บทที่ 184
เดินหน้าก้าวต่อ
พวกชาวบ้านที่รู้ข่าวการตายของซินหลาน ก็คอยปลอบประโลมซูเจี่ยอยู่ไม่ห่าง และช่วยเขาขุดหลุมฝังศพของผู้เป็นแม่ การแยกย้ายกันไปซ่อมแซมหมู่บ้านที่ไม่ต่างอะไรจากซากปรักหักพัง
เย่เย่นั้นยังคงเฝ้าดูอาการของซูเหลียนหยูที่ยังคงนอนไม่ได้สติ เมื่ออาการของนางเริ่มทรงตัว เขาก็แวะออกมาหาซูเจี่ยที่สุสาน
สามวันต่อมา ด้วยฤทธิ์ของยาสลายแผลกายทำให้ ซูเหลียนหยูลืมตาตื่นขึ้น แต่ความทรงจำในระยะเวลาราว 1 สัปดาห์ของนางกลับว่างเปล่า เย่เย่ลำบากใจที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครหลีกหนีความจริงพ้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางฟัง และพานางไปเคารพศพน้องชายและน้องสะใภ้ที่หลุมศพบรรพชน
เมื่อเวลาล่วงเลย ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ซูเหลียนหยูที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในที่สุดนางก็ถามเย่เย่ขึ้นอย่างแผ่วเบา
“นะ..ท่านเย่ ท่านช่วยอะไรข้าหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?” แม้ว่านางอยากจะเรียกเขาว่านายน้อย แต่เมื่อความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาอีกครั้ง นายน้อยคนเดิมได้จากนางไปตลอดกาล นางจึงเปลี่ยนวิธีเรียกเขาอย่างกะทันหัน
“ว่ามาเถอะ เพื่อเจ้าแล้ว ข้าทำได้ทุกสิ่ง” เย่เย่นั้นสัมผัสได้ว่านางยังพยายามตีตัวออกห่างเขาอยู่ ความเปล่าเปลี่ยวก็สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขา
ซูเหลียนหยูหันหน้าไปทางซูเจี่ยที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าหลุมศพมาหลายชั่วยาม ก่อนพูดขึ้น
“ข้าอยากให้ท่านช่วยเยียวยาพวกชาวบ้าน ถ้าเป็นไปได้อยากให้ท่านพาพวกเขาไปตั้งรกรากใหม่ที่หลิงเฉิง โดยเฉพาะหลานชายของข้า ซูเจี่ย ข้าไม่อยากเห็นสีหน้าที่เศร้าสลดของเขาอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าฮงเหยียน ตระกูลฮงแห่งสำนักกระบี่ประหารเทพจะสิ้นแล้ว แต่พวกที่เหลือกับพวกภาคีคงไม่ยอมลดราวาศอกลงง่ายๆเป็นแน่”
“แล้วเจ้าล่ะ…เจ้าจะกลับไปกับข้ารึไม่” เย่เย่ถามราวกับจับสังเกตบางอย่างในน้ำเสียงของนางได้
ซูเหลียนหยูจ้องมองเย่เย่ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย นางเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะส่ายหัว
“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าพยายามดิ้นรนหาคำตอบของการมีชีวิต ข้าเกิดมาทำไม เพื่อสิ่งใด? มาวันนี้ข้าได้รู้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว ข้าจะยืนหยัดเพื่อปกป้องหมู่บ้านบุปผาสวรรค์ตราบชีวิตจะหาไม่”
สิ้นเสียงของซูเหลียนหยู สายลมโชยอ่อนก็พัดผ่านช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง แม้ว่าแม่นางซูเหลียนหยู หรือเสี่ยวหยูที่เขาคุ้นเคยจะอยู่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือแต่ก็เหมือนแสนไกล ไกลจนผู้ที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ ลาภยศ สรรเสริญเช่นเขาก็ไม่อาจสวมกอดนางเอาไว้ได้ หัวใจของเย่เย่แตกสลาย แม้จะพยายามซ่อมแซมมันเท่าไหร่ ก็ไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิมได้อีก
“ท่านเห็นข้าเป็นคนอ่อนแอถึงเพียงนั้นเชียวรึ วางใจเถอะ ข้าไม่ดุ่มๆเข้าไปที่ภาคีเพื่อล้างแค้นหรอกน่า” ซูเหลียนหยูเห็นเย่เย่นิ่งเงียบไปสักพัก จึงอ่านใจเขาและตอบกลับอย่างติดตลกเพื่อหวังให้อดีตคนรักคลายความกังวลลง
เย่เย่ขยับปากเหมือนกับอยากจะพูดบางอย่างออกมาเพื่อรั้งนางไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดสิ่งที่ใจนึก
“เช่นนั้นข้าจะพาซูเจี่ยกลับไปยังหอหยูเย่ตามคำร้องขอของเจ้า และจะส่งกำลังส่วนหนึ่งมาไว้ที่หมู่บ้าน”
“รบกวนท่านแล้ว” ซูเหลียนหยูประสานมือ ย่อตัวคำนับเย่เย่อย่างนอบน้อม ก่อนที่นางจะเดินลงเขาไปอย่างช้าๆ ปล่อยให้เย่เย่จมอยู่กับความว่างเปล่าเพียงลำพัง
“ไปได้แล้ว มัวแต่ร้องไห้พ่อแม่เจ้าก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกนะ” เย่เย่สลัดความคิดฟุ้งซ่านออก และดึงร่างของเด็กหนุ่มขึ้น
“ปล่อยข้านะ ท่านลุง! ข้าจะอยู่ที่นี่” แม้น้ำเสียงจะสั่นเครือ แต่สีหน้าของเขากลับดูมุ่งมั่นผิดวิสัย
เย่เย่จึงคุกเข่าลง และจ้องไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความบอบช้ำ และพูดขึ้น
“เจ้าจะอยู่ที่นี่ไปทำไม? แก้แค้นให้กับคนที่ตายไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? ข้าสัญญากับนางไว้แล้ว ยังไงซะข้าจะพาเจ้าไปให้ได้”
“ไร้ซึ่งการแก้แค้น ชีวิตข้าก็ไร้ความหมาย! ข้าซาบซึ้งใจที่ท่านปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ข้า สักวันข้าจะตอบแทนท่าน” น้ำตาของซูเจี่ยหยุดไหล เขาจ้องเย่เย่กลับด้วยสายตาที่แน่วแน่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เด็กอย่างเขาจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
เย่เย่หงายมือ ตวัดสองนิ้วขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นและเดินตามเขาไปอย่างไร้การขัดขืน ซูเจี่ยตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเข้าใจวัตถุประสงค์ของเย่เย่
“ฟังนะ ถ้าป้าของเจ้าตายไปอีกคน เจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป? มาหลิงเฉิงกับข้าซะที่หอการค้าของข้ามีทรัพยากรมากมายเพียงพอสำหรับบ่มเพาะพลังของเจ้า หลังจากที่เจ้าตามข้ามาแล้ว หากเจ้ายังคิดแก้แค้นอีกล่ะก็ ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า!” เย่เย่คลายมนต์สะกดลง และคุกเข่าโน้มน้าวเด็กหนุ่มอย่างใจเย็นอีกครั้ง
“ท่านลุง ข้ารู้ว่าท่านเก่ง แต่ถ้าข้าไปกับท่านข้าคงลืมเจตจำนงของข้าในวันนี้ ดังนั้นได้โปรดให้ข้าได้ใช้ชีวิตแบบที่ข้าเลือกเถอะ!” ถึงแม้จะแสดงความตั้งใจออกมาแค่ไหน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก แต่คำพูดที่ปราศจากการไตร่ตรอง ก็ทำให้เย่เย่ตระหนักบางอย่างขึ้น
เวลาวิกาลได้มาถึง แสงจันทร์สอดส่องพื้นโลกอีกครา บรรยากาศที่เงียบสงบของหุบเขาแสงจันทร์ ทำให้เสียงจิ้งหรีดเรไรชัดเจนกว่าทุกค่ำคืน
เย่เย่พินิจพิเคราะห์อยู่นาน ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“ตราบใดที่เจ้ายังเป็นเจ้า จะมากับข้าหรืออยู่ที่นี่ มันก็ไม่ทำให้ตัวตนของเจ้าเปลี่ยนไป” เย่เย่ตอบเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง
“บอกลาพวกท่านได้แล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ไม่เหมาะกับเด็กอย่างเจ้าหรอกนะ” เย่เย่เสริมขึ้น และปล่อยให้ซูเจี่ยร่ำลาบุพการีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพากันกลับไปยังหมู่บ้าน
เย่เย่ป่าวประกาศให้ผู้คนในหมู่บ้านทราบถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
“ด้วยเหตุนี้ ผู้ใดที่ประสงค์จะไปหลิงเฉิงกับข้า เชิญก้าวเท้าออกมาได้เลย ข้าสัญญาว่าจะจัดสรรที่พักอาศัยและดูแลพวกท่านอย่างดี” เขายื่นข้อเสนอให้กับชาวบ้านโดยไม่ได้บีบบังคับ
เสียงเซ็งแซ่ของชาวบ้านดังขึ้น ถึงแม้ว่าเย่เย่จะเชื่อถือได้ แต่พวกเขาก็ลังเลที่จะบอกลาบ้านเกิดของตน
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดท่านจึงไม่อยู่ช่วยพวกเรากันล่ะ ด้วยวรยุทธ์ของท่านก็ไม่เห็นจะยากอะไร”
ทันใดนั้นเองชายผู้หนึ่งนาม เชินเล่า แทรกผ่านฝูงชนเข้ามา และกล่าวขึ้นกับเย่เย่อย่างตรงไปตรงมา หลังจากหัวหน้าหมู่บ้านตายไปเชินเล่าก็เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านบุปผาสวรรค์
“ใช่ๆ ทำไมท่านจึงรีบจากไปนักล่ะ”
“นั่นสิๆ ทำไมกัน”
ชาวบ้านต่างช่วยกันสนับสนุนข้อเสนอของเชินเล่า และหวังให้เย่เย่ตอบรับ
เย่เย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถือสาเอาความ เขาชายตามองเชินเล่าและอธิบายกับเขาอย่างใจเย็น
“ท่านผู้เฒ่าเชินจริงอย่างท่านว่า แต่ไม่ทราบว่าท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าศึกจะบุกมาจากทิศไหน เดือนไหน วันไหน ยามใด? ข้าเองก็มีธุระมากมายต้องจัดการไม่อาจอยู่กับพวกท่านไปได้ตลอด อีกอย่างจะเป็นการดีกว่าหรือไม่หากพวกท่านย้ายมาหลิงเฉิงกับข้า ที่หลิงเฉิงในน้ำมีปลาในนามีข้าว หากพวกท่านไม่เชื่อข้าก็เชิญถามแม่นางซูได้”
“อย่างนี้นี่เอง ท่านเย่พูดมีเหตุผล”
ชาวบ้านเริ่มโอนอ่อนตามเหตุผลของเย่เย่ ณ จุดจุดนี้ใช่ว่าพวกเขาจะมีทางเลือกมานัก
เมื่อเฒ่าเชินพิจารณาองค์ประกอบต่างๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็ตอบรับข้อเสนอของเย่เย่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอขอบคุณท่านล่วงหน้า” ผู้เฒ่าเชินประสานมือคำนับเย่เย่อย่างนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถอะ ให้ลูกบ้านของท่านจัดเตรียมของ เราจะออกเดินทางโดยเร็วที่สุด!” เย่เย่ก้มตัวประคองเฒ่าเชินที่คุกเข่าขึ้น และเร่งให้ชาวบ้านเก็บข้าวเก็บของ
ทันใดนั้นเอง กลุ่มคนจำนวนมากก็ได้ปิดล้อมทางเข้าออกของหมู่บ้านในชั่วพริบตา…