บทที่ 174
แนบเนียน
สมรภูมิ ณ เมืองหยางเฉิงยังคงดำเนินต่อไปยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนกองระเกะระกะละลานตาไปทั่วทุกหนแห่ง
จำนวนผู้คนที่ล้มตายลงในแต่ละวันนั้นไม่น้อยไปกว่าจำนวนสมาชิกในตระกูลใหญ่ๆในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้เลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่วันแรกที่ไฟสงครามปะทุขึ้นก็ผ่านมาได้ราวสามวันเต็มๆ
หน่วยอารักขาที่คอยลาดตระเวนในบริเวณชั้นในของตำหนักประกายแสงก็ได้ถกเถียงกันเกี่ยวกับการต่อสู้ด้านนอก
“น่ากลัวจริงๆ ป่านนี้ศิษย์พี่ของข้าจะเป็นยังไงบ้างนะ”
“พวกเรายังดีที่ไม่ถูกส่งออกไปรบแบบนั้น ไม่งั้นได้ไปนอนคุยกับรากมะม่วงตั้งนานแล้ว”
“พูดก็พูดเถอะ อยู่นี่ข้าไม่มีอะไรทำ เบื่อจะตายอยู่แล้ว…”
พวกเขาพูดพลางก้มหน้าอย่างเศร้าสลด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ย พวกแกน่ะ! มัวซึมกะทืออะไรกันอยู่? อยากโดนไล่ออกนักหรือไงหา!?” เสียงขึงขังของหัวหน้ากลุ่มอารักขาดังขึ้น ปลุกพวกเขาตื่นขึ้นจากภวังค์
หัวหน้ากลุ่มอารักขานี้ แม้ว่าจะมีระดับวรยุทธ์เพียงชั้นจ้าววรยุทธ์ แต่เขาก็มีท่าทีวางก้ามและดูถูกเหยียดหยามผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่เป็นประจำ
“เฮ้อ~ พอทีเถอะ เซี่ยงจุน ตำแหน่งที่ได้มาจากเส้นสาย มันมีอะไรน่าภูมิใจนักรึไง” เฉินหลุนหนึ่งในสมาชิกกลุ่มอารักขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย โดยปกติแล้วเขามักเลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ทำให้เขาเหลืออดและพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา
“ใช่ๆ ถ้าเจ้าเก่งนักก็ออกไปสู้เองซะสิ ไป!”
“ข้าของออกความเห็น แต่ข้าบอกได้เลยว่าถ้าหอการค้า หยูเย่ชนะสงครามเราจะซวยกันทั้งหมดนี่แหละ!”
เมื่อมีคนเปิดก็ต้องมีคนตาม เหล่าสมาชิกกลุ่มอารักขาที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากการใช้อำนาจโดยมิชอบของเซี่ยงจุนมาอย่างช้านาน ก็เริ่มอดรนทนไม่ไหวและแว้งกัดนายของตน
“น่ะ…นี่พวกแก!” เมื่อเห็นว่าอำนาจเริ่มใช้ไม่ได้ผล สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
ทันใดนั้นเองก็มีชายหนุ่มลึกลับปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดอย่างเงียบงัน
“เจ้านี่นะ หัดฟังความเห็นของลูกน้องซะบ้างเถอะ”
ชายหนุ่มผู้บุกรุกนอกจากที่จะไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว หนำซ้ำยังยื่นข้อเสนอแนะให้กับคนที่ไม่รู้จักหน้าคร่าตาอย่างหน้าตาเฉยอีกด้วย
“ใครกัน!? จะออกไปแต่โดยดีหรือจะให้พวกข้าฆ่าเจ้าเสียตรงนี้ซะเลย!”
เซี่ยงจุนสะดุ้งโหยงทันทีที่สังเกตเห็นชายแปลกหน้า เขาเร่งสั่งลูกน้องให้จัดการกับชายลึกลับที่อยู่ตรงหน้า
แม้ว่าเฉินหลุนและพรรคพวกจะไม่เต็มใจนัก แต่หน้าที่ต้องมาก่อน พวกเขาชักอาวุธและก้าวเท้าขึ้นสมทบกำลังกับ เซี่ยงจุน
ชายหนุ่มลึกลับผู้นี้หาใช่ใครที่ไหน เขาก็คือเย่เย่ที่เพิ่งสำเร็จวิชาขั้นจิตพิสุทธิ์นั่นเอง เขาได้ลักลอบเข้ามาติดตั้งค่ายกลในบริเวณชั้นในของตำหนักประกายแสงอย่างลับๆ และได้พบกับหน่วยอารักขาทั้ง 4 ที่กำลังตรวจตราภายในตำหนักเข้าโดยบังเอิญ
“ข้าให้โอกาสพวกเจ้านับ 1 ถึง 10 ถ้ารีบหนีไปซะตอนนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า”
เย่เย่พยายามโน้มน้าวให้พวกเขาหลีกทางไปแต่โดยดี เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือดโดยไม่จำเป็น แต่ทว่าเซี่ยงจุนนั้นไม่รู้จักหน้าคร่าตาของเย่เย่ เขาจึงตอบกลับด้วยท่าทีที่หยิ่งผยอง
“เหอะ! เจ้าพูดเช่นนี้อยากตายนักรึไง?” ทันทีที่เซี่ยงจุนพูดจบ เฉินหลุนและพรรคพวกก็ชักอาวุธเข้าประชิดตัวเย่เย่ด้วยแรงกดดันมหาศาล ดูเหมือนว่าหากเย่เย่ขยับตัวเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะฆ่าทิ้งอย่างไม่ลังเล
“ช่างน่าเสียดาย” เย่เย่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ฟิ้วววววววววว
ตุบ
เร็วกว่าความคิด ร่างของเย่เย่ก็พุ่งฝ่าแนวป้องกันของหน่วยอารักขาไปได้ราวกับสายลม ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาทั้งสี่จะล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
เย่เย่ไม่แม้แต่หันหลังกลับมามอง เขายังคงติดตั้งค่ายกลกรงขังมังกรให้ครอบคลุมทั่วตำหนัก
ระหว่างที่เย่เย่ตั้งหน้าตั้งตาทำตามแผนของเขาอยู่นั้น สงครามที่เขาใช้เป็นนกต่อก็ใกล้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที
“ทุกท่าน ถอยไปตั้งหลักก่อน!” เมื่อซูฉีเจี่ยสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของพวกพ้อง แม้จะเจ็บใจที่ไม่สามารถพิสูจน์ตนได้ แต่เขาก็สั่งถอนทัพในทันที
“ศิษย์แห่งสำนักดาบทุกท่านจงฟังข้า จงคุ้มกันกองกำลังของหอการค้าอย่าให้พวกศัตรูมันโถมเข้ามาได้!” แม้ว่าหวางเจียงหลิงยังคงประจันหน้ากับหลินซิวเหยียนอยู่ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะออกคำสั่งให้กับบรรดาลูกน้องของเขา
“คิดหนีงั้นเรอะ ฝันไปเถอะ!” หลินซิวเหยียนที่เห็นศัตรูล่าถอย เขาก็คว้าโอกาสทองครั้งนี้ไว้อย่างไม่ลังเล ในจังหวะเดียวกับที่เขากวัดแกว่งดาบเข้ารุกไล่หวางเจียงหลิง เขาก็ควักประคำสีฟ้าออกมาขว้างใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
เปรี้ยงงงงงง!
ซู่วววววววว
ประคำสีฟ้าแตกตัวออกก่อนที่จะถึงตัวของ หวางเจียงหลิง ทันใดนั้นเองไอเย็นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างของ จ้าวสำนักดาบ และผนึกการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้
“บ้าน่า!?”
หวางเจียงหลิงลุกลี้ลุกลน โคจรลมปราณไปทั่วร่างเพื่อปลดผนึกด้วยพลังความร้อนของร่างกาย แต่ทว่าไอเย็นนั้นทำให้ประสาททั่วทั้งร่างด้านชา
“ตายซะ!” หลินซิวเหยียนเงื้อดาบสุดแขนหมายปลิดชีวิตของหวางเจียงหลิง
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มรูปงามก็ปรากฏตัวขึ้น และถีบ หลินซิวเหยียนจนกระเด็นออกไป
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง
“อั่กกกกก”
“ทะ…ท่านเย่!?” หวางเจียงหลิงมองเย่เย่ด้วยความตกตะลึง เขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวเย่เย่
“พวกท่านถอยไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าเสร็จธุระแล้วจะตามไป” เย่เย่พูดกับหวางเจียงหลิง และซูฉีเจี่ยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ก่อนที่จะชายตามองกองกำลังจำนวนมหาศาลของศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
“ยอมแพ้แต่โดยดีซะ ไม่เช่นนั้น…”
“ไอ้บ้านี่มันคิดจะฆ่าพวกเราทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวรึไง เสียสติไปแล้วแน่ๆ”
แม้ว่าพวกเขาจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่ประมุขของพวกเขาถูกซัดจนหมอบด้วยการโจมตีธรรมดาๆเพียงครั้งเดียว แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าเย่เย่เพียงคนเดียวจะล้มพวกเขาทั้งหมดลงได้ กำลังใจที่หดหายไปในชั่วครู่ก็กลับมาอีกครั้ง
“ชะ…ช้าก่อน!” หลินซิวเหยียนรวบรวมแรงกายทั้งหมดที่มี ตะโกนลั่นออกมา แต่ทว่ามันก็สายเกินไป…