บทที่ 187
เกราะสวรรค์นภาทมิฬ
เมื่อชาวบ้านหมู่บ้านบุปผาสวรรค์เก็บข้าวของสัมภาระเสร็จสรรพ พวกเขาก็ออกมายืนเรียงรายตรงกลางหมู่บ้าน
“เอ่อ ท่านเย่ ข้าถามตามตรงๆนะ เราจะเดินทางไปกันยังไง?”
“นั่นสิ ม้าสักตัวข้าก็ยังไม่เห็น”
ทันใดนั้นเย่เย่ก็ควักแหวนวงหนึ่งออกมาจากเสื้อ และพูดเรียกชื่อใครบางคนที่ชาวบ้านไม่คุ้นหู ก่อนโยนแหวนเลอค่าขึ้นบนฟ้า
“ต้าหลิง ปลดผนึกอารามซะ!”
“ขอรับ นายท่าน!”
แหวนวงเล็กขนาดพอดีนิ้ว ส่องแสงสว่างจ้าออกมากลางท้องฟ้า ก่อนที่มันจะกลายสภาพเป็นอารามจีนสีดำขลับสูงเสียดฟ้าต่อหน้าชาวบ้านที่ได้แต่แน่นิ่งในความมหัศจรรย์
กว่าหนึ่งร้อยปีที่มันได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อารามวิถีสวรรค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง!
“ทุกท่าน เชิญ! นี่เป็นทางเดียวที่จะถึงหลิงเฉิงโดยไม่สะดุดตาผู้คน” เย่เย่ผายมือท่ามกลางสายตางุนงงของชาวบ้าน
“เจ้าไปก่อนเลย”
“เจ้านั่นแหละ ไปก่อน!”
“โอ๊ย อย่าผลักข้าเซ่”
ว้าบบบบบ
เมื่อคนแรกก้าวเท้าเข้าไปโดยบังเอิญ คนที่สอง คนที่สามก็ค่อยๆตามกันเข้าไปจนครบ เมื่อไฟสลัวๆที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นถูกจุดขึ้น เบื้องหน้าก็ปรากฏให้เห็นโถงกลางที่โอ่อ่าและกว้างใหญ่ไพศาลของอารามวิถีสวรรค์ พวกเขาต่างตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบชื่นชมทัศนียภาพที่ชั่วชีวิตของพวกเขาไม่มีวันได้เห็น
“วางใจเถอะ เมื่อถึงหลิงเฉิงตราบใดที่พวกเจ้าไม่ปริปากพูดถึงสิ่งที่พวกเจ้าเห็นในวันนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้า” เย่เย่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านเย่ พวกข้าขอสาบาน หากพวกข้าแพร่งพรายออกไป หรือแม้แต่เอาใจออกห่าง คิดคดทรยศท่าน ขอให้พวกข้าตายใต้คมหอกคมดาบ!” เชินเล่าชูสามนิ้วขึ้นมาสาบาน ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงยกขึ้นมาตาม
การกระทำของเย่เย่นั้นนับว่าเสี่ยงมากที่เผยให้เห็นอารามวิถีสวรรค์ในที่สาธารณะ แม้ว่าจะเป็นหุบเขาบุปผาสวรรค์ที่ลับตาคนก็ตาม
เมื่อได้ยินคำตอบของชาวบ้าน เย่เย่ก็วางใจ เขาพยักหน้าก่อนสะบัดชายผ้า และหายตัวไปต่อหน้าต่อตาคนนับสิบ ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นที่ห้องลับสักแห่งในอารามชั้น 9 ที่กว้างใหญ่
“ต้าหลิง ที่นี่คือ?” เมื่อจู่ๆก็มาโผล่ในที่ไม่คุ้นตา เย่เย่ก็ไม่รีรอที่จะถามวิญญาณผู้พิทักษ์ขึ้น
“ต้องขออภัยที่ข้าถือวิสาสะ แต่มันถึงเวลาที่ข้าต้องบอกให้ท่านรู้ ที่นี่คือห้องสมบัติบรรพชนขอรับ” ต้าหลิงตอบ
ห้องสมบัติบรรพชนนี้เก็บสะสมสมบัติมากมายที่วิญญาณกลับชาติมาเกิดรุ่นก่อนๆเคยใช้ แต่มีอยู่สิ่งนึงที่สะดุดตาเย่เย่เป็นพิเศษ ราวกับมันกำลังเพรียกหาเขา สิ่งนั้นคือเกราะสีดำขลับ พร้อมกับปีกสองคู่ที่อยู่ด้านหลังเกราะ ตั้งตระหง่านอยู่กลางแท่นใจกลางห้องสมบัติ
“เกราะสีดำนี่? หรือว่าจะเป็นอันเดียวกับที่ท่านเหยียนเคยพูดถึงงั้นรึ?” แม้ว่าจะไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน หรือแม้แต่เห็นกับตาตัวเอง แต่เย่เย่กลับรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น
“เกราะสวรรค์นภาทมิฬชิ้นนี้มีเพียงประมุขของอารามที่ใช้มันได้…” ต้าหลิงเสริม
“มีเพียงประมุขที่ใช้มันได้งั้นรึ เจ้าพูดแบบนี้หรือว่าจะมีสิ่งอื่นที่คนอื่นสามารถใช้ได้งั้นรึ?” เย่เย่ถามอย่างฉงนใจ
“…..”
แม้จะไม่มีการตอบกลับจากเลขหมายที่ท่านเรียก แต่ เย่เย่ก็ได้คำตอบในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เย่เย่พินิจพิเคราะห์ได้ครู่หนึ่งก็พบว่า เกราะนั้นมีคุณสมบัติสามารถกลายร่างเป็นประคำได้เฉกเช่นเดียวกับอารามที่กลายเป็นแหวน เหมาะสำหรับพกพาไปในทุกที่ ราวกับโฆษณาสินค้าจากทีวีทีเร็กซ์ยุคครีเทเชียสตอนต้นก็มิปาน
เมื่อเย่เย่กำหนดลมปราณไปที่ฝ่ามือ เรียกมันเข้ามา ปีกที่อยู่ด้านหลังก็กลายเป็นเอ็นเชือก ชิ้นส่วนของเกราะทมิฬก็แยกตัวออก และค่อยๆแปลงเป็นลูกประคำร้อยเข้ากับเชือก ก่อนที่มันจะลอยเข้าสู่ฝ่ามือของเย่เย่อย่างว่าง่าย
‘สะดวกดีแฮะ ไม่ต้องมานั่งจัดพื้นที่เก็บของแบบในเกมเรซซิเด้นวีดวิ้วภาค 4 ด้วย’ เย่เย่คิดในใจ พลางรู้สึกถึงวันคืนเก่าๆในโลกที่จากมา
“ต้าหลิง!” เขาเก็บประคำไว้ในแขนเสื้อ ก็เรียกหาต้าหลิงให้นำทางเขาออกไปยังโลกภายนอก
ฟุ่บ
เป๊าะ!
ในชั่วพริบตา เขาก็ออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ก่อนจะดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้อารามคืนสภาพ กลับเป็นแหวน เย่เย่สวมมันเข้าที่นิ้วกลาง และเหยียบอากาศมุ่งหน้าสู่หลิงเฉิงอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในยุทธภพ สงครามที่ไม่รู้ผลก็กำลังดำเนินมาถึงปัจฉิมบท แม้ว่าค่ายกลพิทักษ์ภูผาจะได้รับการซ่อมแซมจากแม่นางมู่หลู แต่สภาพที่ไม่เต็มร้อย ผนวกกับการโจมตีที่หนักหน่วงของเหล่ากองกำลังทั้งเจ็ด ก็ทำให้มันใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที
ซู้ดดดดดดดดดดดดดด
“ทุกท่าน เตรียมรับศึกครั้งสุดท้าย!” เม่งเทียนฉีสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนตะโกนปลุกใจบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ของเขา
ได้ยินดังนั้นเหล่าศิษย์ก็มีสีหน้าเศร้าสลด แต่สีหน้าแววตาของพวกเขายังเปี่ยมไปด้วยความหวัง และไม่มีใครคิดถอดใจเลยแม้แต่น้อย หากถึงคราวตาย พวกเขาก็ยอมสังเวยชีวิตของตนไปพร้อมๆกับชีวิตของศัตรู
เมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าศิษย์ที่เตรียมใจมาเป็นอย่างดี เม่งเทียนฉีก็เบาใจ ต่อให้นิกายลำนำแห่งขุนเขาต้องมาถึงกาลล่มสลายก็ไม่นึกเสียดายเลยสักนิด
“กางอาณาเขต จันทร์สีเลือดไร้พรมแดน!” จางจ้าวหวู่คำรามดังสนั่น จันทร์สีเลือดปรากฏขึ้นอีกครา แสงจันทร์สีแดงฉานเมื่อต้องกับค่ายกลที่อ่อนแรงมันก็ค่อยๆสลายไป ราวกับหิมะที่สัมผัสไออุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิ
ครืนนนนนนนนน
ปราการชั้นสุดท้ายถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
“บ่อน้ำแห่งการเกิดใหม่ต้องเป็นของข้า!”
“ผู้ใดขวางข้า มันต้องตาย!”
กองกำลังของขุนพลทั้ง 7 ต่างกรูเข้าไปในเขตแดนของนิกายลำนำแห่งขุนเขาอย่างสุดกำลัง เพื่อแย่งชิงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
“ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้วว่า บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นของข้า จางจ้าวหวู่ผู้นี้!” ด้วยวรยุทธ์ที่เลิศล้ำ ทำให้ประมุขแห่งภาคีแซงหน้าขุนพลคนอื่นๆอยู่หนึ่งก้าว
“ชิ ตาแก่นั่น เจ็บใจนัก!” ขุนพลคนอื่นๆ เช่นเสี่ยวฉินแห่งสำนักภูผาทะเลหมอก ประมุขพรรคเหยี่ยวทมิฬ และจ้าวสำนักกระบี่เงาวารี ได้แต่มองจางจ้าวหวู่ด้วยความเจ็บใจ และเริ่มถูกทิ้งห่างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาล้วนมองข้ามกำลังพลที่เหลือของนิกาย และมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยทุกสิ่งที่มี
ในขณะที่เม่งเทียนฉี พยายามจะขวางเอาไว้ ลำแสงสีดำประหลาดตาก็พุ่งตัดผ่านน่านฟ้าไปด้วยความเร็วสูง ทำให้ผู้คนต่างแหงนมองแสงประหลาดนั้นเป็นตาเดียวกัน ทันทีที่แสงนั่นพุ่งผ่านเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็ตามมา
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
คลื่นอัดกระแทกที่เกิดขึ้นจากเสียงนั้น ไม่เพียงแต่ฉีกมวลอากาศออกเป็นชิ้นๆ ทำให้สายลมคมกริบดุจใบมีดแล้ว มันยังทำให้พลังแห่งโลกและสวรรค์ปั่นป่วนอีกด้วย ทั้งจางจ้าวหวู่ ขุนพลคนอื่นๆ และเม่งเทียนฉีต่างชะงักการเคลื่อนไหวลง
เมื่อพวกเขาหรี่ตามองดูดีๆ พวกเขาก็เห็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำ มีปีกขนาดใหญ่ 2 คู่งอกอยู่ด้านหลัง
เมื่อเย่เย่บินมาถึงชานเมืองหลิงเฉิง ในที่ลับตาคนเขาก็ปลดปล่อยชาวบ้านบุปผาสวรรค์ออกมาจากอาราม และฝากจดหมายให้ซูเจี่ยนำส่งกับเสวี่ยหยู เขามั่นใจว่านางจะสามารถจัดสรรที่อยู่อาศัยให้กับชาวบ้านเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม
แม้ว่าตัวเขาอาจไม่ได้กลับไปยังหอการค้าหยูเย่สักพักหนึ่ง แต่ก็เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการ และทิศทางในอนาคตของหอการค้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มีเพียงเสวี่ยหยูและ ซูฉีเจี่ยเท่านั้นที่เขาวางใจให้ดูแลกิจการของเขาไปสักระยะ
พอส่งชาวบ้านครบทุกคนแล้ว เขาก็กำชับพวกชาวบ้านจนมั่นใจ ก่อนจะออกเดินทางไปหยุดยั้งสงครามบนเทือกเขา
ลำแสงสีดำทมิฬปรากฏเหนือน่านฟ้า แต่เนื่องจากชุดเกราะที่คลุมทั่วร่าง เปิดเพียงแค่ส่วนปากทำให้ไม่มีผู้ใดเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเย่เย่
“เจ็ดขุนพล ถอนกำลังเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าต้องย้ำเป็น ครั้งที่ 2”
แม้เจ็ดขุนพลวรยุทธ์เลิศล้ำ ยากหาผู้ใดเปรียบ แต่พวกเขาต่างก็ยำเกรงในพลังอำนาจที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่ ช่างเป็นบุญวาสนาของพวกเราจริงๆ” เม่งเทียนฉีเงยหน้ามองเย่เย่ด้วยความเคารพเลื่อมใส
อย่างไรก็ตามขุนพลทั้งเจ็ดก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะจางจ้าวหวู่ที่หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน
“ไร้มารยาทสิ้นดี! คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ถ้าเจ้าแน่จริงล่ะก็ถอดชุดเกราะนั่นออกมาและมาสู้กับข้าซะ ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าได้ตายอย่างสมเกียรติ!”
“อยากจะเป็นฮีโร่ แต่ก็เป็นได้แค่ไอ้โง่! เจ้าแส่หาเรื่องตายเองนะ” เสี่ยวฉินก้าวเท้าขึ้นมา และเสริมขึ้น พลางบิดคอยืดเส้นยืดสาย
ในใต้หล้าเจ็ดขุนพลเป็นรองเพียงนิกายทั้งแปด เชื้อพระวงศ์ฉางหลาง และทัณฑ์สวรรค์ผู้คุมกฎเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความทะนงตนของพวกเขาสูงเป็นเงาตามตัว
“เจ้าคือประมุขของภาคีแห่งสัจจะสินะ?”
“ใช่แล้ว ข้าเนี่ยล่ะ เจ้าถามทำไม?” จางจ้าวหวู่ยืดอกชี้นิ้วเข้าตัว
เย่เย่ไม่ตอบกลับด้วยคำพูด เขาโคจรลมปราณเพ่งจิตไปที่ฝ่ามือ สายฟ้าสีม่วงปรากฏ พุ่งหาจางจ้าวหวู่ด้วยจิตสังหารที่เปี่ยมล้น
“ไปนั่งสำนึกผิดในนรกซะเถอะ!”