บทที่ 175
ค่ายกลหมอกโลหิต
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมม!
เพียงแค่เย่เย่วาดหมัดมาข้างหน้าเล็กน้อย พลังปราณที่ถ่ายออกมาจากหมัดของเขาก็ระเบิดออกเป็นคลื่นพุ่งใส่ศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาอย่างรุนแรง
“บะ…บ้าน่า!”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก”
หลายร้อยชีวิตที่กรูเข้ามาก็พลันดับสูญลงในชั่วพริบตา ร่างของพวกเขากระเด็นออกไปไกล หลายลี้ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นดินอีกครั้ง
“จะ..เจ้าเย่นี่อย่าบอกนะว่าแก!? แกบรรลุขึ้นจิตพิสุทธิ์แล้วงั้นเรอะ!” หลินซิวเหยียนที่เห็นเหล่าศิษย์มากฝีมือของเขาแตกพ่ายอย่างไม่เป็นท่า ก็ถึงกับตะโกนลั่นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ในจังหวะชุลมุนนั้นเองเขาก็สบโอกาสวิ่งกระเสือกกระสนหลบเข้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็ว
“จิตพิสุทธิ์งั้นรึ!? นี่ท่านประธานบรรลุถึงขั้นนั้นแล้วรึนี่?” ไม่เพียงแต่หลินซิวเหยียนที่ตกใจ แม้กระทั่งซูฉีเจี่ย และ หวางเจียงหลิงที่เพิ่งประมือกับเย่เย่เมื่อไม่นานมานี้ต่างก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน พวกเขาเอาแต่ยืนทื่อจ้องแผ่นหลังของเย่เย่เป็นตาเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหวางเจียงหลิง แม้ว่าเขาจะมีวรยุทธ์ระดับเทพอสูรเช่นเดียวกับเย่เย่มาก่อน แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดถึงการก้าวข้ามขั้นจิตพิสุทธิ์มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว นับว่าการบรรลุขั้นของเย่เย่ในครั้งนี้สร้างแรงผลักดันให้คนแก่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างเขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ทั้งสมาชิกหอการค้าหยูเย่ และศิษย์สำนักดาบต่างมองเย่เย่ด้วยความเคารพเทิดทูน กำลังใจที่ดับมอดจากความเหนื่อยล้าก็กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“หอการค้าหยูเย่จงเจริญ!”
ภายใต้เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ เหล่าสองพันธมิตรก็รุกไล่กดดันศัตรูเข้าไปทีละก้าวๆ เย่เย่เองก็ไล่ตามหลินซิวเหยียนไปเช่นกัน
ทันทีที่เย่เย่ก้าวเข้าไปในตัวตำหนัก หมอกสีแดงเข้มราวกับเลือดก็ก่อตัวขึ้นรายล้อมตัวเขาเอาไว้
“ค่ายกลงั้นรึ!?” เย่เย่มองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจ
บรรยากาศห้องโถงที่โอ่อ่าของตำหนักประกายแสงก็ถูกแทนที่ด้วยหมอกโลหิต ไม่นานนักเย่เย่ก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มหน่วงๆและหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆราวกับถูกแรงกดทับ เมื่อเขาโคจรลมปราณก็รู้ได้ทันทีว่าระดับวรยุทธ์ของเขาค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนเหลือเพียงระดับเทพยุทธ์เท่านั้น
‘หมอกพิษงั้นเรอะ?’ เย่เย่ใช้ความคิดพลางหันหน้าหันหลังหาตัวหลินซิวเหยียนไปด้วย
“ย๊ากกกกกกกกก”
ทันใดนั้นเอง เหล่าศิษย์ระดับสูงก็ปรากฏตัวขึ้นจากกลุ่มหมอกสีเลือด และสลับกันพุ่งโจมตีใส่เย่เย่อย่างต่อเนื่องและหนักหน่วงด้วยความเคียดแค้น
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แกไม่มีวันได้ออกไปจากค่ายกลหมอกโลหิตของข้าได้” แม้ว่าจะไม่เห็นแม้แต่เงาหัว แต่เสียงหัวเราะของหลินซิวเหยียนก็ดังก้องขึ้น
เคร้งงง!
เปรี้ยงงงง!
แม้ว่าเย่เย่จะพยายามปัดป้องสักเท่าไหร่ ร่างกายที่หนักอึ้งของเขาก็ไม่สามารถรับการโจมตีที่หนักหน่วงและต่อเนื่องเอาไว้ได้ตลอด
“อั่กกกกกก”
เย่เย่ถูกเฉือนเข้าที่เอวทำให้เสียจังหวะ เขาเอามือกุมบาดแผลและดีดตัวถอยออกมาตั้งหลัก
“ตายซะ!”
“แค้นนี้ต้องชำระ!”
เมื่อเหล่าศิษย์ที่โกรธแค้นได้ที พวกเขาก็โถมโจมตีใส่ เย่เย่อย่างบ้าคลั่ง พวกเขางัดทุกกระบวนท่าออกมาหมายปลิดชีพเย่เย่ในคราเดียว
“หลินซิวเหยียน นี่แกคิดจริงๆหรอว่าลูกกระจ๊อกพวกนี้จะฆ่าข้าได้น่ะหา!? ช่างน่าขัน” เย่เย่ แสยะยิ้มออกมาพลางพลิ้วหลบการโจมตีของศิษย์แห่งตำหนักได้อย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกันประคำจ้าวอสรพิษที่ห้อยอยู่ที่คอของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม พิษจากหมอกโลหิตที่คอยบั่นทอนพลังของเขาก็ค่อยๆถูกดูดซับออกไป วรยุทธ์ของเขาก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
ตู้มมมมมมมมมม!
“ถึงตาข้าบ้างล่ะ!” เมื่อระดับพลังของเย่เย่กลับมาสู่ขั้นจิตพิสุทธิ์ เขาก็พุ่งทะยานเหวี่ยงหมัดใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าในทันควัน
เปรี้ยงงงงงงงง!
หมัดของเขารุนแรงจนพุ่งทะลุร่างของชายผู้เคราะห์ร้าย เลือดของเขาสาดกระเซ็นไปทั่วอย่างน่าสยดสยองก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะล้มลง
“เหวออออออ”
“มะ…มันจบแล้ว พลังของมันกลับคืนมาแล้ว…”
“ท่านประมุข ช่วยพวกเราด้วย ปล่อยพวกเราออกจากค่ายกลนี้ที!”
จากผู้ล่ากลับกลายเป็นเหยื่อ พวกเขาร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว และได้แต่อ้อนวอนของความช่วยเหลือจาก หลินซิวเหยียน
“เหอะ ไอ้พวกเศษเดน” หลินซิวเหยียนพูดพลางมองใบหน้าสิ้นหวังของลูกน้องที่ล้มตายลงทีละคนอย่างไร้เยื่อใย
สิ้นเสียงของหลินซิวเหยียน ร่างของบรรดาศิษย์ผู้สิ้นหวังก็ระเบิดออก และสลายไปรวมกับกลุ่มหมอกที่หนาทึบ
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือสามครั้งดังขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับ หลินซิวเหยียนที่ปรากฏตัวขึ้นจากกลุ่มหมอกทึบ
“สมแล้วที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค ช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ” หลินซิวเหยียนพูดพลางวาดมือขึ้นไปบนท้องฟ้า กลุ่มหมอกโลหิตก็ค่อยๆรวมตัวขึ้นบนฝ่ามือของเขา ก่อนที่มันจะกลายสภาพเป็นคลื่นพลังลำแสงขนาดมหึมาที่สามารถแผดเผาทุกสิ่งที่ตัดผ่านให้กลายเป็นจุลได้ในพริบตา
“แย่ล่ะ!” เป็นครั้งแรกที่เย่เย่รู้สึกประหม่าจนถึงกับอุทานออกมา เขาพยายามวิ่งหนีจากรัศมีของลำแสงนี้ด้วยวิชายุทธ์ทั้งหมดที่มี
ในเสี้ยววินาทีที่ลำแสงพุ่งมาถึงตัวเย่เย่ จิตใต้สำนึกของเขาก็กระตุ้นกระบวนท่ากลืนสวรรค์ออกมาโดยอัตโนมัติ แสงมฤตยูถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานบริสุทธิ์ และถูกดูดกลืนผสานเข้ากับร่างของเย่เย่
เย่เย่ผงะไปชั่วครู่ และมองที่ฝ่ามือทั้งสองของตนด้วยความงุนงง ก่อนที่จะกำมือขึ้นพร้อมแสยะยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าลำแสงพิฆาตของหลินซิวเหยียนจะทำให้จิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นในตัวพัฒนาขึ้นอีกขั้น แม้ว่าเย่เย่จะหาข้อสรุปไม่ได้ว่าในเสี้ยววินั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาดี เขาก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากนัก
“ปะ…เป็นไปไม่ได้!?” เมื่อเห็นเย่เย่ดูดกลืนพลังลำแสงจนสิ้น สีหน้าของหลินซิวเหยียนก็ซีดเผือดลง พลางพูดออกมาอย่างไม่เป็นศัพท์
นัยน์ตาว่างเปล่า สองเท้าแข็งทื่อจนก้าวไม่ออกด้วยความหวาดกลัว เป็นวินาทีที่หลินซิวเหยียนตระหนักได้ว่าความตายได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ตู้มมมมม!
เสียงพังทลายของค่ายกลปลุกให้หลินซิวเหยียนตื่นจากภวังค์
ค่ายกลหมอกโลหิตแตกออก ก่อนที่มันจะสลายกลายเป็นประกายแสงลอยไปในอากาศ เผยให้เห็นห้องโถงของตำหนักประกายแสงอีกครั้งหนึ่ง…