บทที่ 179
วินาทีแห่งความเป็นความตาย
ผ่านมาหลายวัน ในที่สุดงานมหกรรมการประมูลครั้งยิ่งใหญ่ก็เปิดฉากขึ้น แม้ว่าเย่เย่จะไม่ได้ดำเนินการประมูลด้วยตนเอง และยังคงหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะพลังขั้นจิตพิสุทธิ์อยู่ในห้องส่วนตัว แต่เขาก็ได้ฝากฝังให้ซูฉีเจี่ยและเสวี่ยหยูรับหน้าที่แทน
เมื่อเวลาผ่านไป การประมูลก็สิ้นสุดลง ผู้คนที่แห่เข้ามาจากทุกสารทิศต่างก็แยกย้ายกันกลับไปคนละทิศคนละทาง
รายได้บางส่วนที่ได้จากการประมูลในครั้งนี้ เย่เย่และเหล่าผู้บริหารหอการค้าเห็นตรงกันว่าจะนำเม็ดเงินในส่วนนี้ไปลงกับการขยับขยายสาขาออกไปทั่วทุก 12 เมืองในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้
2 วันหลังจากการประมูล ในขณะสมาชิกหอการค้ากำลังเก็บกวาดโถงกลางที่จัดการประมูลอยู่นั้นเอง ชายสูงศักดิ์ในชุดคลุมสีขาวก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
“ข้าเกรงว่าท่านลูกค้าจะมาสายไปเสียแล้ว งานประมูลของเราได้สิ้นสุดลงตั้งแต่ 2 วันก่อนแล้วนะขอรับ ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรให้ข้าน้อยช่วยหรือขอรับ?” สมาชิกหอการค้าหน้าใหม่ถามขึ้น
“….” ชายในชุดคลุมสีขาวไม่ได้ตอบกลับ แต่ยังคงก้าวเท้าเข้ามาราวกับพนักงานต้อนรับผู้นั้นไม่มีตัวตน
เมื่อเสวี่ยหยูที่กำลังนั่งนับเงินอย่างสบายใจเฉิบ เหลือบไปเห็นชายคนดังกล่าว สีหน้าที่ยิ้มแย้มของนางก็ซีดเผือดลง พลางสะกิดให้ลี่อิงที่กลายเป็นสาวใช้คนสนิทของนางไปรายงานแก่เย่เย่อย่างเร่งด่วน ก่อนที่นางจะลุกออกไปต้อนรับชายไม่ได้รับเชิญด้วยตัวเอง
“ท่านกงเจิ้น ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดอีกหรือเจ้าคะ?” เสวี่ยหยูถามขึ้นด้วยรอยยิ้มปั้นแต่งที่นางเชี่ยวชาญ
อย่างที่ทราบจากประโยคสนทนาของแม่นางเสวี่ย ชายสูงศักดิ์ผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือกงเจิ้น ปรมาจารย์แห่งทัณฑ์สวรรค์ผู้ที่เพิ่งตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของหยกผสานวิญญาณ
“เรียกประธานของพวกเจ้าออกมา” กงเจิ้นพูดกับเสวี่ยหยูอย่างไม่อ้อมค้อม
แม้ว่าเขาจะยังคงไม่มั่นใจเกี่ยวกับตัวตนของเย่เย่ แต่สิ่งที่เขามั่นใจอย่างเต็มอกเลยก็คือเย่เย่นั้นแอบใช้จี้หยกผสานวิญญาณตบตาเขาในครั้งที่แล้ว
หากเขาพิสูจน์ได้ว่าเย่เย่คือวิญญาณกลับชาติมาเกิด ไม่เพียงแต่เย่เย่เท่านั้นแต่ผู้คนรวมไปถึงกองกำลังที่ขึ้นตรงกับเขาจะต้องถูกกำจัด
เสวี่ยหยูเงียบไปสักพัก ก่อนจะหลับตาลงและพูดขึ้น
“เช่นนั้น ท่านกงเจิ้นเชิญตามข้ามาที่ห้องรับรองก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เสวี่ยหยูที่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย ก็ไม่กล้าถ่วงเวลาหรือแม้แต่จะตั้งข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม นางได้แต่นำทางเขาไปยังห้องรับรองเพื่อรอเย่เย่
ในขณะที่เย่เย่กำลังข่มตาบ่มเพาะพลังอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ที่แปลกประหลาด ทันใดนั้นเองลี่อิงก็มาเคาะประตูและเรียกเขาลงไปยังห้องรับรอง
“ท่านเย่!” เมื่อเย่เย่มาถึง เสวี่ยหยูก็ตะโกนเรียกด้วยความรู้สึกทั้งดีใจ ทั้งโล่งอกในเวลาเดียวกัน
“ไม่เป็นไรนะ ข้าอยู่นี่แล้ว เจ้าออกไปก่อนปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” เย่เย่พูดอย่างอ่อนโยน เพื่อปลอบประโลมแม่นางเสวี่ยที่มักรับภาระหนักเวลาที่เขาไม่อยู่มาอย่างยาวนาน
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปในห้องรับรอง ก็ปรากฏให้เห็นชายสูงศักดิ์ที่นั่งไขว่ห้างเอามือทั้งสองข้างพาดพนักเก้าอี้ราวกับเป็นบ้านของตน กงเจิ้นจ้องเย่เย่อย่างไม่วางตาด้วยสายตาที่เยือกเย็นยิ่งกว่าฤดูเหมันต์
“ท่านกงเจิ้น ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่ได้ออกมาต้อนรับท่านด้วยตนเองตั้งแต่ทีแรก ข้านี่ช่างสะเพร่าเสียจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไร?” เย่เย่ทำใจดีสู้เสือและตอบกลับไปอย่างสุภาพชน
กงเจิ้นเอาแต่จ้องมองเย่เย่โดยที่ไม่ได้พูดอะไรในทีแรก ปล่อยให้บรรยากาศแห่งความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง แรงกดดันมหาศาลนี้ทำให้เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดบนหน้าผากของเย่เย่
“ไม่ทราบว่าท่านเย่ทราบอะไรเกี่ยวกับจี้หยกผสานวิญญาณบ้างหรือไม่?” กงเจิ้นโน้มตัวลง เอาสองมือผสานกันในระดับสายตา
“จี้หยกผสานวิญญาณ? ข้าเพิ่งเคยได้ยินชื่อของมันจากปากท่านเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่ามันคืออะไรหรือขอรับ”
“มันคือสิ่งที่ทำให้วิญญาณของผู้ที่กลับมาเกิด ผสานเข้ากับร่างที่ตายไปแล้วยังไงล่ะ ข้าได้ยินมาว่าหยกนี้มีเพียงชิ้นเดียวในแผ่นดินฉางหลาง และผู้ที่ถือครองมันอยู่ก็คือท่านนั่นแหละ ท่านเย่เย่”
น้ำเสียงของกงเจิ้นฟังดูสุขุมนุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
ด้วยคำพูดของกงเจิ้นทำให้เย่เย่ทำตัวไม่ถูก เขารู้สึกกว่าพลังอำนาจที่เขาครอบครองอยู่นั้นถูกลดทอนจนด้อยค่าลงไป แต่หากเขายอมรับสารภาพอีกพันกว่าชีวิตก็จะติดร่างแหไปด้วย รวมไปถึงเกียรติยศที่สั่งสมมาก็จะไร้ความหมาย
“นี่ท่านจะกล่าวหาว่าข้าโกงการพิสูจน์ตนงั้นรึ? ข้าไม่ทราบหรอกนะว่าท่านไปฟังข่าวนี้มาจาก
ไหน แต่แบบนี้มันใส่ร้ายกันเห็นๆ ได้โปรดพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนด้วยเถอะ!” แม้ว่าเย่เย่จะพยายามทำตัวเป็นเหยื่อ แต่กงเจิ้นก็ตามเล่ห์เหลี่ยมของเขาทัน
“เอางี้ ถ้าเจ้ายอมสารภาพแต่โดยดี ข้าจะไว้ชีวิตพวกพ้องของเจ้าก็แล้วกั-”
พูดไม่ทันจบประโยค เย่เย่ก็เปิดฉากการโจมตีด้วยพลังขั้นจิตพิสุทธิ์
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์แห่งทัณฑ์สวรรค์อย่าง กงเจิ้นแล้ว การโจมตีของเย่เย่นั้นไร้พิษสง เขาใช้มือเพียงข้างเดียวในขณะที่มืออีกข้างไพล่หลังอยู่ก็สามารถปัดป้องกำปั้นของเย่เย่ได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ฉลาดเอาเสียเลยนะ ท่านประธาน!” กงเจิ้นรับหมัดของเย่เย่ไว้ที่ฝ่ามือข้างหนึ่ง ก่อนใช้มืออีกข้างที่ไพล่หลังกระทุ้งเข้าที่อกของเย่เย่ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์
“อั่กกกกก!”
ร่างของเย่เย่กระเด็นออกไปชนกับประตูห้องรับรอง จนทะลุออกมายังโถงกลาง เย่เย่กระอักเลือดออกมาท่ามกลางสายตาที่ตื่นตระหนกของเหล่าสมาชิกหอการค้า พวกเขารีบกรูเข้าไปพยุงตัวเย่เย่ขึ้นและชายตามองเข้าไปยังห้องรับรองด้วยความโกรธแค้น
“ท่านประธาน!?”
“ท่านเย่เจ้าคะ!”
“หนีไปซะ! อย่ามัวแต่ห่วงข้า หนีไป เร็ว!” เย่เย่ตะเบ็งเสียงในขณะที่เลือดยังกบปาก
แม้ว่าพวกเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก แต่ก็ไม่มีใครขัดคำสั่งของเย่เย่ มีเพียงซูฉีเจี่ย หวางเจียงหลิง และเทพยุทธ์บางคนเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดเคียงข้างประธานของเขา
เจิ้งซูที่เห็นเสวี่ยหยู และลี่อิงยังคงยืนเก้ๆกังอยู่ ก็รีบอุ้มพาทั้งสองคนลี้ภัยออกจากหอการค้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าทั้งสองจะไม่เต็มใจก็ตามที
“คิดหนีงั้นเรอะ!? ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู!” กงเจิ้นเดินเข้าหาเย่เย่ หมายปลิดชีพเขาให้ได้ในการโจมตีครั้งถัดไป
“กล้าดียังไง” เย่เย่โคจรลมปราณไปทั่วร่าง ดึงศักยภาพขั้นสูงสุดเท่าที่เขามีออกมา ก่อนพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้อีกครั้งโดยปราศจากความกลัว
จิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษถูกปลุกเร้าขึ้น เกล็ดมังกรที่แข็งกล้าก็ค่อยๆผุดขึ้นมาแทนที่ของผิวหนังไปทั่วร่าง เหลือไว้เพียงใบหน้าที่ยังคงความเป็นมนุษย์อยู่
กงเจิ้นที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องรับรองก็ตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นสภาพของเย่เย่ และแรงกดดันจากพลังปราณมหาศาลที่โพยพุ่งออกมาจากเป้าหมายของเขา…