บทที่ 186
บุญคุณความแค้น
ศิษย์แห่งสำนักกระบี่ประหารเทพ ร่ายรำเพลงกระบี่ที่สง่าผ่าเผย แนวรบของพวกเขาพลิ้วไหวสมชื่อวารีบรรจบ ซ้ายกลายเป็นขวา บนกลายเป็นล่าง ยากที่เย่เย่จะจำแนกสภาพจริงเท็จได้
“ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไปสินะ แต่มันก็เท่านั้น!”
เย่เย่ตั้งรับเพลงกระบี่ของศัตรูไปได้ 8 กระบวน ก็เริ่มจับจุดได้ เมื่อถึงคราวที่กั๋วเซี่ยหยูบุกประชิดด้วยตัวเอง เย่เย่ก็กระทืบเท้าลงสร้างคลื่นอากาศอัดกระแทกแผ่ไปรอบตัว
ซู่มมมมมมมมมมม
“อ๊ากกกกกก!”
แนวรบที่เป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา ถูกทำลายลงในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เหล่าศิษย์ถูกคลื่นซัดกระเด็นลอยออกไปคนละทิศคนละทาง กั๋วเซี่ยหยูเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดจากการโจมตีครั้งนี้ด้วยอานิสงส์ของเกราะแร่วิเศษ แต่เกราะนั้นก็ถูกบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อความหวังสุดท้ายถูกทำลายลง กั๋วเซี่ยหยูก็รีบคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต “ทะ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย!”
“ชะ ใช่แล้ว พวกภาคีมันจับลูกเมียข้าไป ขะ ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ ได้โปรดเห็นใจข้าน้อยด้วย” กั๋วเซี่ยหยูลุกลี้ลุกลน พูดออกมาอย่างติดๆขัดๆ
“เห็นใจงั้นรึ? ข้าไว้ชีวิตเจ้าแล้วพวกชาวบ้านที่ถูกเจ้าฆ่าตายจะฟื้นขึ้นมารึไง?” เย่เย่ชายตามองต่ำ และพูดออกมาอย่างเย็นชา
ชาวบ้านที่เคียดแค้นต่างเห็นพ้องต้องกัน พวกเขาก่นด่า และปาก้อนหินใส่กั๋วเซี่ยหยูอย่างไม่ยั้งมือ
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ มัวทำอะไรอยู่ ฆ่ามันเลยเซ่!”
“ใช่แล้ว คนชั่วอย่างเขาไม่สมควรได้รับโอกาส!”
“ลงมือเลยเซ่ วิญญาณของพี่น้องข้าจะได้ตายตาหลับเสียที!”
ซูเจี่ยที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาก็มองชายผู้เป็นต้นเหตุด้วยดวงตาที่เปี่ยมแค้น กำปั้นน้อยๆที่สั่นเทาแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงในการล้างแค้นไม่ต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ
“ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นจริงหรือไม่ แต่สำนักเจ้าได้ฆ่าล้างผู้บริสุทธิ์จำนวนมากยากจะอภัย เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับชาวบ้านบุปผาสวรรค์ จงตายซะเถอะ!” เย่เย่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาโคจรลมปราณไปที่ฝ่ามือ แต่ทว่าทันใดนั้นเอง
“เหอะ! ความยุติธรรมงั้นเรอะ น่าขันสิ้นดี! จริงอยู่ว่าชาวบ้านเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วครอบครัวของข้าล่ะ ใครจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ครอบครัวข้า!?” ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง กั๋วเซี่ยหยูก็หัวเราะออกมาอย่างประชดประชัน ก่อนที่น้ำหูน้ำตาของเขาจะไหลพรากออกมา
สิ้นเสียงของกั๋วเซี่ยหยู เย่เย่ก็ยั้งฝ่ามือได้ทันท่วงที ดวงตาของเขาสะท้อนความสับสนและลังเลใจออกมา แม้กระทั่งเสียงก่นด่าของชาวบ้านก็เงียบสงัดลง
“น่าอดสูยิ่งนัก เดิมทีพวกเราสำนักกระบี่ประหารเทพก็ต้องยอมจำนนต่อภาคีเพื่อความอยู่รอด ทั้งหมดที่ข้าทำไปก็เพื่อให้สำนักดำรงอยู่ เพื่อความเป็นอยู่ของลูกเมียข้า” เมื่อเห็นว่ามันได้ผล กั๋วเซี่ยหยูก็เสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
“ข้าว่าเขาก็น่าเห็นใจอยู่นะ”
“ให้เขาชดใช้ด้วยวิธีอื่นเถอะ”
ปริญญาดุษฎีบัณฑิตเอกการละครของเขาไม่สูญเปล่า ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เสกสรรปั้นแต่ง ทำให้ชาวบ้านบางคนเริ่มคล้อยตาม
แม้กระทั่งเย่เย่เองก็ลำบากใจ เดิมทีการตัดสินใจตอนอยู่ที่หอการค้าหยูเย่ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับเขาเกือบทั้งสิ้น เพียงแต่จะเอาแหล่งข้อมูลจากแต่ละคนมาประกอบการตัดสินใจ แต่โลกภายนอกที่ไม่มีใครรู้จักหน้าคร่าตาเขานั้นกลับไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาคิด
หากปล่อยกั๋วเซี่ยหยูไปวิญญาณของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ก็ไม่อาจไปสู่สุคติได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาอาจจะกลับมาเป็นภัยในภายภาคหน้าได้ แต่หากสังหารเขาพวกภาคีก็คงเอะใจและยกพลมาหุบเขาแสงจันทร์ด้วยตัวเองก็เป็นได้
แม้กั๋วเซี่ยหยูจะก่อกรรมทำเข็ญ แต่ผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก หากผลกระทบจะมาลงที่เขาคนเดียว เขาคงสังหารกั๋วเซี่ยหยูอย่างไม่ลังเล แต่การตัดสินใจครั้งนี้จะเกี่ยวพันกับหมู่บ้านบุปผาสวรรค์และที่สำคัญมันเกี่ยวพันไปถึงซูเหลียนหยู
กั๋วเซี่ยหยูนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกชาวบ้านให้หลงเชื่อ และบีบบังคับเย่เย่ในทางอ้อม
ในขณะที่สายตาทุกคู่จดจ้องมาที่เย่เย่ ซูเจี่ยทนอยู่นาน เขาคว้าดาบจากศพของศิษย์สำนักกระบี่ วิ่งเข้าไปแทงกั๋วเซี่ยหยูจนมิดด้าม
“กะ แก!? ไอ้เด็กเปร-” ดวงตาของกั๋วเซี่ยหยูเบิกโพลงด้วยความคาดไม่ถึง ร่างของเขาล้มลงจมกองเลือดและสิ้นใจในวินาทีต่อมา
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก
ซูเจี่ยที่เพิ่งฆ่าคนเป็นครั้งแรก ก็ยืนแน่นิ่ง หายใจถี่ มองดูสองมือที่เปื้อนเลือด
“ซูเจี่ย นี่เจ้า! เจ้าทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม!” เย่เย่หันขวับด้วยความตกใจ เขาคาดไม่ถึงว่าซูเจี่ยจะทำเช่นนี้ได้ลง
อย่างไรก็ตามสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแค้น และความกลัว ก็ดูสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนพูดขึ้น
“ถ้าครอบครัวเจ้าถูกสังหารด้วยน้ำมือของภาคี ข้าจะเป็นคนสังหารพวกมันเอง!” คำพูดของเขาเกินตัวไปมาก แต่ความมุ่งมั่นในแววตาของเขานั้นเป็นของจริง
ผั๊วะ!
เย่เย่ตบหน้าของซูเจี่ยอย่างแรง และพูดเตือนสติเขา
“เจ้าโง่ เจ้ารู้รึไม่ภาคีแห่งสัจจะแข็งแกร่งเพียงใด ใยเจ้ากล้ารับปากบุญคุณความแค้นของผู้อื่นอย่างส่งเดชเช่นนี้?”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูเจี่ยยืนแน่นิ่งไป ดูเหมือนว่าไฟแห่งโทสะจะครอบงำเขาไปชั่วขณะ
“ท่านลุง ข้า ข้าผิดไปแล้ว…” ซูเจี่ยคุกเข่าขอขมาแต่โดยดี
“เอาเถอะ ในฐานะลุงของเจ้า ข้าจะไม่ให้เจ้าแบกรับภาระนั้นคนเดียวหรอก” เย่เย่เหลือบมองศพของกั๋วเซี่ยหยูที่นอนจบกองเลือด
“หรือว่า ท่านลุงจะไปจัดการกับพวกภาคีงั้นหรือขอรับ?” ซูเจี่ยเงยหน้าขึ้นมองเย่เย่ และถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่! ข้าจะกวาดล้างพวกเจ็ดขุนพลให้สิ้นซากเลยตะหาก!” เย่เย่ยิ้มให้ซูเจี่ย และวาดหมัดไปข้างหน้า
“ฮ่า ฮ่า ท่านลุง คำพูดเชยชะมัด” ซูเจี่ยยิ้มตอบ แม้ว่าคำพูดของเย่เย่จะเซาะกราวแค่ไหน แต่มันก็เพียงพอให้เด็กอายุ 9 ขวบหัวเราะออกมาได้
เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลง เย่เย่ก็พูดขึ้นกับชาวบ้านอีกครั้ง
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งวางใจไป ถึงแม้สำนักกระบี่ประหารเทพจะล่มสลายลง แต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าอยู่ดี ดังนั้นข้ายังยืนยันคำเดิม มาหลิงเฉิงกับข้าซะ”
“ท่านลุงพูดถูก พวกภาคีไม่ยอมลดราวาศอกลงง่ายๆแน่” ซูเจี่ยกอดอก เลียนแบบวิธีการพูดของเย่เย่
เชินเล่า และลูกบ้านของเขาจ้องหน้ากันไปมาอย่างลำบากใจ ทีแรกเขานึกว่าหลังจบเรื่องหมู่บ้านจะสงบสุขดังเดิม
แม้ว่าจะไม่อยากทิ้งบ้านเกิด แต่เมื่อจ้องมองสภาพที่ยากจะฟื้นคืน พวกเขาก็ตัดสินใจออกเดินทางไปยังหลิงเฉิงตามคำแนะนำของเย่เย่…