บทที่ 200
บุกชิงตัว
ชายสวมชุดคลุมปิดบังใบหน้าผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ ลู่จุ้นนั่นเอง ที่เขาลักลอบเข้ามาวางเพลิงและสังหารม้าในค่ายทหารก็เพื่อไม่ให้พวกทหารไล่ตามพ่อบุญธรรมของเขาไปได้นั่นเอง
น่าเสียดายที่ค่ายทหารยามนั้นวางกำลังแน่นหนากว่าที่เขาคาดเอาไว้ ทำให้กว่าจะเข้ามาในค่ายได้ก็กินเวลาเกือบทั้งคืนแล้ว แต่หลังจากที่เขาลงมือได้ไม่นานก็มีคนสังเกตเห็นเข้าจึงทำให้เขาถูกรายล้อมด้วยทหารเกือบทั้งกองร้อย
ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วที่ได้เย่เย่ช่วยเอาไว้ ลู่จุ้นนั้นแอบย่องเบาออกจากหอการค้าหยูเย่ในขณะที่เย่เย่กำลังเพ่งสมาธิไปกับการฝึกฝน จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เย่เย่จะโผล่มาช่วยเขาได้ทัน
‘เป็นไงเป็นกัน!’ เมื่อเห็นทหารยามกรูเข้ามาหาเขา ลู่จุ้นก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวชิงจังหวะโจมตีพวกเขาก่อน
“ข้าขอโทษด้วยพ่อบุญธรรม ข้าคงมาได้แค่นี้” ลู่จุ้นตัดพ้อในใจ เมื่อเห็นว่าไร้ทางหนีและเขาก็ไม่อยากตกเป็นตัวประกัน จึงชักมีดสั้นออกจากแขนเสื้อจี้ที่คอหอยของตน
เคร้ง!
ทันใดนั้นเอง หินก้อนหนึ่งก็พุ่งกระทบกับมีดสั้นในมือ ลู่จุ้น จนมันตกลงกับพื้น จากนั้นชายผู้หนึ่งก็สะกัดจุดเขาเอาไว้
“กะ แก!? ลี่เฉิน!” ลู่จุ้นที่เห็นใบหน้าของศัตรูคู่อาฆาต ก็พยายามขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถคลายจุดได้
“เจ้าอยากเห็นข้าตายไม่ใช่รึไง จะมาห้ามข้าทำไม?”
“ผิดแล้ว เจ้าเป็นตัวต่อรองชั้นยอด เหตุใดข้าจะยอมให้หมากตัวสำคัญอย่างเจ้าตายกันล่ะ! แต่นึกไม่ถึงหมากตัวสำคัญที่ว่าจะมาเยือนข้าถึงถิ่นแบบนี้ สวรรค์ช่างเมตตาข้าเหลือเกิน” ลี่เฉิงยิ้มเยาะ ก่อนพาตัวลู่จุ้นกลับเข้าไปในค่าย
ร่างกายของเขาถูกสะกดอย่างสมบูรณ์ แม้ลู่จุ้นพยายามกัดลิ้นตายก็ไม่เป็นผล เขาเอาแต่โทษความไร้พลังของตน และไม่อาจกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายไว้ได้อีกต่อไป
ในระหว่างที่ลี่เฉินเหาะเหินพาตัวลู่จุ้นกลับค่ายอยู่นั้น เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“ปล่อยตัวเขาเดี๋ยวนี้!” เมื่อน้ำเสียงที่เย็นชาแต่แฝงไปด้วยความโกรธแค้นดังขึ้น เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านายพลใหญ่
ชายผู้นี้ก็คือเย่เย่ แม้ว่าลู่จุ้นจะแอบหนีออกมาได้ แต่เขาก็ไม่สามารถหนีประสาทสัมผัสที่ไวดุจปิศาจของเย่เย่ได้ เขาแอบตามลู่จุ้นออกมาตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่ได้ปรามเขาเอาไว้ เพื่อให้ลู่จุ้นได้เรียนรู้จากความผิดพลาดด้วยตนเอง
เมื่อลู่จุ้นเห็นว่าเป็นเย่เย่ เขาก็ยิ่งกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“เจ้าก็คือเย่เย่ เถ้าแก่แห่งหอการค้าหยูเย่ที่กำลังเป็นที่ ร่ำลือสินะ?” ถึงแม้นนายพลลี่จะไม่เคยพบเย่เย่เป็นการส่วนตัว แต่เขาก็ได้ยินชื่อเย่เย่จากคำรายงานของลี่ตัน และเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากพวกชาวบ้าน
“ท่านก็คือนายพลใหญ่ลี่เฉินสินะ วันก่อนลูกชายของท่านทำข้าลำบากไม่น้อย ถ้าเจ้าปล่อยตัวลู่จุ้นไปก็ถือว่าหายกัน” หลังจากชายตามองด้วยสายตาเหยียดหยาม เย่เย่ก็ยื่นข้อเสนอให้กับเขาอย่างไม่รอช้า
“เหลวไหล! ครั้งก่อนเจ้าเอาตังจากลูกข้าไปตั้งหนึ่งล้านตั๋วทอง ยังจะมีหน้ายื่นข้อเสนอเอาแต่ได้อีก! น่าขันสิ้นดี” ทันทีที่ได้ยินคำยั่วยุของเย่เย่ เขาก็ปล่อยลู่จุ้นลงพร้อมถีบตัวพุ่งเข้าหา เย่เย่
แม้ว่าลี่เฉินจะฉ้อโกงเงินมาไม่รู้จักเท่าไหร่ แต่การเสียหนึ่งล้านไปโดยใช่เหตุก็ทำให้เขาฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อย ดังนั้นระหว่างเขากับเย่เย่ แม้ไม่รู้หน้าคร่าตาแต่ก็ถือว่ามีความแค้นต่อกัน
ในสายตาของลี่เฉินที่บรรลุขั้นจิตพิสุทธิ์มาได้หลายปี เย่เย่นั้นไม่ต่างอะไรจากเด็กหัดเดิน
“ย่อมได้ ในเมื่อพูดไม่รู้ความ ข้าจะเป็นคู่ต่อกรให้ท่านเอง!” เย่เย่พูดอย่างองอาจ ไม่มีท่าทีว่าจะเกรงกลัวนายพลใหญ่เลยแม้แต่น้อย แทนที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับในกระบวนแรกเขากลับพุ่งสวนเข้าไปและตวัดมือขึ้น
ตู้มมมมมมมมมมมมมม!
เสียงการโจมตีของเย่เย่ดังสนั่นหวั่นไหวราวฟ้าคำราม เหล่าทหารที่วรยุทธ์ต่ำต้อยถึงกับต้องใช้มือปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น สายลมกระโชกแรงก่อตัวขึ้น พัดเศษดินเศษทรายปลิวว่อนไปทั่ว บดบังทัศนวิสัยของทหารในค่ายได้เป็นอย่างดี
ระหว่างนั้นเย่เย่ก็ใช้จังหวะนี้คว้าตัวลี่เฉินออกมาได้สำเร็จ ทันทีที่ลี่เฉินรู้ตัว เขาก็ได้แต่ยืนขมวดคิ้วจ้องหน้าเย่เย่ด้วยความแค้น
“เอาไงท่านนายพล ยังอยากสู้อยู่ไหม?” เย่เย่เยาะเย้ย พลางกดตามองต่ำ
ลี่เฉินไม่ตอบกลับ พลังปราณของเย่เย่นั้นสูงส่งกว่าที่เขาคาดคิด ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะอยู่เหนือกว่าเล็กน้อย แต่หากทุ่มพลังทั้งหมดสู้กันตรงนี้ล่ะก็ ค่ายทหารก็คงพังพินาศไม่เหลือชิ้นดีแน่
เมื่อคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นายพลใหญ่ก็ตัดสินใจปล่อยพวกเขาไป
“ปล่อยพวกมันไป!”
เย่เย่คลายจุดให้ลู่จุ้นและพาเขาหลบหนีออกไปจากค่าย โดยที่ไม่หันหลังกลับมามองอีก
“บัดซบ! เจ้าเย่เย่รอข้าก่อนเถอะ ไว้ข้ากวาดล้างพวกสกุลเหวินได้เมื่อไหร่ หอการค้าหยูเย่ของเจ้าถึงกาลอวสานแน่!” ลู่จุ้นมองพวกเขาจากไป พลางกำหมัดแน่น ทำให้ทหารที่อยู่รอบตัวเขาไม่กล้าเข้าใกล้
เมื่อกลับมาถึงหอการค้าหยูเย่โดยสวัสดิภาพ ลู่จุ้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าเย่เย่
“ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากอีกแล้ว บุญคุณครั้งนี้ต่อให้ตายก็ชดใช้ไม่หมด ขะ ข้าไม่รู้จะทดแทนเจ้ายังไงดี”
เมื่อเย่เย่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และความลำบากใจของลู่จุ้น เขาก็ไม่รู้สึกโกรธเคืองอะไรอีก
“พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า รีบเข้านอนเถอะ” เมื่อพูดจบเย่เย่ก็เดินกลับไปยังห้องชั้น 2 ทิ้งลู่จุ้นให้อยู่ที่โถงกลางเพียงลำพัง
ความไม่ถือโทษของเย่เย่กลับทำให้ลู่จุ้นยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก แต่ในตอนนี้เขากังวลเกี่ยวกับการเดินทางของพ่อบุญธรรมมากกว่า
แม้ว่าเย่เย่จะกำชับให้รีบนอน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขานอนไม่หลับ ภาพพี่น้องสกุลเหวินนอนจมกองเลือดยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา
ทันทีที่เย่เย่กลับมาถึงห้อง เขาก็สวมชุดเกราะสวรรค์นภาทมิฬอย่างเร่งรีบ ก่อนจะกางปีกทั้งสองคู่บินมุ่งหน้าไปตงเฉิงในยามวิกาล เพื่อใช้ประโยชน์จากท้องฟ้าในยามค่ำคืนกลบแสงทมิฬที่เกิดจากอำนาจของเกราะ
ในขณะนั้นเอง เย่เย่ก็บินผ่านคาราวานอพยพของ หวงจิ้งเฟิงที่พะวงหน้าพะวงหลังอยู่ คนแก่และเด็กต่างร้องออกมาด้วยความทุกข์ทรมาณ การหยุดพักเพียงวินาทีเดียวอาจหมายถึงชีวิต…
Related