บทที่ 189
คลื่นใต้น้ำ
เมื่อข่าวการปรากฏตัวขึ้นของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ที่สาบสูญถูกเผยแพร่ออกไปทั่ว
ยุทธภพตามคำร้องขอของเย่เย่ จนในที่สุดมันก็ไปถึงหูเหล่านิกายหลักทั้ง 8 และราชสำนัก
ไม่เพียงแต่พวกเขา ยังมีเหล่ากองกำลังและตระกูลน้อยใหญ่จากทั่วสารทิศที่เข้าใจความหมายของมันอย่างลึกซึ้ง แม้แต่ทัณฑ์สวรรค์เองก็ไม่อาจนิ่งดูดายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้
แม้การถือกำเนิดใหม่ของประมุขของอาราม จะเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีใครเชื่อสำหรับผู้คนทั่วไป แต่ในสายตาของผู้มีอำนาจนั้นไม่ต่างอะไรจากพายุฝนฟ้าคะนองที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา
ทันทีที่นิกายหลักทั้งแปดทราบข่าว พวกเขาก็มารวมตัวกันที่นิกายวิถีสวรรค์ และจัดการประชุมขึ้นที่ส่วนลึกสุดหลังหุบเขาต้องห้ามของนิกายอย่างลับๆ เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สาเหตุที่พวกเขามารวมตัวกันที่นิกายแห่งนี้ ไม่ใช่เพราะสงสัยในความเกี่ยวพันกันระหว่างนิกายวิถีสวรรค์ และอาราม แต่เพียงเพราะนิกายวิถีสวรรค์นั้นตั้งอยู่ในเมืองที่อยู่ใจกลางระหว่างนิกายทั้งแปด ทำให้การไปมาหาสู่กันในช่วงเวลาที่เร่งรีบนั้นสะดวกรวดเร็ว
“ต้องขออภัยที่เชิญพวกท่านมาอย่างกะทันหันเช่นนี้” เฉิงติ้งซาน นักพรตผู้เป็นประมุขแห่งนิกายวิถีสวรรค์กล่าวขึ้น และกวาดสายตาไปยังประมุขคนอื่นๆ
“ท่านเฉิงไม่ต้องมากพิธีหรอก เชิญ”
“จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง?” นักพรตเฉิงว่าต่อด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
จากสนธิสัญญาไม่ก่อสงครามที่ทำขึ้นระหว่างนิกายทั้งแปด เชื้อพระวงศ์และนิกายลำนำแห่งขุนเขา ทำให้นิกายหลักทั้งแปดได้แต่ออกอุบาย ยุยงปลุกปั่นใช้เจ็ดขุนพลเป็นเครื่องมือในการทำลายนิกายลำนำแห่งขุนเขา เพื่อหวังครอบครองบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นของตน แต่แล้วการปรากฏตัวของจอมยุทธ์ นิรนามที่อ้างตนเป็นประมุขแห่งอารามทำให้แผนการของพวกเขาพังพินาศอย่างไม่เป็นท่า
“คิดเห็นว่าอย่างไรงั้นรึ!? เหอะ! ไม่ว่าบุรุษลึกลับผู้นั้นจะเป็นประมุขแห่งอารามจริงหรือไม่ ยังไงซะเราก็ต้องกำจัดเขาอยู่ดี” ตู๋ไห่ ไต้ซือแห่งนิกายเมฆาสวรรค์ กล่าวขึ้นพลางกระทุ้งคฑา
อักขระลงกับพื้นจนเกิดเสียงก้องกังวาน ตู๋ไห่ผู้นี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเฉิงติ้งซานมาอย่างช้านาน ทำให้ท่าทีของเขาที่มีต่อนักพรตเฉิงนั้นดูก้าวร้าวไม่เหมือนผู้ทรงศีลไปเสียบ้าง
แม้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของเชื้อพระวงศ์ นิกายทั้งแปดจะดูรักใคร่กลมเกลียว แต่ลับหลังแล้วการเมืองภายในของพวกเขาก็คุกรุ่นไม่แพ้เหล่าเจ็ดขุนพลเลย
นิกายทั้งแปดนั้นถูกแบ่งออกเป็นก๊กใหญ่ๆอยู่ 3 ก๊ก นั่นคือก๊กของนิกายวิถีสวรรค์ ก๊กของนิกายเมฆาสวรรค์ และก๊กของนิกายสายลมราชัน ทั้งสามก๊กที่กล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนแก่งแย่งชิงดีกัน โดยเฉพาะนิกายวิถีสวรรค์ และนิกายเมฆาสวรรค์ ที่มีความแค้นต่อกันชนิดที่เรียกได้ว่าเข้ากระดูกดำ
เมื่อเห็นท่าทีที่บาดหมางระหว่างทั้งสอง จี๋เฉียนเยว่ ประมุขแห่งนิกายสายลมราชันก็ถือโอกาสกล่าวขึ้นก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะหนักข้อขึ้น
“นักพรตเฉิงช้าก่อน ข้าว่าที่ท่านไต้ซือตู๋ว่ามามีเหตุผล ชายลึกลับผู้นั้นไม่ว่าจริงเท็จแต่การที่กำราบเจ็ดขุนพลได้อย่างง่ายดายนั้นวรยุทธ์ย่อมสูงส่งกว่าขั้นจิตพิสุทธิ์อย่างแน่นอน หากวันใดวันหนึ่งเขาก่อตั้งกองกำลังขึ้นมา ข้าเกรงว่านิกายหลักจะมีภัย ดังนั้นแทนที่จะสู้กับเขาโดยตรง เหตุใดจึงไม่หาวิธีกดดันคนผู้นั้นให้แสดงตัว?”
“ท่านประมุขจี๋กล่าวได้ถูกต้อง ต้องโทษทัณฑ์สวรรค์ที่ทำงานสะเพร่า ปล่อยให้เรื่องเลยเถิดมาถึงเพียงนี้” เมื่อ จี๋เฉียนเยว่พูดจบ ประมุขฝูไช่แห่งนิกายอัตตาสวรรค์ซึ่งเป็นก๊กเดียวกับนิกายสายลมราชันก็พูดสนับสนุนอย่างเปิดเผย
ในขณะที่แนวความคิดกำลังเอนเอียงไปทางประมุขจี๋อยู่นั้น เฉิงติ้งซานก็กล่าวขึ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจะทำอย่างไร? จอมยุทธ์ระดับก้าวสวรรค์หากคิดจะซ่อนตัว นอกจากทัณฑ์สวรรค์ที่มีเข็มทิศวิเศษแล้ว ผู้ใดกันเล่าจะหาเขาพบ?” แม้ภายนอกจะดูเหมือนการถกเถียงด้วยหลักเหตุและผล แต่สายตาของนักพรตเฉิงแสดงความเป็นปรปักษ์ออกมาอย่างชัดเจน
ก่อนที่ประมุขจี๋จะลุกขึ้นพูด ไต้ซือตู๋ก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“นั่นง่ายมาก ขนาดเด็กที่ไม่รู้อ่านเขียนยังเข้าใจได้ อิทธิพลของพวกเราแผ่ไพศาลทั่วใต้หล้า การใช้คนของเราสืบเสาะเบาะแสของเขานั้น ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ” สิ่งที่ไต้ซือพูดนั้นไม่ผิดนัก นิกายทั้งแปดเป็นรองเพียงราชสำนักและทัณฑ์สวรรค์ ชะตาของอาณาประชาราษฎร์ล้วนขึ้นอยู่กับพวกเขา
แต่ทว่าทันทีที่ไต้ซือตู๋พูดจบ ประมุขจี๋ก็ลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งดูถูกกึ่งประณาม พลางเสนอแนวความคิดของตนออกมา
“น่าขันยิ่งนัก นี่หรือวิสัยทัศน์ของไต้ซือตู๋ที่ผู้คนยกย่องนับถือ การกระทำเช่นท่านว่าก็ไม่ต่างอะไรกับปูพรมให้ทัณฑ์สวรรค์มาเหยียบย่ำ ด้วยพลังของแปดนิกายสู้กับประมุขแห่งอาราม 18 ฝน 18 หนาวมิอาจรู้ผล อีกอย่างชายผู้ที่แอบอ้างยังไม่ได้ประกาศเป็นศัตรูกับพวกเรา ท่านจะรีบร้อนแกว่งเท้าหาเสี้ยนไปเพื่ออะไรกัน ข้าว่าทางที่ดีเราควรถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช้ประโยชน์จากพวกมันดีกว่า”
นิกายสายลมราชันของจี๋เฉียนเยว่นั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสามก๊ก แปดนิกาย จี๋เฉียนเยว่นั้นเป็นคนใจเย็นพอๆกับอุณหภูมิของเลือด แทนที่จะเปิดหน้าสู้กับบุรุษลึกลับตรงๆ เขากลับเลือกที่จะรอดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ และคอยสนับสนุนฝ่ายที่ได้เปรียบ
อย่างไรก็ตามนักพรตเฉิงตี้ซาน และไต้ซือตู๋ไห่ไม่ได้ใจเย็นอย่างประมุขจี๋เฉียนเยว่ สิ่งเดียวในหัวของพวกเขาคือจับชายนิรนามส่งให้ทัณฑ์สวรรค์พิพากษาเพื่อขอความดีความชอบจากพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้นราชสำนักก็ไม่อาจมองข้ามพวกเขาไปได้
“ในเมื่อความเห็นไม่ลงรอยกันเช่นนี้ นิกายของพวกข้ามีวิธีจัดการในแบบของพวกข้า วันนี้ขอลา” ไต้ซือตู๋ไห่สะบัดชายเสื้อ ก่อนยกคฑาอักขระ เดินออกจากโถงไปพร้อมกับประมุขนิกายวัฏฏะจักระ และประมุขนิกายทะเลสาบแสงจันทร์ที่อยู่ใต้อาณัติของเขา
จี๋เฉียนเยว่เหลียวมองพวกเขาจากไปด้วยรอยยิ้มแสยะ ก่อนที่ตัวเขาเองจะลานักพรตเฉิงและเดินลงเขากลับนิกายไปพร้อมๆพรรคพวกของตนเช่นเดียวกัน เหลือไว้เพียงนิกายวิถีสวรรค์ นิกายนภาเหมันต์ และนิกายบุปผาสะพรั่ง ทั้งสามพันธมิตรอยู่ในโถงกลางเพียงเท่านั้น
“ท่านนักพรต ข้าขออนุญาตถาม ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป?” ซู่หยวนกง ประมุขนิกายนภาเหมันต์ประสานมือถามขึ้นด้วยความเคารพ
“เจ้ายังจะถามอีกงั้นรึ? ไปจับตัวชายนิรนามเรียกความดีความชอบจากทัณฑ์สวรรค์โอกาสแบบ นี้เจ้าคิดจะปล่อยมือไปรึไง!?”
“ข้าน้อยโง่เขลา ถามไปโดยมิได้ไตร่ตรองให้ดีก่อน ท่านผู้ทรงศีลได้โปรดอภัย” ซู่หยวนกงคุกเข่าลงราวกับมีความผิดร้ายแรง
“เหอะ อย่ามาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าข้าอีกก็แล้วกัน! รีบไปได้แล้ว มันรกหูรกตาข้า” นักพรตกล่าว ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมเดินนำออกไป
เฉิงติ้งซานนั้นไม่มองจี๋เฉียนเยว่เป็นศัตรูในตอนนี้ เพียงเพราะวิธีของพวกเขาต่างกัน แต่กับตู่ไห่ที่เดิมทีก็ไม่ถูกโฉลกกันเท่าไหร่นัก หนำซ้ำยังคิดจะจับกุมชายลึกลับเช่นเดียวกับเขา ทำให้นักพรตเฉิงนั้นร้อนใจอยู่ไม่น้อย
การหารือกันอย่างลับๆระหว่างแปดนิกายหลักนั้น เปรียบดังคลื่นใต้น้ำที่จะกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่จะโหมกระหน่ำใส่เย่เย่ในอนาคต และแม้ว่ากองกำลังอื่นๆนอกเหนือจากนิกายหลักจะไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ในขณะนี้ แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงปรากฏการณ์ที่จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของแผ่นดินฉางหลางไปตลอดกาล
แต่ถึงแม้ว่าจะมีตระกูลน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วยุทธภพ ที่รู้เกี่ยวกับการถือกำเนิดขึ้นของประมุขอารามวิถีสวรรค์ แต่ด้วยขีดจำกัดพลังของพวกเขาทำให้ไม่สามารถทำการใหญ่ได้แบบนิกายหลักทั้งแปด พวกเขาจึงทำได้เพียงกำชับเหล่าศิษย์ไม่ให้ไปพัวพันกับหายนะที่กำลังจะมาถึงเพียงเท่านั้น
ในขณะที่ทั่วยุทธภพเต็มไปด้วยข่าวลือมากมาย เย่เย่ก็ถอดชุดเกราะออก เผยให้เห็นใบหน้าเรียวกระชับได้รูป เป็นที่หมายปองของหญิงสาวของเขาอีกครั้ง ก่อนปรากฏตัวขึ้นจากที่ลับตาและเดินปะปนไปกับชาวบ้านที่กำลังตรวจคนเข้าเมือง เป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนเมืองหลวงด้วยตนเอง
มณฑลหวางตู้ เมืองหวางตู้นั้นใหญ่กว่าหลิงเฉิงสิบเท่าเห็นจะได้ พูดได้อย่างเต็มปากว่าคงไม่มีเมืองไหนที่จะยิ่งใหญ่ โอ่อ่าไปกว่าเมืองหลวงในแผ่นดินนี้อีกแล้ว ผู้คนหลั่งไหลเข้า ออกราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ถึงแม้ว่าหวางตู้จะมีประตูอยู่ทุกทิศ แต่มันก็ไม่ได้แบ่งเบาภาระประตูที่เย่เย่ต่อคิวอยู่เลยแม้แต่น้อย
เย่เย่ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปหลิงเฉิงอีกสักพัก เนื่องจากเขาเป็นกังวลว่าหากสถานะถูกเปิดโปงแล้ว หลิงเฉิงและหอการค้าหยูเย่สาขาหลักจะเป็นภัย ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสนี้มาเยือนหลิงเฉิง นอกจากเพื่อศึกษาทำเลในการขยายสาขาแล้ว ยังเพื่อศึกษาสถานการณ์บ้านเมืองของแผ่นดินนี้อีกด้วย…