตัวขึ้นกลับมาบนเวทีอีกครั้ง
“ดาบผ่าสวรรค์ แผ่นฟ้าทลาย” ทันทีที่หวางเจียงหลิงตั้งตัวได้ เขาก็งัดไพ่ตายก้นหีบออกมาอย่างไม่ลังเล ชายชราเปลี่ยนท่าจับดาบและถีบตัวทะยานเข้าหาศัตรูอย่างรวดเร็ว
คมดาบกรีดอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ แม้ว่าใบดาบจะยังไม่ถึงตัวเย่เย่ แต่คลื่นอากาศที่คมกริบก็เฉือนใบหน้าของเขาจนเลือดซิบออกมา
ความเร็วที่เหนือมนุษย์ของหวางเจียงหลิง ทำให้การเคลื่อนไหวของเย่เย่ดูเอื่อยเฉื่อยลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเย่เย่ได้ปล่อยเข็มดัชนีเยือกแข็งออกจากแขนเสื้อไปก่อนหน้านี้แล้ว
เคร้ง เคร้งงง!
เข็มสองเล่มปะทะกับดาบจนเกิดประกายไฟขึ้นเป็นระยะๆ
ฟิ้ววววววววว ฉึก!
“อั่กกกกกกก”
หวางเจียงหลิงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เข็มเล่มที่สามพุ่งเข้าใส่ที่กลางหลังของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เย่เย่เห็นดังนั้นก็รีบสาวเท้าเข้าประชิด ใช้ฝ่ามือประทับซ้ำไปที่กลางอกอีกครั้ง
เปรี้ยงงงงงงงงง!
หวางเจียงหลิงถูกเย่เย่ซัดกระเด็นอย่างไร้การป้องกัน ร่างของเขาลอยจนตกขอบเวที และสัมผัสถึงพื้นดินที่เย็นเฉียบไปถึงขั้วหัวใจ วินาทีนั้นเองเป็นวินาทีที่ชายชราสัมผัสได้ถึงความพ่ายแพ้
ในชั่ววินาทีสั้นๆนั้นเอง เสียงเชียร์ที่ดังสนั่นก็พลันเงียบสงัดลง ผู้ชมทั่วทั้งสนามต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เสียงตะโกนลั่นของหวางฉีเจี่ย และศิษย์แห่งสำนักดาบกลับส่งไปไม่ถึงหูของจ้าวสำนัก พวกเขารีบกระโจนลงจากอัฒจันทร์และพยุงร่างของหวางเจียงหลิงขึ้น
ในขณะเดียวกันทันทีที่ผลลัพธ์ของการประลองเป็นที่ประจักษ์ เหล่าสมาชิกหอการค้าหยูเย่ก็กระโดดโลดเต้น ร้องเฮลั่นด้วยความปีติยินดี
“ไชโย พวกเราชนะแล้ว!”
“ตาลุงนั่นร้ายกาจไม่เบาเลยนะ แต่ก็สู้ท่านประธานไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”
“ผลลัพธ์มันก็รู้ๆกันอยู่” ชายผู้หนึ่งกอดอกพร้อมพูดยืดอกควันออกจมูกอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อหวางเจียงหลิงได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพลางมองมือที่สั่นเทาทั้งสองข้างของเขาอย่างไม่อยากยอมรับ แต่เมื่อเงยหน้ามองเย่เย่ที่กำลังเดินเข้ามา เขาก็ประสานมือและพูดขึ้น
“ข้าแพ้แล้ว…ตามที่ตกลงกันไว้ บัดนี้สำนักดาบบูรพาไร้พ่ายขอสวามิภักดิ์ต่อหอการค้าหยูเย่”
แม้ว่าเหล่าสมาชิกระดับสูงของสำนักดาบจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ไม่มีใครกล้าประท้วง พวกเขาได้แต่ประสานมือและโค้งคำนับแก่เย่เย่ตามจ้าวสำนักเพียงเท่านั้น “ข้าน้อยขอคารวะท่านเย่!”
“ลุกขึ้นเถอะ! ก่อนอื่นท่านหวางเชิญทานโอสถนี่เสียก่อนเถอะ!” เย่เย่ไม่ได้สนใจพิธีรีตองอะไรมากมาย เขาควักยาออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้ชายชราจ้าวสำนัก
ทันใดนั้นเอง ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวของหวางฉีเจี่ย
“สำนักดาบของพวกเราถือคำสัตย์ พูดแล้วไม่คืนคำ ใยท่านเย่จึงคิดจะบงการพวกเราด้วยยาพิษอีกกันล่ะ?” หวางฉีเจี่ย กล่าวหาเย่เย่ด้วยคำลวง แต่ทว่ามันก็ได้ผล เหล่าศิษย์แห่งสำนักดาบที่อัดอั้นตันใจเป็นทุนเดิมก็ทวีความรุนแรงขึ้น ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวอย่างผิดรูปด้วยความโกรธแค้น
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองสินะ ไอ้หอการค้าจอมหลอกลวง!”
“ข้าจะเอาเลือดชั่วๆของพวกเจ้าออกมาเอง!”
บรรยากาศในสนามประลองก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เหล่าศิษย์แห่งสำนักดาบต่างจ้องจะแก้แค้นให้กับจ้าวสำนัก พวกเขามองเย่เย่ด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์เสียยิ่งกว่าอะไรดี
ซูฉีเจี่ยและตู๋กู่เหยียนที่เห็นท่าไม่ดี เขาก็รีบกระโจนลงมาที่สนามประลองเพื่อหวังคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดนี้
“พวกขี้แพ้ชวนตี เจ้าแพ้แล้วยังจะเอาอะไรอีก?”
“เหอะ! คิดจะเล่นลิ้นกลับคำรึยังไง ข้าตู๋กู่เหยียนผู้นี้ไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นหรอกนะ!”
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์มันลุกลามไปมากกว่าที่พวกเขาคาดคิด ทั้งสองก็ชักอาวุธออกมาตั้งท่าเตรียมประจันหน้ากับเหล่าศิษย์แห่งสำนักดาบบูรพาไร้พ่าย และดูเหมือนว่าหากผู้นำของทั้งสองฝ่ายยังไม่มีท่าทีอะไร สถานการณ์นี้คงจะจบลงด้วยการนองเลือด…