บทที่ 2
หลินหยูฉี
ห้องนั่งเล่นตระกูลเย่
ภายในห้องนั้นมีชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งที่หน้าตาหล่อเหลากำลังนั่งอยู่บนสิ่งที่เหมือนกับบัลลังก์ ท่าทีแบบนั้นมันทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นต่างรู้สึกได้ถึงความสูงส่งแม้จะเพิ่งพบกันครั้งแรกก็ตาม
แต่ในขณะนั้นใบหน้าของเขานั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะคอยยกยอปอปั้นให้กับหญิงสาวที่ดูอ่อนกว่าเขาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆตัวเขาในตอนนี้
นางที่อยู่ด้านข้างชายวัยกลางคนคนนั้น ดูๆแล้วน่าจะอายุราว 17-18 ปี นางมีใบหน้าอ่อนโยนและยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างเห็นได้ชัด
ผมที่ตรงยาวนั้นถูกปล่อยไว้ตามธรรมชาติมาควบคู่กับชุดจีนโบราณสีขาวสะอาด ท่าทีของนางช่างดูสุขุมและเลอค่าเสียยิ่งกว่าใครเว้นเสียแต่ผิวที่ขาวซีดนั้นทำให้นางดูไร้ซึ่งความเมตตาใดๆทั้งสิ้น
กระนั้นแล้วก็ยังนับได้ว่านางนั้นเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์น่าปกป้องอยู่ดี
ชายวัยกลางคนคนนั้นก็คือ เย่เทียน เจ้าตระกูลเย่คนปัจจุบัน และหญิงสาวผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือ หลินหยูฉีผู้ที่เป็นจ้าววรยุทธ์แห่งตระกูลเย่ที่ถูกเลื่องลือ
“แม่นางหลิน ข้าต้องขออภัยสำหรับกิริยามารยาทของสุนัขสารเลวประจำตระกูลนี้จริงๆที่ได้กระทำล่วงเกินท่านไปก่อนหน้านี้”
เย่เทียนพูดด้วยรอยิ้มบนใบหน้าขณะที่มือของเขาก็รินชาให้แก่หลินหยูฉีและขอโทษขอโพยไปด้วย
“ท่านเย่ ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองแต่อย่างใด ข้านั้นได้ลงโทษเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! โชคดีที่ครั้งนี้เขายังมีดวงให้รอดมาได้ แต่อย่าให้เขาได้ทำเรื่องเฉกเช่นเมื่อวานอีก! ท่านเองก็ควรจะรู้เอาไว้ว่าข้านั้นอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าท่านได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่ในตอนนี้พวกเรามันต่างกันเกินไป ตั้งแต่ที่ข้าได้ย่างก้าวเข้าสู่การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ พวกเราก็หาได้เดินอยู่ในโลกใบเดียวกันอีก” น้ำเสียงของนางที่พูดออกมานั้นเยือกเย็นและไร้หัวใจแบบสุดๆ
“ฮ่ะๆๆ เรื่องนั้นข้ารู้ดีอยู่แก่ใจเลยล่ะ ว่าไม่ว่าตระกูลเย่จะมีทรัพย์สินมากมายขนาดไหน แต่สิ่งเหล่านั้นก็คงจะไม่อยู่ในสายตาของแม่นางหลินอยู่ดีสินะ” เย่เทียนเองก็ดูจะรับรู้เรื่องนี้แบบที่เขาว่าไว้จริงๆ ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปด้วยสีหน้าที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าตระกูลเย่นั้นจะถูกนับหน้าถือตาว่าเป็น 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่แห่งเฟิงเจิ้นแต่ทั้งตระกูลก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับจ้าววรยุทธ์อย่างหลินหยูฉีได้เลย
สำหรับคนธรรมดาและเหล่าผู้ฝึกวิชาศิลปะการต่อสู้นั้น เงินทองคือทุกสิ่งที่ต้องการ แต่สำหรับหลินหยูฉีนั้นไม่ใช่
พวกเขาและหลินหยูฉีนั้น อยู่ด้วยกันได้เพราะหลายปีก่อนหน้านี้ ตระกูลเย่ได้ช่วยชีวิตของอีกฝ่ายเอาไว้
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าทางฝั่งเย่เทียนรู้เรื่องนี้ดี หลินหยูฉีจึงไม่พูดซ้ำและไม่ได้ตั้งท่าจะพูดอะไรอีก
“ชา! ดื่มชาก่อน! ข้าได้ส่งคนไปเรียกลูกเย่มาให้แล้ว ถ้ายังไงจะไม่ให้เสียเวลาฝึกฝนของท่านแน่นอน”
เพื่อลดความอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เย่เทียนนั้นทำได้แค่สั่งให้คนเอาชามาเพิ่มเพื่อทลายความเงียบเท่านั้น
แต่ไม่ว่าชานั้นจะดีระดับไหน หลินหยูฉีก็เพียงแค่มองและไม่ได้ดื่มแต่อย่างใด นางยังคงหลับตาดุจสายน้ำที่ไม่ไหวติงอยู่เช่นเดิม
“ทำไมลูกเย่ถึงยังไม่มาอีกนะ!”
เมื่อไม่เห็นว่าเย่เย่มาเสียที ในใจของเย่เทียนก็เริ่มจะร้อนรนขึ้นมาแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเป็นคนใหญ่คนโต แต่ให้มารับหน้าหลินหยูฉีนานๆแบบนี้ก็เกรงใจอยู่เหมือนกันนะ! แต่เขาก็ได้แต่บ่นในใจเท่านั้นแหละ
ตระกูลเย่นั้นใหญ่สมคำร่ำรือจริงๆ ในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าใหญ่ขนาดไหนแห่งนี้นั้นล้วนมีแต่คนรับใช้เต็มไปหมด ตลอดทางที่เย่เย่เดินผ่านมาเองก็ยืนยันแล้วว่าทุกๆคนต่างเคารพเขา ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อเห็นเขาคนเหล่านั้นก็จะโค้งให้และทักทายว่าเป็นนายน้อยบ้างล่ะ นายท่านบ้างล่ะ
พูดได้เลยว่าชักเริ่มจะรู้สึกกับชีวิตการเป็นเย่เย่บนโลกนี้ซะแล้วสิ! ไอ้การแสร้งทำเป็นผยองลำพองในความยิ่งใหญ่เนี่ยก็ไม่ได้ยากอะไรเลยแฮะ ตอนนี้ทำไปทำมาเขาก็แทบจะกลายเป็นนายน้อยเย่เย่จริงๆขึ้นมาแล้ว!
และเมื่อสวมวิญญาณของเย่เย่มาขนาดนี้แล้ว พอเดินตามแม่เด็กสาวตรงหน้านี่นานๆก็เริ่มอยากจะแกล้งขึ้นมานิดๆหน่อยๆแล้ว ทำลงไปแล้วคงไม่รู้สึกผิดอะไรล่ะมั้ง…นี่ก็เพื่อเรียนรู้การเป็นนายน้องของตระกูลล่ะนะ
แม้จะเหมือนคิดอยู่ในใจ แต่คิดเสร็จมือของเขามันก็ดันทำจริงๆซะแล้ว มันค่อยๆเคลื่อนไปสัมผัสกับเนินผิวนุ่มนิ่มด้านล่างของนางตรงหน้าขณะที่นางกำลังเดินนำหน้าเขาอยู่
“ห้ามนะเจ้าคะ! หยุดมือเดี๋ยวนี้เลย! ถ้าเราไปช้ากว่านี้มีหวังนายท่านได้ดุเอาแน่ๆ! ต-แต่ถ้านายน้อยอยากจะสัมผัสพวกมันละก็…ไว้ค่อยทำมันคืนนี้ก็ได้นะเจ้าคะ!”
น่าฉงนใจยิ่งนัก ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเด็กคนนี้นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้วจะยังมาทำตัวเหนียมอายใส่อีกด้วย
‘โฮ่ ร้ายกาจจนข้าต้องเลื่อมใส แม้แต่คนใช้ในบ้านก็ล่อซะเรียบเลยงั้นเหรอ?’
ภา่ยในความทรงจำของเย่เย่ที่เขาเห็นนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกตัวเขาลวนลาม แต่เพราะความคลุมเครือนั้นมันทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครกันแน่ที่ถูกลวนลามไป
แต่เดิมแล้ว เย่เย่นั้นกังวลเรื่องที่เขานั้นเป็นนายน้อยของตระกูลเย่ที่ไม่เอาไหนเลยสักอย่าง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้มันก็ไม่ต่างกับการที่เขาเปิดโอกาสให้คนอื่นๆยกตัวขึ้นมาชิงอำนาจและดักต่อยหน้าได้ตลอดเลย
ทว่าดูเหมือนจะโล่งใจได้แล้วว่าคนใช้เหล่านี้ไม่มีใครที่เกลียดขี้หน้าเขา คนเหล่านี้มักจะคอยดูแลเขาอยู่ห่างๆและดูๆไปแล้วพวกเขาก็ไม่มีใครกล้าหือกับการกระทำของตัวเขาเองเสียด้วย
‘พล็อตเรื่องมันชักจะต่างจากที่ข้าคาดเดาไว้ซะแล้วสิ…’
ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกๆคนต่างทำความเคารพเขา ซึ่งความผิดคาดนี้มันทำเอาเขาแอบหัวเสียนิดหน่อย
เพราะเขานั้นรู้ว่าคนเหล่านี้เคารพเขาด้วยเหตุผล 2 อย่าง
อย่างแรกก็คือเพราะพ่อของเขาเป็นผู้ที่มีเกียรติมากๆในที่แห่งนี้ ไม่มีใครก็ตามในตระกูลกล้าที่จะมีเรื่องกับเขา และสองคนเหล่านี้ใจกว้างมากๆ
หากเป็นแค่อย่างแรกน่ะ สถานการณ์ตอนนี้จะถือว่าดีมากๆ แต่เพราะมันมีเหตุผลข้อที่สองอยู่ด้วย ดูท่าอนาคตของตระกูลเย่เนี่ย คงจะเดินกันไม่ลื่นแน่ๆ
เกือบ 10 นาทีต่อมา เย่เย่ก็มาถึงห้องนั่งเล่นและพบพ่อของเขา เย่เทียน กำลังคุยอยู่กับหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางคนนั้น?!”
ทันทีเย่เย่เห็นนาง ทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้านไปหมด
นั่นไม่ใช่เพราะนางสวยสะพรั่งดุจเทพธิดาลงมาเกิน แต่นางคนนั้นคือผู้หญิงคนสุดท้ายที่เขาจำได้จากโลกก่อน นาง คือสาวที่แต่งงานกับบอสของเขาไม่ผิดแน่!
แต่นางตรงหน้านี้ก็ดูต่างออกไปอยู่เหมือนกันแฮะ หลินหยูฉีนั้นสวยกว่าผู้หญิงคนนั้นมากๆ ไม่ว่าจะด้วยนิสัย ท่าทีแล้วก็รูปร่าง นางคนนี้ดูจะมีชัยเหนือกว่าสาวที่เขารู้จักลิบลับเลย
เป็นใบหน้าที่ไม่สามารถให้คำนิยามได้จริงๆว่าจะหลงรักหรือเกลียดดี ให้ความรู้สึกว่าถ้าจะรัก ก็รักนางไม่ได้ แต่ถ้าจะเกลียด ก็เกลียดนางไม่ได้เช่นกัน
“ลูกเย่ มานี่เร็ว! มาขอโทษพี่หยูฉีของลูกเร็วๆเลย!”
เย่เทียนเมื่อเห็นว่าเย่เย่เข้ามาแล้ว เขาก็รีบลุกแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสุดๆ
ด้วยสีหน้านั้น ในความคิดของเย่เย่ มองยังไงก็เหมือนกับคนที่คอยประจบประแจงชัดๆ ไม่เห็นเหมือนสีหน้าของพ่อที่มองลูกสาวสุดที่รักตรงไหนเลย
“ฮึ่ม!”
หลินหยูฉีเมื่อเห็นว่าเย่เย่กำลังมองไปยังนาง เพียงแค่แวบเดียว สาวเจ้าก็ส่งเสียงหายใจแบบไม่พอใจออกมาเสียแล้ว
“โอ้ หยูฉี อย่าทำร้ายลูกเย่เลยนะ” เย่เทียนรีบหันไปขอร้องอ้อนวอนด้วยความกังวล
ไอ้ท่าทีแบบนั้นน่ะ พอเห็นแล้วอย่างกับโดนสายฟ้านับหมื่นครั้งผ่าลงมาทีเดียวเลยแฮะ อยากจะสลบไปเสียจริง
โชคดีที่ครั้งนี้มันเป็นแค่ความคิด เย่เย่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นตอนที่เย่เทียนอ้อนวอนหลินหยูฉี ไม่งั้นแล้วเขาเองอาจจะกลายเป็นไอ้พวกลูกแหง่ที่อะไรก็อ่อนแอไปหมดจริงๆก็ได้
“ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ข้าก็จะเข้าสู่วัย 17 ปีบริบูรณ์ ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ข้าได้ทำการปกป้องตระกูลเย่แห่งนี้มาอย่างหนักหน่วง และนี่ถือเป็นความใจดีและมีคุณธรรมมากที่สุดที่ข้าคิดว่าจะทำได้แล้ว! ดังนั้น ข้าจะขอเตือนท่าน ว่าอย่าให้เจ้านั่นเข้ามายุ่มย่ามกับข้าอีก ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะฆ่าเขาแน่!” ชัดเจนเลยว่านางโกรธขนาดไหน ขนาดออกไปก็ยังไปพร้อมความโกรธเลย
หลังจากที่เดินไปสักระยะหนึ่ง หลินหยูฉีก็หันกลับมามองเย่เทียนและเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าและท่านจะตัดความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกที่เคยมีต่อกัน! ดังคำสัญญาที่ข้าเคยให้ไว้ ตราบใดที่ลูกชายของท่านฟื้นขึ้นมาใน 3 เดือน ข้าจะแนะนำเขาให้แก่ท่านอาจารย์ของข้า แต่การที่เขาจะได้กลายเป็นจ้าววรยุทธ์ได้หรือไม่นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว!”
แผ่นหลังของหลินหยูฉีนั้นค่อยๆไกลออกไปไกลพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งพ้นชายคาคฤหาสน์เย่ นางก็ไม่หันกลับมามองอีกเลย
เนิ่นนานหลังจากที่นางได้ออกไปแล้ว เย่เย่ถึงได้ฟื้นคืนสติและมองตามไปยังเส้นทางที่หลินหยูฉีเดินออกไป
“นี่สินะ ความต่างชั้นของจ้าววรยุทธ์ กับ คนธรรมดา น่ะ?”
เพียงแค่โดนมองครั้งเดียวก็เหมือนกับว่าตัวเย่เย่นั้นโดนฆ่าตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ถึงแม้ว่าหลินหยูฉีจะไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายด้วยการมองก็จริง แต่สายตานั่นก็เฉียบคมจนเหมือนจะฆ่าเขาให้ตายได้เหมือนกัน
“ลูกเย่ เมื่อไหร่เจ้าจะโตสักทีนะ? พ่อน่ะเฝ้าพร่ำสอนเจ้ามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า ถึงแม้หยูฉีจะเป็นพี่สาวของลูกก็จริง แต่มันก็แค่ในนามนั่นแหละ นางผู้นั้นไม่ใช่ผู้ร่วมสายเลือดตระกูลพวกเราหรอกนะ ดังนั้นนางไม่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอดหรอก และถ้าปราศซึ่งความสามารถของจ้าววรยุทธ์เช่นนางแล้ว พ่อเองก็เกรงว่าอนาคตนั้นเราจะไม่สามารถยืนหยัดเป็นเจ้าแห่งศิลปะการต่อสู้ได้ เราต้องหาทางรักษาตัวนางเอาไว้ในตระกูล”
ขณะที่พูดนั้นเย่เทียนก็มองมายังลูกชายสุด “เหลวไหล” ของเขาด้วยท่าทีซับซ้อนด้วย
ในตอนแรกนั้นเขาวางแผนไว้ว่าจะให้เย่เย่และหลินหยูฉีเป็นคู่รักกันให้ได้ แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเด็กๆทั้งสองคนนี้นั้นเหมือนอยู่กันคนละโลก หลินหยูฉีนั้นทั้งสวยราวกับเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์และเข้ามาอยู่ในตระกูลเย่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเย่เย่นั้นเป็นเด็กที่ติดสนุกไปวันๆอย่างแท้จริง แม้เขาจะสามารถเล่นสนุกกับสาวๆรวมไปถึงดื่มกินได้อย่างสบายใจอยู่ตลอดเวลา แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย
“ถึงการอยู่ในบ้านจะสงบสุขก็จริง แต่ภายนอกไม่ได้สงบสุขแบบที่เจ้าคิดหรอกนะ”
พ่อย่อมรู้จักลูกดีอยู่แล้ว ดังนั้นพูดมากไปกว่านี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก
“นี่ท่านพ่อ ข้าขอเงินหน่อยสิ!”
ครั้นเมื่อเห็นว่าเย่เทียนกำลังจะเดินไปอีกคน เย่เย่ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา
“หือ? เจ้าจะเอาเงินไปทำอะไรน่ะ? หรือว่า…เจ้าจะออกไปข้างนอกอีกแล้วงั้นเหรอ?!”
สีหน้าของเย่เทียนนั้นดูจะเป็นกังวลขึ้นมาขณะที่ถามกลับไปเช่นนั้นเลย
“ช้าก่อน! ท่านกำลังเข้าใจข้าผิด! ข้าน่ะจะเอาเงินพวกนี้ไปไถ่โทษท่านพี่หยูฉีต่างหาก!” เย่เย่พยายามหาวิธีประนีประนอมในการพูดมากที่สุดแล้ว
“จ้าววรยุทธ์น่ะไม่ต้องการเงินหรอกนะ!”
เย่เทียนตอบกลับในทันที เพราะถ้าคนอย่างหลินหยูฉีสามารถซื่อได้ด้วยเงินล่ะก็ เขาคงไม่ต้องมาทนปวดหัวแบบนี้หรอก
“ข้าก็ไม่ได้จะเอาเงินไปให้นางตรงๆเสียหน่อย ข้าแค่จะไปหาซื้ออย่างอื่นมาเป็นของขวัญน่ะ!”
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จมันก็อยู่ที่นั่นแหละ ต้องประนีประนอม ท่องไว้ว่าต้องประนีประนอม
จริงๆแล้วเย่เย่ไม่ได้คิดที่จะซื้ออะไรไปให้หลินหยูฉีเพื่อเป็นการขอโทษหรอก เขาแค่ต้องการจะทดสอบระบบของแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลที่อยู่ในโทรศัพท์ของเขาเฉยๆ
ยาปลุกจิตวิญญาณนั่นค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว เขาเพียงแค่ต้องการซื้อยานั่นมาใช้
และถ้ามันเป็นจริงตามที่แอปนั่นโม้ไว้ เขาก็จะสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ และจะสามารถเป็นจ้าววรยุทธ์ได้จริงๆ
ตราบใดที่เขาสามารถบรรลุเป็นจ้าววรยุทธ์ได้ คำครหาและการดูถูกอันเป็นต้นเหตุให้เขาต้องทุกข์ระทมในวันนี้ก็จะได้ถูกขจัดไปเสียที นอกจากนั้น….ในหัวของเขายังมีแผนที่ชั่วร้ายอยู่อย่างหนึ่งด้วย
นางคนนั้น ที่ดูเหมือนผู้หญิงที่เขารู้จักในโลกของเขา แม้ว่าในโลกนั้นนางจะทิ้งเขาไป แต่ในโลกนี้ เขาจะต้องทำให้นางหันมาตกหลุมรักเขาและทิ้งนางไปบ้างให้ได้!
ด้วยทัศนคติเรื่องความกตัญญูและความไม่พอใจส่วนตัว เย่เย่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ะดูจะเอาจริงเอาจังเรื่องสถานะของนางนั่นเกินไปแล้ว ไหนจะคำพูดไร้เยื่อใยนั่นอีก เย่เทียนอุตส่าห์ช่วยนางไว้และรับนางเป็นลูกบุญธรรมแท้ๆ แต่นางกลับมาตัดสัมพันธ์เอาเสียง่ายๆเพียงแค่เพราะทำงานให้ตระกูลมาไม่กี่ปีเนี่ยนะ?
ทางฝั่งของเย่เทียน แววตาของเขาเหมือนได้เห็นปีศาจร้ายแห่งยุคสมัยได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว หลังจากที่เขาเงียบนิ่งไปพักใหญ่ๆ เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจแบบสุดๆ “ลูกเย่! ในที่สุดเจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว! พ่อเห็นด้วยกับเจ้า! เจ้าต้องไปขอโทษหยูฉีให้ได้! ซื้อของที่แพงที่สุดให้นางซะ! จำคำพ่อไว้ ว่ายิ่งแพงยิ่งดี! เดี๋ยวพ่อให้ 100 เหรียญทองเลย! ไม่ๆๆๆ ไม่พอ เอาไป 1,000 เหรียญเลยเอ้า! เจ้าต้องทำให้หยูฉีให้อภัยเจ้าให้ได้ ตอนแรกน่ะพ่อหมายมั่นปั้นเจ้าอยากจะให้เจ้าได้นางเป็นลูกสะใภ้ แต่ดูเหมือนว่าคงจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้แล้ว! เอาล่ะ ตอนนี้พ่อจะไม่หวังให้พวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว พ่อหวังเพียงแค่นางไม่เกลียดตระกูลเย่ของพวกเราก็พอ! เอ้า นี่ ตั๋วทอง! เอาไปแลกได้เลยนะ อย่าลืมซะล่ะว่าเจ้าต้องซื้อของดีๆเพื่อเอาไปไถ่โทษหยูฉีให้ได้นะ!”
เร็วเชียวนะคราวนี้ แต่ก็ขอบคุณก็แล้วกัน
เย่เย่รีบเก็บตั๋วเหรียญทองนั้นแล้วออกไปจากโถงนั่งเล่นนั้นทันที
“ดูเหมือนว่าคำทำนายนั้นจะเป็นจริง ลูกข้าต้องตื่นจากความเหลวไหลแล้วแน่ๆ!”
มองทิ้งท้ายเย่เย่ที่เดินไปตามทาง เย่เทียนก็รู้สึกดีใจอย่างเต็มอก
หลังจากที่ออกมาจากโถงนั้นแล้ว เย่เย่ก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปยังห้องของเขา
เมื่อปิดประตูเรียบร้อยและมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ เย่เย่ก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของเขาและใช้ฟังก์ชันรีไซเคิลเพื่อสแกนตั๋วทองในมือ
‘ตรวจพบตั๋วทอง มูลค่า 1,000 เหรียญทอง! ทำการปรับเทียบอัตราส่วนการแลกเปลี่ยน…สามารถเปลี่ยนแปลงได้เป็นมูลค่า 10 เหรียญจักรวาล! ต้องการจะแลกเปลี่ยนหรือเปล่า?’
เขาไม่รอช้าที่จะกดยืนยันและเปลี่ยนตั๋วทอง 1,000 เหรียญให้กลายเป็นเหรียญจักรวาล 10 เหรียญทันที!
การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น!
และด้วยความสำเร็จนั้น เย่เย่ก็พบว่าเงินในบัญชีของเขานั้นเพิ่มมาเป็น 10 เหรียญจักรวาลแล้ว นอกจากนั้น ฉายา “ยากจนเสียยิ่งกว่าแสงสว่างที่ส่องผ่านรูกุญแจ” ก็ยังเปลี่ยนเป็น “ยากจนเหมือนเดิมแต่เริ่มมีเงินแล้วนะ!”