บทที่ 18
ตราแห่งจ้าววรยุทธ์
“หุบปาก! คนที่เป็นเพียงสวะของตระกูลเช่นเจ้าน่ะ ไม่ต้องมาสั่งสอนหรือชี้แนะอะไรข้าทั้งนั้น! ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า!”
เย่เย่เหยียดหยามและว่ากล่าวเย่เฉินหนานโดยที่ไม่ได้คำนึกถึงศักดิ์ของอีกฝ่ายที่สูงกว่าตนใดๆทั้งสิ้นก่อนจะหันไปมองทางเฉินหลินอีกครั้งและพูดอย่างใจเย็น “จะถูกหรือผิด หรือว่าจะเป็นขาวหรือดำ ข้าว่าเจ้าเองรู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าหากเจ้าคิดจะมาพาลใส่คนอื่นล่ะก็ เจ้าควรจะคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาให้ดีๆเสียก่อนนะ เพราะข้า เย่เย่ จะไม่ยอมให้ใครมาพาลใส่ได้ง่ายๆแน่ๆ!”
“เจ้าคิดว่าการที่เจ้าผ่านการทดสอบเพื่อเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์แล้วจะทำให้พวกข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้างั้นสิ?”
เฉินหลินแสยะยิ้มมองเย่เย่ราวกับจะทลายความมั่นใจของเย่เย่ทิ้ง
ขณะเดียวกันเย่เฉินหนานและคนอื่นๆต่างก็ตกใจที่ได้ยินดังนั้น เพราะพวกเขายังไม่ได้รับรู้ข่าวนี้มาก่อนเลย
เป็นเพราะทั่วทั้งตระกูลเย่ตอนนี้เต็มไปด้วยข่าวที่เย่เทียนปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ มันเลยทำให้ข่าวของเย่เย่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่ได้รู้ว่าเย่เย่สอบผ่านในการเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว
เย่เย่เองก็ไม่คาดคิดว่าพวกอัคคีเหล่านี้จะมีความสามารถในการรวบรวมข่าวสารกันได้เก่งกาจขนาดที่รู้ได้ว่าเขานั้นผ่านการทดสอบของอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว แต่ขนาด เฉินหลินรู้ดังนั้นแล้วแต่กลับยังกล้าพาคนมาบุกหาถึงหน้าประตูเช่นนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย
“อารามจ้าววรยุทธ์ถือเป็นเหล่าทัพที่แข็งแกร่งที่สุดภายในเฟิงเจิ้น ถ้าหากว่าเจ้านั้นได้กลายเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์แล้วจริงๆ พวกข้าเองก็คงจะไม่มีทางจัดการเจ้าได้ ทว่าถึงเจ้าจะผ่านบททดสอบของอารามจ้าววรยุทธ์แล้วก็ตาม แต่เจ้าน่ะก็ยังไม่ใช่ศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์หรอกนะ! ตอนนี้น่ะ เจ้าก็เป็นคนผู้สมัครเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์เท่านั้น! ดังนั้นข้าไม่เชื่อหรอกว่าอารามจ้าววรยุทธ์จะยอมมีปัญหากับอัคคีอย่างพวกเราเพื่อผู้สมัครเป็นศิษย์เพียงคนเดียวน่ะ! เพราะงั้นแล้วต่อให้เจ้าจะมั่นใจกับสิ่งนี้ถึงเพียงไหน มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรในสายตาข้าทั้งสิ้น!”
เฉินหลินพูดขณะที่ยังคงเหยียดหยามเย่เย่อยู่ พร้อมกับเพ่งมองไปเพื่อหวังจะได้เห็นสีหน้าที่สิ้นหวังของเย่เย่
เพราะตามปกติแล้ว อารามจ้าววรยุทธ์นั้นจะจัดการสอบเข้าทุกๆ 3 ปี ซึ่งนี่ก็เพิ่งจะผ่านมา 2 ปีเท่านั้นจากการสอบครั้งล่าสุด หากจะให้พูดก็คือ ต่อให้เย่เย่จะผ่านการทดสอบเพื่อเข้าเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว แต่เขาก็ยังต้องรออีก 1 ปีเพื่อที่จะได้เป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์อย่างเต็มตัวพร้อมๆกับศิษย์คนอื่นๆที่มาสมัครในปีหน้า และเฉินหลินที่รู้ดังนี้แล้วจึงไม่รอใช้และถือโอกาสเข้ามาจัดการเรื่องนี้ก่อนที่เย่เย่จะเข้าถึงตัวได้ยาก
ใช่ว่าเย่เย่จะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหรอกนะ เพราะเขาก็รู้เรื่องนี้มาจากฮั่วเฟิงหลังจากที่สอบผ่านแล้วเช่นกัน เพียงแค่ตอนนั้นเขาคิดว่าแค่เรื่องที่สอบผ่านนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกอัคคีพวกนี้เกรงกลัวและไม่กล้ามายุ่งได้แล้วเชียว ดูเหมือนเขานั้นจะประเมินสถานการณ์ต่ำไปนิดหน่อย
เฉินหลินคิดนั้นคิดว่าเย่เย่จะต้องคุกเข่าและร้องขอความเมตตาเขาแน่ๆในยามที่สิ้นหวังไปทุกหนทางเช่นนี้ ทว่าเย่เย่กลับยังคงใจเย็นผ่านสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเย่เย่เหลือบมองเฉินหลินและเหล่าผู้ที่มาจากอัคคีด้านหลังก่อนจะพูดขึ้นอย่างสงบ “ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็รู้จักอารามจ้าววรยุทธ์กันถ่องแท้ดีนี่ ถ้างั้นแล้วข้าคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเกี่ยวกับเหรียญตรานี่แล้วกระมัง”
เย่เย่พูดพร้อมกับหยิบเอาตราแห่งจ้าววรยุทธ์ออกมา ซึ่งตรานี้ฉินหมิงได้มอบไว้ให้กับเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว!
“นั่นมัน…ตราแห่งจ้าววรยุทธ์? ปกติแล้วจะมีแค่เหล่าศิษย์หลักๆของอารามจ้าววรยุทธ์เท่านั้นที่จะสามารถถือครองมันได้ เจ้ามีมันได้อย่างไรกัน!”
หลังจากที่เฉินหลินรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือเย่เย่คือเหรียญตราแห่งจ้าววรยุทธ์ สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวไปในทันทีพร้อมๆกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้จากศิษย์บางคนจากอารามจ้าววรยุทธ์ว่าเย่เย่นั้นเป็นคนฆ่าเฉินเทียนเฟิงกับคนอื่นๆ แต่เขากลับไม่ได้รู้เลยว่าฉินหมิงนั้นได้มอบตราแห่งจ้าววรยุทธ์นี้ไว้ให้กับเย่เย่เพื่อป้องกันตนเองด้วย ถ้าหากพวกเขารู้เรื่องนี้ก่อนหน้าล่ะก็ พวกเขาคงไม่กล้าที่จะมาบุกตระกูลเย่เป็นแน่แท้
เพราะอารามจ้าววรยุทธ์นั้นถือเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลสูงสุดในเฟิงเจิ้น สำนักอัคคีเองก็รู้เรื่องนี้ดีดังนั้นพวกเขาจึงพยายามจะเลี่ยงหรือระมัดระวังหากต้องยุ่งเกี่ยวกับอารามจ้าววรยุทธ์ รวมไปถึงตราแห่งจ้าววรยุทธ์ด้วย ซึ่งในครั้งนี้เพียงแค่เหลือบมองเขาก็รู้แล้วว่าตราจ้าววรยุทธ์ที่เย่เย่ถือนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่สิ่งที่ทำเสมือนขึ้นมาแต่อย่างใด แต่ทำไมคนอย่างเย่เย่ถึงมีมันได้ล่ะ?
ใครก็ตามที่ถือครองตรานี้ จะสามารถขอให้เจ้าแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ทำอะไรให้ก็ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นให้ความสำคัญกับผู้ถือครองตราแห่งจ้าววรยุทธ์ขนาดไหน และด้วยเหตุนี้ หากสำนักอัคคีนั้นยังดึงดันที่จะฆ่าเย่เย่ให้ได้เพื่อล้างแค้นให้เฉินเทียนเฟิงแล้วล่ะก็ มันคงไม่ต่างอะไรกับชูดาบขึ้นฟ้าท่ามกลางฝนฟ้าคะนองเลย ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นมันรุนแรงเกินกว่าเฉินหลินจะรับมือไหวแน่ๆ
ไม่เพียงแต่เหล่าคนจากอัคคีเท่านั้นที่มองมายังเย่เย่ในตอนนี้ เพราะแม้แต่เหล่าคนในตระกูลเย่เองยังมองตราจ้าววรยุทธ์ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงสุดๆเลย เหตุการณ์ตอนนี้มันพลิกกลับเร็วเสียจนจะสามารถเชื่อได้ว่าเป็นความจริง
ทางฝั่งเย่เทียนและคนอืื่นๆที่สนับสนุนเขานั้นล้วนแต่มีความสุขจนยิ้มแก้มปริ นั่นเพราะตราบใดที่เย่เย่ยังถือครองตราแห่งจ้าววรยุทธ์นี้ไว้ ก็จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าที่จะต่อกรกับตระกูลเย่ทั้งนั้น ด้วยพลังของอารามจ้าววรยุทธ์นั้น ต่อให้อีก 2 ตระกูลใหญ่ในเฟิงเจิ้นร่วมมือกัน ก็ไม่กล้าที่จะบุกเข้าใส่ตระกูลเย่ง่ายๆแน่
อีกฟากหนึ่ง ทางเย่เฉินหนานและคนของเขาต่างหน้าซีดเผือดกันไปถ้วนหน้า พวกเขาหมดหนทางที่จะจัดการสองพ่อลูกเย่คู่นี้แล้วจริงๆ นั่นก็เพราะหากอารามจ้าววรยุทธ์นั้นอยู่เบื้องหลัง นั่นหมายถึงเย่เทียนและเย่เย่จะยิ่งมั่นคงดั่งหินใหญ่มากเข้าไปอีก ซึ่งหากทั้งสองเป็นหินใหญ่แล้วมันก็ยากที่จะสั่นไหว สิ่งเดียวที่พวกเขาทำในตอนนี้นั้นมีเพียงขอให้เย่เย่และเย่เทียนให้อภัยกับพวกเขาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่ในตระกูลเย่เท่านั้น แต่ทั่วทั้งเมืองเฟิงเจิ้นก็จะไม่มีที่ให้เขาสามารถซุกหัวนอนได้อีกต่อไป!
“ข้าจะได้มันมาอย่างไรแล้วมันจะทำไม? ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าเสียหน่อย สิ่งที่เจ้าควรคิดตอนนี้ก็คือ เจ้าจะยังยืนยันที่จะระรานตระกูลเย่ของข้าต่อไปหรือเปล่า? ถ้าไม่ก็เชิญออกไปตอนนี้เลย พวกข้าไม่ต้อนรับ!”
เย่เย่วางตราจ้าววรยุทธ์ลงก่อนจะพูดกับเฉินหลินและคนอื่นๆ โดยที่เขานั้มไม่อ่อนข้อให้คนเหล่านี้แต่อย่างใด
สีหน้าของเฉินหลินเองก็ไม่สู้ดีเสียเท่าไหร่ แม้ว่าในใจของเขานั้นจะคับแค้นขนาดไหนก็ตาม แต่ความจริงที่อารามจ้าววรยุทธ์แข็งแกร่งขนาดไหนนั้นก็ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง ดังนั้นแล้วเขาจึงหันไปพูดกับจ้าววรยุทธ์ทั้ง 4 ที่มาด้วยกันกับเขาให้ถอยกลับ “ไปกันได้แล้ว!”
พูดจบทั้งหมดก็หันหลังและพากันกลับออกไปโดยไม่มีใครกล้าที่จะชักช้าหรืออยู่ต่อทั้งนั้นเหลือทิ้งไว้เพียงความคับข้องใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
“นายท่าน พวกข้าผิดไปแล้วขอรับ! ก่อนหน้านี้ข้าเพียงแค่สับสน ข้าอยากจะปกป้องตระกูลเอาไว้ ต-แต่ข้าไม่ได้คิดจะเป็นอริกับท่านเลยขอรับ! ได้โปรด ไว้ชีวิตพวกข้าด้วย! ข้าสัญญาว่าข้าจะปรับปรุงตัวใหม่ และจะยอมถวายทั้งชีวิตนี้ให้แก่ตระกูลเลย!”
เย่เฉินหนานคุกเข่าลงต่อหน้าเย่เทียนหลังจากที่เฉินหลินและพรรคพวกออกไปจากที่แห่งนี้แล้ว ผู้ที่คอยสนับสนุน เย่เฉินหนานอีกหลายคนเองต่างก็รีบคุกเข่าลงไปเช่นกันเพื่อขอให้เย่เทียนไว้ชีวิตด้วยความสิ้นหวัง
“ลูกเย่ เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้างกับเรื่องในครั้งนี้?”
จริงๆเย่เทียนก็มีความคิดอยู่แล้ว แต่กระนั้นเขาก็เลือกที่จะถามเย่เย่ก่อน
ถึงแม้ว่าปัญหาในครั้งนี้จะเกิดมาจากสิ่งที่เย่เย่ได้กระทำเอาไว้ แต่การที่ทั่วทั้งตระกูลเย่ได้รับรู้ว่าเย่เย่ถือครองตราแห่งจ้าววรยุทธ์อยู่นี้มันก็ทำให้ความเชื่อใจของพวกเขาพุ่งขึ้นสูงมากกว่าเดิมอีก ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้ตระกูลเย่จะไม่ตกต่ำอีกต่อไป! ดังนั้นแล้วเย่เทียนเองจึงใจความสำคัญกับความคิดเห็นของเย่เย่ก่อนด้วยเช่นกัน
“ท่านพ่อ ท่านอยากจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ก็ตามที่ท่านพึงพอใจเถิด ข้าไม่ขัดข้องหรอก”
เย่เย่รู้ว่าเย่เทียนนั้นมีสิ่งที่อยากจะทำอยู่แล้ว แถมตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายในตระกูลด้วย ดังนั้นแล้วเขาจึงบอกให้เย่เทียนทำตามใจชอบไปเลยก่อนจะปลีกตัวกลับไปยังห้องของเขาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเย่เย่ออกไปแล้ว เย่เทียนก็สลัดความสุภาพทิ้งไปจนหมดและหันไปพูดกับเย่เฉินหนานด้วยสีหน้าเย็นชา “เย่เฉินหนาน เจ้าได้กระทำการยุยงให้เกิดความเสียหายในตระกูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเป็นไปตามกฎของตระกูล เจ้าควรจะถูกฆ่าตายไปแล้ว หรือไม่ก็โดนขับไล่ออกจากตระกูลไป แต่เห็นแก่ความดีความชอบของลูกชายเจ้าอย่างเย่หู ข้าจะทำแค่ถอดยศต่างๆที่มีในตระกูลของเจ้าออกจนหมด และให้เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาในตระกูลเย่เท่านั้น นับจากนี้ไป เจ้าจะไม่มีสิทธิ์ได้ยุ่มย่ามกับการจักดการเรื่องในตระกูลอีก! เจ้าทำได้หรือเปล่าล่ะ?”
ได้ยินว่าจะลิดรอนอำนาจ แววตาของเย่เฉินหนานก็ดูจะไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่ยังไงเสียเขาก็ต้องก้มหัวให้กับคำตัดสินนี้ ซึ่งเย่เฉินหนานเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเย่เทียนนั้นใจกว้างสุดๆแล้วที่ลงโทษเขาเพียงแค่นี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด
“ขอบพระคุณในความเอื้ออาทรของท่านมากๆเลยขอรับ! เย่เฉินหนานผู้นี้จะไม่ลืมความมีพระคุณของท่านจริงๆ!”
เย่เฉินหนานโค้งหัวอีกครั้งเพื่อแสดงความขอบคุณของ เย่เทียน หลังจากที่ให้สัญญาแก่เย่เทียนแล้วเขาก็ค่อยๆถอยออกไปจากที่แห่งนี้
พายุลูกเก่าดูเหมือนจะค่อยๆสงบลงแล้ว แต่กระนั้นตระกูลเย่ก็ยังต้องเดินหน้าเพื่อสู้กับพายุลูกใหม่ที่คอยแต่จะถาโถมเข้ามาในอนาคตเรื่อยๆหลังจากที่ตระกูลของพวกเขายิ่งใหญ่มากขึ้น ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับพายุแบบไหน พวกเขาก็ต้องต้อนรับวันใหม่ด้วยความมั่นใจดังเดิม
ทางฝั่งเย่เย่ หลังจากที่กลับมายังลานของตนเองแล้วเขาก็จมปลักอยู่กับการฝึกฝนตนเองภายในนั้น
ในตอนนี้วรยุทธ์ในกายของเขามันเริ่มที่จะมั่นคงขึ้นมามากขึ้นแล้ว รวมไปถึงความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณแห่งอสรพิษในกายนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย แต่เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาจนไปถึงการบรรลุเป็นจ้าววรยุทธ์นั้น เย่เย่กลับรู้สึกว่าในตอนนี้เขาพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้ช้ามากๆเลย
“ข้าต้อง…หาวิธีจัดการกับความแข็งแกร่งของข้าเสียแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องใช้เหรียญจักรวาลนั่นหาลู่ทางเพื่อที่จะทำให้ตัวข้าเองแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วแล้วมั้ง”
เมื่อครั้งที่กลับมาจากภูเขาหลี่เทียน เย่เย่กังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเขาซึ่งหากยังคงไม่ลดความเร็วลงมันจะน่าสงสัยเอา ดังนั้นเขาจึงจงใจที่จะค่อยๆหาวิธีทำให้มันพัฒนาขึ้นอย่างช้าๆควบคู่ไปกับการฝึกฝนตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาแทน
ทว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องปรับวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งใหม่แล้วจากแต่เดิมที่ไม่ได้คิดจะพึ่งพาแอปแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลเลย
“มียา 3 ตัวที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ที่เป็นจ้าววรยุทธ์ได้ นั่นคือ ยาจิตวิญญาณสวรรค์ ยามังกรผงาดและยาเสริมสร้างขุมกำลัง”
หลังจากที่ค้นหายาต่างๆมากมายในหมวดยาภายใน แอปแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลแล้ว เย่เย่ก็พบยา 3 ตัวที่ค่อนข้างจะเหมาะกับเขาในตอนนี้มากๆ เพราะนอกเหนือจากนี้ล้วนแต่มีผลข้างเคียงกันหมด และท่ามกลางยาทั้ง 3 ตัว ยาเสริมสร้างขุมกำลังก็ราคาถูกที่สุด เพราะใช้เพียง 150 เหรียญจักรวาลเท่านั้น แม้ว่ายาเสริมสร้างขุมกำลังนี้จะไม่ได้มีผลข้างเคียงเหมือนกับยาอีก 2 ตัวที่เหลือ แต่มันกลับเป็นยาที่ใช้เวลาในการพัฒนาความแข็งแกร่งให้ถึงจุดสูงสุดที่นานกว่ายาทั้งสองอยู่มาก
ในแง่ของผลลัพธ์นั้นดูเหมือนยามังกรผงาดจะให้ผลดีที่สุด เพราะมันสามารถทำให้ความแข็งแกร่งของวรยุทธ์นั้นเข้าสู่จุดสูงสุดได้ในทันทีที่กินเข้าไป อย่างไรก็ตามราคามันก็สูงกว่ายาเสริมสร้างขุมกำลังอยู่มากเช่นกัน เพราะมันจำเป็นต้องใช้เหรียญจักรวาลถึง 500 เหรียญเลย!
ส่วนในแง่ของราคายาจิตวิญญาณสวรรค์นั้นแพงที่สุดเพราะต้องใช้ถึง 1,000 เหรียญจักรวาลเพื่อแลกมา สูงกว่ายาปลุกจิตวิญญาณที่เคยใช้ตอนปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เสียอีก
แต่ด้วยราคาระดับนี้ ผลลัพธ์ของยาจิตวิญญาณสวรรค์นั้นก็น่าสนใจในระดับมากๆด้วย เพราะมันสามารถพัฒนาระดับขั้นของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ทันทีแถมความแข็งแกร่งเองก็จะเพิ่มแบบก้าวกระโดดอีกด้วย
เย่เย่โดนยานี่ล่อลวงเสียแล้ว ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเก็บเหรียญทองไว้เพื่อที่จะแลกยาจิตวิญญาณสวรรค์มา เหรียญจักรวาลจำนวน 1,000 เหรียญทันเทียบได้กับเหรียญทองในโลกจริงถึง 100,000 เหรียญเลย เป็นจำนวนที่เรียกได้ว่าหนักใจอยู่เหมือนกัน
“ข้าควรจะแลกเอายาโคตรแกร่งมา 100 เม็ดแล้วเอามันไปขายที่หอการค้าชิงเฟิงอีกครั้งไหมนะ?”
เขาลังเลขึ้นมาก่อนที่ท้ายสุดจะปัดแผนนั้นทิ้งไป
ยานั่นมีผลข้างเคียง แถมยังไม่ใช่เล็กๆด้วย ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผู้ฝึกวรยุทธ์นั้นแข็งแกร่งขึ้นเกือบจะเทียบเท่ากับจ้าววรยุทธ์ก็ตาม แต่มันก็อยู่ได้แค่ 15 นาทีเท่านั้น เหตุผลที่ทำให้ยาพวกนั้นสามารถขายได้ถึง 100,000 เหรียญทองนั่นก็เพราะเมื่อตอนนั้นเฟิงเซียนซีอยากจะซื้อใจเย่เย่รวมไปถึงในสายตาของคนอื่น สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่สดใหม่เอาเสียมากๆ แน่นอนว่าคนเหล่านั้นต้องซื้อเพื่อไปศึกษาค้นคว้าถึงส่วนประกอบของมันต่อแน่ๆ
ในตอนนี้มันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วที่เขาขายยานี่ไป บางทีคนของหอการค้าชิงเฟิงอาจจะวิจัยยาที่ซื้อไปจากเย่เย่ก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นที่คนอื่นจะอยากได้ยานี่ในประสิทธิภาพที่เท่ากันหรอก
ยิ่งไปกว่านั้น เย่เย่ยังเข้าใจถึงความจริงอีกว่า การที่เขาขายยาโคตรแกร่งไป 100 เม็ดเมื่อครั้งก่อนโดยที่ยังไม่ได้เปิดเผยราคานั้น มันเป็นปัญหาจุกจิกอยู่นิดหน่อย ดังนั้นถ้าหากครั้งนี้เขานำยานั่นอีก 100 เม็ดไปขายอีก เขาอาจจะไม่สามารถขายของในหอการค้าชิงเฟิงอีกก็เป็นได้