บทที่ 188
ยุคสมัยใหม่
เย่เย่วาดหมัดไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อย สายฟ้าสีม่วงอานุภาพร้ายแรงก็พุ่งใส่จางจ้าวหวู่อย่างรวดเร็ว
ซู่มมมมมมมมมม
จางจ้าวหวู่ไม่รอช้าดึงพลังจากจันทร์สีเลือด ตั้งท่าร่ายรำเป็นกระบวน ก่อนวาดมือไปบนอากาศสร้างเขตคุ้มภัยขนาดใหญ่ หวังลดทอนพลังอำนาจสายฟ้าสีม่วง
แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นผล เมื่อเขตคุ้มภัยสีชาดกระทบกับสายฟ้า ก็แตกออกราวกับกระเบื้อง ก่อน ที่อานุภาพจะสลายไปในอากาศ
จางจ้าวหวู่ไม่ทันตั้งตัว เขารีบใช้เลือดวาดยันต์ที่แขนข้างขวา ก่อนกางมือออกเพื่อรับแรงปะทะของอสุนีบาต
“ประมุขจาง!?” ศิษย์แห่งภาคีตะโกนลั่น
ตู้มมมมมมมมมมม!
มวลอากาศระเบิดออก เกิดคลื่นอัดกระแทกแผ่ซ่านไปทั่วปฐพี ฝุ่นตลบปกคลุมทั่วสมรภูมิ เมื่อฝุ่นจางลง ปรากฏให้เห็นชายอาวุโสนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ครึ่งร่างซีกขวาขาดกระจุยไม่เหลือสภาพดี แต่ด้วยพลังปราณระดับจิตพิสุทธิ์ที่บ่มเพาะมาหลายปี ทำให้เขายังคงยังชีพเอาไว้ได้แม้จะหายใจโรยรินเต็มทีแล้วก็ตาม
“ท่านประมุข!!!” เมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชของจางจ้าวหวู่ เหล่าศิษย์แห่งภาคีก็ร้องระงมออกมา แม้ว่าพวกเขาจะอยากเข้าไปช่วยมากแค่ไหน แต่ด้วยความรักตัวกลัวตาย ทำให้พวกเขาได้แต่ยืนขาแข็ง กลืนน้ำลายอยู่อย่างนั้น
เย่เย่ที่เห็นศัตรูคู่อาฆาตไม่ยอมไปปรโลก ก็ขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ก่อนที่จะรวมศูนย์ปราณไว้ที่ปลายนิ้ว ยิงกระสุนอสุนีบาตซ้ำไปอีกครั้ง
“ซ้ำคนเจ็บงั้นเรอะ ไอ้คนขลาด!”
“ปกป้องท่านประมุข!” ครั้งนี้เหล่าศิษย์แห่งภาคี กัดฟัน วิ่งเข้าไปขวางกระสุนอสุนีบาตอย่างสุดชีวิต แต่ความเร็วของพวกเขาก็ไม่อาจเทียบเคียงกระสุนสีม่วงได้ มีเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่ขวางมันเอาไว้ได้ทัน
ตู้มมมมมมมมมมมมมม!
“ทะ ท่านรอง!?”
แม้จะขวางเอาไว้ได้ทัน แต่รองประมุขแห่งภาคีแห่งสัจจะก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะยื้อ
มัจจุราชเอาไว้ได้ อกของเขาทะลุเป็นรูกลวงโบ๋และล้มลงทับร่างจางจ้าวหวู่ จนทั้งคู่สิ้นใจตามกันไป
ทั้งสมรภูมิเงียบสงัดลงชั่วครู่ ทั้งสองฝ่ายต่างตะลึงด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
“เหวอออออออ” เมื่อเห็นสองยอดฝีมือแห่งยุทธจักรถูกกำราบลงได้อย่างง่ายดายโดยบุรุษลึกลับ กองกำลังของผู้บุกรุกก็แตกกระเจิงออกไปคนละทิศคนละทาง
ด้วยพลังของสมบัติบรรพชนแห่งอารามวิถีสวรรค์ ทำให้วรยุทธ์ของเย่เย่เหนือกว่าระดับก้าวสวรรค์ชั้นต้นเสียอีก
‘เป็นอย่างที่ท่านเหยียนพูดไว้ไม่มีผิด พลังของอารามช่างเกินคาดเสียจริงๆ’ เย่เย่พึมพำในใจ
เห็นดังนั้นศิษย์นิกายลำนำแห่งขุนเขาที่เหลือรอดก็เริ่มมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง ผิดกับกองกำลังทั้งเจ็ดที่ขวัญหนีดีฝ่อ
“ทุกท่านตั้งสติก่อน ฟังข้า! เจ็ดกองกำลังร่วมมือกันกำจัดศัตรู ให้ข้ายืมพลังพวกท่านได้หรือไม่?” เสี่ยวฉินที่เป็นเบอร์สองก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ เขายังไม่ละทิ้งความพยายามในการครอบครองบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
กองกำลังอื่นๆได้ยินดังนั้น ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนประมุขพรรคเหยี่ยวทมิฬจะเสริมขึ้น
“ท่านเสี่ยวพูดมีเหตุผล เรื่องอื่นเอาไว้ภายหลัง พรรค เหยี่ยมทมิฬขอร่วมไปกับท่าน!”
“สำนักกระบี่เงาวารี ขอร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน”
เมื่อสองกองกำลังเริ่มเห็นไปในทิศทางเดียวกัน กองกำลังอื่นๆก็พลอยตามกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์แห่งภาคีที่ต้องการล้างแค้นให้กับประมุขของพวกเขา เป็นครั้งแรกที่เจ็ดกองกำลังผนึกรวมกันเป็นปึกแผ่นโดยปราศจากข้อแม้ใดๆ
ในระหว่างนั้นเม่งเทียนฉี และศิษย์แห่งนิกายลำนำแห่งขุนเขาก็พากันเข้าไปหลบในส่วนลึกของนิกาย เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่วีรบุรุษผู้กอบกู้ของพวกเขา
ตู้มม ตู้มมม ตู้มมมม!
เสียงระเบิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่ว่ากองกำลังทั้งเจ็ดจะพยายามโจมตีเย่เย่ด้วยคมหอกคมดาบ พลังปราณ หรือวิชาอาคม มันก็ถูกสะท้อนกลับมาทั้งหมด ราวกับว่าเย่เย่มี บาเรียสีใสที่เกิดจากอานุภาพพลังโลกและสวรรค์ที่ผันผวนอยู่รอบตัวก็มิปาน
“พวกโง่ การโจมตีของพวกเจ้าน่ะ ไม่ระคายผิวกายข้าเลยสักนิด” เย่เย่พูดออกมาอย่างดูถูกดูแคลน ก่อนจะดีดกระสุนอสุนีบาตสีม่วงใส่พวกเขาอีกรอบ
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง!
การโจมตีเพียงครั้งเดียว คร่าชีวิตนับสิบ กระแสไฟฟ้า ช็อตร่างพวกเขาจนนอนแดดิ้น กระอักเลือดอยู่กับพื้น
“ปะ ปิศาจ!”
“มัวยืนบื้ออะไรอยู่เล่า โจมตีมันพร้อมกันไปเลย”
ในตอนนี้ ความต้องการที่จะครอบครองบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ กลับถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาในการมีชีวิตลอด สิ่งเดียวในหัวของพวกเขามีเพียงการกำจัดเย่เย่เท่านั้น
“ย๊ากกกกกกกกกก”
จอมยุทธ์ระดับจิตพิสุทธิ์จากทุกกองกำลังที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือ กระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้า ผสานการโจมตีใส่เย่เย่อย่างบ้าคลั่ง ด้วยการโจมตีที่หนักหน่วง ต่อเนื่อง และแม่นยำ ทำให้มีอาวุธลับบางส่วนทะลุผ่านเกราะเข้าไป
ฉึกกกก!
ร่างของเย่เย่โซซัดโซเซเล็กน้อย หน้าเริ่มซีดลงจากพิษที่ซึมเข้าร่างกาย
“สำเร็จ!” จอมยุทธ์ผู้ใช้อาวุธลับ กำมือขึ้นทำท่าดีใจ แต่ในไม่กี่อึดใจเขาก็หนีความตายไม่พ้น พร้อมกับสหายคนอื่นๆที่ร่อนลงกระแทกพื้นราวกับถูกเด็ดปีก
ฟ้าวววววววววววววว
เปรี้ยง เปรี้ยงงง เปรี้ยงงงงงงง!
ทุกทุกครั้งที่เย่เย่บินผ่านเหนือน่านฟ้า สายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงมา คร่าชีวิตนับสิบ
“มะ มันเป็นตัวอะไรกันแน่? จอมยุทธ์ก็ไม่ใช่ ผู้ใช้อาคมก็ไม่เชิง”
“ไม่ต้องพูดแล้ว หนีก่อนเถอะ” จอมยุทธ์ข้างกระชากคอเสื้อของเพื่อนวิ่งหนีอย่างสุดกำลัง แต่ทว่าเย่เย่ก็ร่อนลง สยายปีกสองคู่ขวางทางเอาไว้
“อย่าฆ่าข้าเลย ได้โปร-”
ฉัวะ ฉัวะ!
ฝ่ามือดุจกรงเล็บ พุ่งทะลุอกชายเคราะห์ร้ายทั้งสองได้อย่างง่ายดาย ไม่นานนักกองกำลังทั้งเจ็ดก็แตกพ่าย หนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างไร้ทิศทาง
เย่เย่ไม่รอช้า ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าสถิตย์เหนือนภาทมิฬ ผสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน ก่อนดึงช่องว่างมิตินั้นออกมาเป็นหอกสายฟ้าสีม่วง ซัดแรงเต็มเหนี่ยว
ฟ้าววววววววววววววว
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
ทันทีที่ตกถึงพื้น ประจุสายฟ้าแตกออก ลำแสงสีม่วงก็ระเบิดออกมาจรดท้องฟ้า แรงระเบิดของ มันเพียงพอที่จะทำให้ภูเขาส่วนหนึ่งของนิกายหายไปค่อนลูก ร่างของเหล่าผู้บุกรุกก็แหลกสลายหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน มีเพียงบางส่วนที่เล็ดรอดไปได้อย่างฉิวเฉียด
อีกมุมหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์สงบลง เม่งเทียนฉี แม่นางมู่ และคนอื่นๆก็ออกมาจากที่หลบภัย ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกติดหนี้บุญคุณผู้กอบกู้ แต่ก็กังวลถึงผลที่จะตามมาในอนาคตเช่นเดียวกัน
“ข้าเม่งเทียนฉีแห่งนิกายลำนำแห่งขุนเขา ขอบคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าท่านประสงค์สิ่งใด เชิญว่ามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” เม่งเทียนฉีคุกเข่าคารวะเย่เย่อย่างนอบน้อม มู่หลู ลั่วเฟิงเฉิง และคนอื่นๆที่ไม่ได้คุกเข่าในทีแรก ก็คุกเข่าลงตามประมุขของพวกเขา
เย่เย่ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของพวกเขามากนัก เขาใช้ความคิดอยู่พักนึง ก่อนพูดขึ้นกับเม่งเทียนฉี
“ป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า ข้า ประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์กลับมาแล้ว” เย่เย่บินสยายปีกอยู่เหนือหัวฝูงชน ก่อนจะบินจากไปพร้อมกับแสงทมิฬ
“อาราม วิถีสวรรค์” เม่งเทียนฉีพึมพำออกมาสองคำ สีหน้าของเขาแสดงความตกตะลึงออกมาอย่างชัดเจน
“ท่านเม่ง ข้าน้อยขอเสียมารยาทถามตามตรง อารามวิถีสวรรค์คือสิ่งใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่คุ้นหูเลย” มู่หลูออกตัวถามเม่งเทียนฉีด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตามประมุขของพวกเขา ไม่ได้ตอบแต่อย่างใด เขาเอาแต่ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางเหล่าศิษย์ที่งุนงง
“ยุคสมัยใหม่กำลังจะมา…”