บทที่ 178
จันทร์สีเลือดไร้พรมแดน
แม้ว่าเม่งเทียนฉีจะถูกรายล้อมด้วยศัตรูมากฝีมือแต่เขาก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกออกมาทางสีหน้าแต่อย่างใด
“นี่เจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรบ้างเลยสินะ? ว่าการเอากำลังพลเข้าสู้น่ะมันเปล่าประโยชน์!” เม่งเทียนฉีพูดพร้อมเงื้อหมัดใส่ศัตรูคนแรกที่เข้ามาถึงตัวเขา
ด้วยเคล็ดวิชาประกาศิตแห่งแสง ทำให้แสงจากดวงอาทิตย์ถูกผู้ใช้ดูดกลืนจนท้องฟ้ามืดสนิท ก่อนที่เขาจะซัดหมัดไปที่ศิษย์สำนักภูผาทะเลหมอกอย่างรุนแรง
“เหวอออออออ” เมื่อเห็นการโจมตีที่ทรงพลังของ เม่งเทียนฉี เหล่าศิษย์ของเสี่ยวฉินก็ชะงักการโจมตี และถอยหลังอย่างแตกตื่น
“ชิ! มัวยืนบื้ออะไรกันอยู่เล่า ฆ่ามันเซ่!” สีหน้าของ เสี่ยวฉินเองก็ไม่ต่างกัน แต่เขากลับออกคำสั่งไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงเพราะไม่อยากน้อยหน้าขุนพลคนอื่นๆที่กำลังยืนหัวเราะคิกคักกับการ กระทำอันโง่เขลาของเขา
“ตะ…แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ รีบไปเด็ดหัวมันได้แล้ว”
“ขะ..ขอรับ!” ศิษย์ที่กล้าๆกลัวๆต้องจำใจกำอาวุธแน่น พร้อมวิ่งกรูเข้าหาเม่งเทียนฉีอีกครั้งด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ
ตู้มมมมม!
เสียงการปะทะของพวกเขาดังสนั่นราวกับพสุธากัมปนาท คลื่นแรงสั่นสะเทือนหลายระลอก แผ่กระจายไปทั่วสมรภูมิ
สงครามเดือดของเหล่าจอมยุทธ์ขั้นสูง ทำให้เหล่าผู้มี วรยุทธ์ชั้นต้นๆนั้นได้แต่ยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใด
ในขณะที่สำนักภูผาทะเลหมอกกำลังดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ กองกำลังที่เหลือยังคงเพิกเฉย ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆราวกับไม่ใช่เรื่องของตน หากไม่มีผลประโยชน์ใดๆมาเกี่ยวข้องพวกเขาก็พร้อมที่จะตัดหางปล่อยวัดในทันที
แต่ทว่าเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กำลังของสำนักภูผาทะเลหมอกก็ร่อยหรอลง จ้าวสำนักอย่างเสี่ยวฉินเองก็ได้รับบาดเจ็บ พลังของเม่งเทียนฉีก็เริ่มเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของเหล่าขุนพลผู้เย่อหยิ่ง ทันใดนั้นเองเสียงที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น
“ถอยไป ไอ้พวกสวะ!” เงาของชายผู้หนึ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้า แทรกกลางระหว่างเม่งเทียนฉีและเสี่ยวฉิน ก่อนที่จะถีบเสี่ยวฉินจนกระเด็นออกไป
ดวงอาทิตย์ที่สิ้นแสงก็ค่อยๆลับฟ้าไป และถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์สีเลือดที่สาดแสงสีแดงเข้มลงมายังพื้นโลก ทุกผู้ทุกคนที่อยู่ในสมรภูมิแห่งนี้ต่างพากันอกสั่นขวัญแขวนกับปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
เม่งเทียนฉีเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่สมาธิของเขายังจดจ่อกับการต่อสู้อยู่ เขาจึงรวมศูนย์ลมปราณและดึงพลังของประกาศิตแห่งแสงออกมาใช้ แต่ทว่า
ฟู่ววววววว
แสงที่มือของเขาสว่างขึ้น และจางหายไปในชั่วพริบตา
“อะไรกั-!”
เปรี้ยงงงงงง!
เม่งเทียนฉีถูกชายนิรนามซัดอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจนร่างของเขากระเด็นออกไปไกล ก่อนที่จะสำลักเลือดออกมา
“ได้ของเล่นใหม่แล้วอย่าได้ลำพองตนไปหน่อยเลย! ข้า จางจ้าวหวู่ จะสั่งสอนแกเอง!”
ชายปริศนาผู้นี้คือ จางจ้าวหวู่ ประมุขแห่งภาคีแห่งสัจจะ ขุนพลที่มีอำนาจและทรงพลังที่สุดในบรรดา 7 ขุนพล
“น่ะ..นั่นมันท่านผู้นั้น ท่านจางจ้าวหวู่!?”
“สมแล้วที่เป็นท่านจาง ประกาศิตแห่งแสง เมื่ออยู่ต่อหน้าจันทร์สีเลือดไร้พรมแดนแล้วก็กลายเป็นของไร้ค่าไปเลย!”
เมื่อเห็นประมุขที่หายหน้าหายตาไปนานหลายเดือนกลับมา เหล่าสมาชิกภาคีแห่งสัจจะก็อดตื้นตันใจไม่ได้ ถึงแม้ว่ารองหัวหน้าภาคีจะรู้สึกเคืองๆที่ถูกโยนกองเอกสารให้จัดการอยู่บ้างก็ตาม
ผิดกับขุนพลคนอื่นๆรวมไปถึงเสี่ยวฉินที่มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ถ้าแค่นี้คิดว่าจะฆ่าข้าได้ล่ะก็ ฝันไปเถอะ!” เม่งเทียนฉียันตัวขึ้น และดีดตัวพุ่งเข้าโจมตีจางจ้าวหวู่ด้วยความเร็ว
“ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆจะรีบรนหาที่ตายไปไหน” จางจ้าวหวู่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปัดป้องการโจมตีของเม่งเทียนฉีโดยปราศจากความกลัว
วรยุทธ์ของเม่งเทียนฉีถูกลดทอนด้วยอำนาจแห่งอาณาเขตจันทร์สีเลือดไร้พรมแดน เมื่อหมัดของเขาผสานเข้ากับฝ่ามือของจางจ้าวหวู่มันก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“ตายซะ!” จางจ้าวหวู่พูดพลางแสยะยิ้มออกมา เขาสาวเท้าขึ้นมาและสลับฝ่ามืออีกข้างทะลวงเข้าที่กลางอกของ เม่งเทียนฉี
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง!
ร่างของเม่งเทียนฉีถูกซัดจนลอยขึ้นไปในอากาศ ดวงตาของเขากลอกขึ้นไปจนเห็นแต่ตาขาว ราวกับคนใกล้หมดสติ
“แม่นางมู่ เปิดค่ายกลเดี๋ยวนี้!” เขาออกคำสั่งให้กับแม่นางมู่ที่อยู่แนวหลัง
เสียงอันดังกังวานของเขาส่งไปถึงแม่นางมู่ที่กำลังซ่อมแซมค่ายกลอยู่อย่างขะมักเขม้น แม้ว่านางจะไม่รู้สถานการณ์ในแนวหน้า แต่นางก็รีบขานรับเขาอย่างไม่ลังเล
“เจ้าค่ะ!!”
ทันทีที่สิ้นเสียงค่ายกลทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ ก็ขึ้นครอบนิกายลำนำแห่งขุนเขาอีกครั้ง และแบ่งทัพทั้ง 7 ของศัตรูออกเป็นกลุ่มย่อย
เม่งเทียนฉีพยักหน้าสั่งสัญญาณให้ลั่วเฟิงเฉิงเบาๆ
“จัดการพวกที่หลงเข้ามาให้สิ้นซาก อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” ลั่วเฟิงเฉิงก็ตวัดมือส่งสัญญาณพร้อมแผดเสียงออกคำสั่งให้ภาคีพวกเขาเข้าโจมตีศัตรูที่ในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมูในอวย
แม้ว่าทัพทั้ง 7 ของเหล่าขุนพลแห่งฉางหลางจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด แต่จุดอ่อนที่ใหญ่หลวงของพวกเขาคือความสามัคคี เม่งเทียนฉีที่เล็งเห็นในจุดนี้จึงวางแผนกับลั่วเฟิงเฉิงเพียงสองคนอย่างลับๆ
นอกอาณาเขตของค่ายกล เหล่าขุนพลที่ถูกแยกออกมาก็ได้แต่ยืนมองลูกน้องของตนล้มตายด้วยความเจ็บใจ แม้ว่าพวกเขาจะระดมกำลังกันเพื่อพังค่ายกลลง แต่ค่ายกลภูผาพิทักษ์ที่ถูกซ่อมแซมและขัดเกลาด้วยมือของผู้ใช้ค่ายกลอย่างแม่นางมู่หลูนั้นก็ใช่ว่าจะพังลงได้โดยง่าย
“เจ็บใจนัก! เจ้าเม่งเทียนฉี ถ้าข้าพังค่ายกลนี่ลงได้ล่ะก็ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!” จางจ้าวหวู่พูดพร้อมกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น
เป็นครั้งแรกที่ทัพของเหล่าเจ็ดขุนพลสามัคคีกัน ทุกกองกำลังต่างร่วมมือกันพังค่ายกลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแก้แค้นให้กับมิตรสหายของพวกเขา
ตู้มมมมมมมมมมมมม!
เสียงการสู้รบปรบมือของพวกเขาดังสนั่นไปทั่วแผ่นดินฉางหลาง แม้แต่เย่เย่ที่อยู่เมืองหลิงเฉิงเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมัน
ในขณะเดียวกันหอการค้าหยูเย่ที่เพิ่งขึ้นปกครองภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้อยู่หมาดๆ ก็ง่วนอยู่กับการเตรียมการงานมหกรรมการประมูลที่กำลังจะเปิดม่านขึ้น
ผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วสารทิศต่างมุ่งหน้ามายัง หลิงเฉิงกันอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้การประมูลครั้งนี้เป็นที่จับตามองของเหล่านักประมูลจากหลายสำนัก
ผู้คนบางส่วนที่แสวงหาความก้าวหน้า และอนาคตที่สดใสต่างแสดงเจตจำนงในการเข้าร่วมหอการค้าชื่อดัง จนทำให้เสวี่ยหยูและเหล่าสมาชิกทำงานหนักจนมือเป็นระวิง ผ่านไปไม่กี่วันพวกเขาก็รับสมัครเทพยุทธ์ได้ถึง 10 คน และจ้าววรยุทธ์อีกเป็นจำนวน 100 คน ซึ่งทำให้หอการค้าหยูเย่เติบโตขึ้นจากเดิมถึง 30% เลยทีเดียว…