บทที่ 209
พระมเหสีเจียงเหยียน
การกระทำของเย่เย่นั้นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเขาตั้งใจเป็นปรปักษ์กับสกุลเจียง แม้กระทั่งฉางเซี่ยผู้ดูแลกิจการขอหอเทพศาสตรา หนึ่งในบริวารคนสนิทของเจียงเยว่เขายังลงมือฆ่าได้อย่างไม่ลังเล
หลังจากฉางเซี่ยสิ้นใจ เย่เย่ก็เงื้อมือใช้กระบวนท่ากลืนสวรรค์ดูดกลืนพลังปราณจากร่างไร้วิญญาณจนเหือดแห้ง ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับลู่จุ้นท่ามกลางสายตาอันตื่นตระหนกของ เหล่าบริวารหอเทพศาสตรา
ทันทีที่พวกเขาจากไป ทหารก็รีบเก็บศพของฉางเซี่ย และรีบรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเจียงเยว่ประมุขสกุลเจียง
“เจ้าว่าอะไรนะ!! ฉางเซี่ยตายแล้วงั้นรึ! เป็นฝีมือใคร?”
“เถ้าแก่หอการค้าหยูเย่ นามว่าเย่เย่ขอรับ!”
“เย่เย่ คนสถุลอย่างเจ้าต้องไม่ตายดี!”
เจียงเยว่ลุกขึ้นพรวด กำปั้นทุบโต๊ะจนถ้วยน้ำชาที่วางอยู่บนจานแตกละเอียด แต่จานที่ทำด้วยวัสดุบอบบางกว่ากลับไร้รอยขีดข่วน
“เจ้า เข้าวังไปพร้อมกับข้า! เรื่องนี้ต้องเรียนให้มเหสีทราบ” เจียงเยว่เดินไปเดินมาอย่างเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนชี้นิ้วออกคำสั่งแก่บริวารชั้นผู้น้อย
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเย่เย่และลู่จุ้นกลับมาถึงหอการค้าหยูเย่ ก็พบว่ากู๋จื่อเช่าไม่ได้ขโมยดาบประกายเพลิงแล้วหนีไปอย่างที่คิด สายตาที่เขามองชายหนุ่มจึงเริ่มเปลี่ยนไป
“ท่านพี่ลู่? ท่านกลับมาแล้ว บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” ทันทีที่กู๋จื่อเช่าเห็นทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัย เขาก็ถลาเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“ต้องขอบคุณเจ้า และท่านเย่ที่ช่วยข้าเอาไว้ ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เจ้าวางใจเถอะ”
ด้วยฤทธิ์อันน่าเหลือเชื่อของยาสลายแผลกายนั้น ทำให้อาการบาดเจ็บของลู่จุ้นฟื้นสภาพขึ้นมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว อีกทั้งพลังปราณก็เริ่มกลับมาไหลเวียนเป็นปกติ ถึงแม้สีหน้าจะยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ไม่เกินสองสามวันข้างหน้าก็จะหายอย่างสมบูรณ์
“ดี! ดี! ถ้าท่านพี่ลู่เป็นอะไรไปล่ะก็ ทั้งชีวิตข้าคงชดใช้ไม่ไหวแน่” กู่จื่อเช่านั้นไม่รู้สาเหตุที่ฉางเซี่ยจับลู่จุ้นไป ทำให้เขาคิดว่าศัตรูอาจเล่นงานถึงตายได้ เขาจึงเอาแต่ตำหนิตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมื่อเรื่องราวจบลงได้ด้วยดี เขาก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างนั้นเอง เย่เย่ก็หยิบดาบประกายเพลิงออกมาจากชั้นวาง และมอบให้กับกู๋จื่อเช่า
“เจ้าช่างมีคุณธรรมซะจริงๆ ดาบประกายเพลิงนี้ข้ามอบให้เจ้า”
กู๋จื่อเช่ามองหน้าเย่เย่ด้วยสายตาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“ดาบล้ำค่าเช่นนี้ ท่านจะมอบให้ข้าจริงๆหรือขอรับ” กู๋จื่อเช่าตื้นตันใจจนยิ้มไม่หุบ ก่อนถามเย่เย่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“อะไรกัน? เจ้าไม่อยากได้หรือไง ข้าให้เจ้าได้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ขืนเจ้ายังพูดเหลวไหลอยู่อีกล่ะก็ ข้าจะขายมันเป็นสามเท่าจากราคาเดิมเลยคอยดู” เย่เย่ชักดาบหนีจากมือของกู๋จื่อเช่า ก่อนทำทีว่าจะเดินเอามันกลับไปวางที่เดิม
“ช้าก่อนท่านเย่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าแค่ถามเผื่อว่าข้าหูฝาดไปเท่านั้นเอง ขอบคุณท่านเย่ น้ำใจในครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม!” กู๋จื่อเช่ารับไว้ด้วยความเต็มใจ น้ำตาของเขาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาด้วยความปีติยินดี
เดิมทีการที่เย่เย่ไปช่วยลู่จุ้นด้วยคำขอร้องของกู๋จื่อเช่านั้น นอกจากที่เขาต้องการช่วยพรรคพวกแล้ว ยังเป็นการทดสอบจริยธรรมของกู๋จื่อเช่าอีกด้วย เมื่อเห็นว่ากู๋จื่อเช่านั้นผ่านบททดสอบได้ เขาจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และตกรางวัลให้ตามที่เจ้าตัวต้องการ
เมื่อลู่จุ้นเห็นกู๋จื่อเช่าได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาก็พลอยยินดีไปด้วย แต่เมื่อนึกถึงอิทธิพลที่แผ่ไพศาลของพรรคธารสวรรค์ตามคำเล่าอ้างของกู๋จื่อเช่าเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงได้เอ่ยปากเตือนด้วยความหนักใจ “กู๋จื่อเช่า ระหว่างทางกลับบ้านเกิดเจ้าต้องระวังตัวให้มาก อนาคตของสกุลกู๋ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว อย่าได้ลืมซะล่ะ!”
“ข้าทราบแล้ว” กู๋จื่อเช่าพยักหน้าตอบ ก่อนผสานมือโค้งคำนับอำลา ผู้มีพระคุณทั้งสอง ก่อนมุ่งหน้ากลับอู๋เจิ้นในทันที
หลังจากที่กู๋จื่อเช่าจากไป เย่เย่และลู่จุ้นก็จัดการสะสางงานของพวกเขาต่อ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเภทภัยกำลังคืบคลานเข้ามาในไม่ช้า
เป็นระยะเวลาได้พักหนึ่งแล้วที่เย่เย่เข้ามายังหวางตู้ เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ทั้งการเข้าคุก ราชทัณฑ์ ทั้งการเผชิญหน้ากับลี่ตัน จนมาสู่การปะทะกับหอเทพศาสตราและสกุลเจียง ผู้คนในหวางตู้เริ่มกล่าวขานถึงชื่อเขามากขึ้นทุกวันๆ บ้างก็ว่าเขาเป็นวีรชนผู้กล้า บ้างก็ว่าเขาสร้างความวุ่นวาย สองฝ่ายต่างยกประเด็นขึ้นมาถกเถียงกันในสังคม
ทว่าเย่เย่นั้นไม่สนใจขี้ปากของคนอื่น เขายังหมั่นบ่มเพาะกำลังภายใน และฝึกปรือกำลังภายนอก อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเคล็ดวิชาหัตถ์เทวะที่หากไม่มีพื้นฐานกำลังภายในที่ดี อาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนถึงแก่ชีวิตได้ แต่ด้วยการบ่มเพาะพลังปราณอย่างต่อเนื่องทำให้เย่เย่บรรลุเคล็ดวิชาดังกล่าวในขั้นสูงได้ในเวลาอันสั้น
ในอีกด้านหนึ่ง มเหสีเจียงเหยียนก็ได้ทราบข่าวการตายของฉางเซี่ยจากปากของเจียงเยว่ ทำให้นางกริ้วจัด และสั่งให้เรียกตัวเย่เย่เข้าพบในทันที
สองวันให้หลัง สาส์นเชิญก็ส่งมาถึงหอการค้าหยูเย่ เมื่อลู่จุ้นเห็นชื่อ ‘เจียงเหยียน’ บนสาส์นนั้นก็ทำให้เขาหน้าซีดจนแทบจะล้มฟุบลงในทันที เหงื่อบนใบหน้าของเขาแตกพลั่กอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารีบเดินขึ้นไปเคาะประตูในขณะที่เย่เย่อยู่ในระหว่างการบ่มเพาะพลัง
หลังจากที่เย่เย่ได้อ่านสาส์นนั้นครบถ้วนกระบวนความ เขาก็เพ่งลมปราณไปที่ปลายนิ้ว พลังอสุนีบาตก็ทำให้กระดาษบางๆสลายเป็นขี้เถ้าในบัดดล
ความกล้าที่มีเส้นกั้นบางๆระหว่างความบ้าบิ่นของเย่เย่นั้น ทำให้ลู่จุ้นถึงกับพูดไม่ออก ในระหว่างที่ลู่จุ้นผงะอยู่นั้นเอง เย่เย่ก็เดินกลับเข้าไปในห้องโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ในคืนนั้นเย่เย่ก็ได้ขึ้นรถม้าของส่วนกลางมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง เมื่อไปถึงมเหสีเจียงเหยียนก็ได้ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าตำหนักฮู่ซินอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้าก็คือ เย่เย่ เถ้าแก่ของหอการค้าหยูเย่ที่เขาร่ำลือสินะ? ยินดีที่ได้พบ” ทันทีที่พบหน้า มเหสีเจียงเหยียนก็กล่าวทักทาย พร้อมคำนับเย่เย่อย่างอ่อนช้อยสง่างาม
“ท่านหญิงสุภาพเกินไปแล้ว เย่เย่เป็นเพียงสามัญชน ข้าไม่อาจรับไว้ได้” แม้เย่เย่จะประหลาดใจกับท่าทีของเจียงเหยียนแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะผูกไมตรีด้วยเลยแม้แต่น้อย
“เย่เย่เจ้าลูกคณิกา! ยังไม่รีบถวายการเคารพพระมเหสีอีก วรยุทธ์เจ้าสูงส่ง แต่กิริยามารยาทกับต่ำช้ากว่าขอทาน!” องครักษ์ข้างกายหนึ่งในสองคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เอาล่ะๆ พอได้แล้วเจียงคุน อย่าตำหนิแขกสิ” มเหสีเจียงยกมือปราม พลางกล่าวขึ้น ก่อนที่เจียงคุนจะก้มหน้าสงบปากสงบคำลง
จากที่เย่เย่ประเมินจากสายตาดูแล้ว องครักษ์ทั้งสองนี้คงไม่ใช่องครักษ์วังหลวงธรรมดาทั่วไป คงจะเป็นคนสกุลเจียงที่ส่งมาคุ้มภัยให้แก่มเหสีโดยเฉพาะ และดูเหมือนว่าวรยุทธ์ของพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกับเย่เย่อีกด้วย
“เหอะ! ถ้าข้าเป็นลูกคณิกา แล้วกิริยามารยาทของเจ้าที่จงใจหาเรื่องข้าจะเรียกว่าอะไร? ลูกสุนัขที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้างั้นรึ!?” เย่เย่โต้กลับโดยปราศจากความเกรงกลัว
“นี่เจ้า บังอาจ!” เจียงคุนโกรธจัดถึงขนาด ชักกระบี่ออกมาทำทีว่าจะฟาดฟันเย่เย่ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
แต่ทว่าเจียงอู๋องครักษ์อีกคนที่สุขุมกว่า ได้คว้าข้อมือของเจียงคุนไว้แน่น พร้อมส่ายหน้าปรามเอาไว้ได้ทัน
“ชิ! เห็นแก่หน้าพระมเหสี ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้าก็ได้!”
เมื่อเหตุการณ์สงบลง มเหสีเจียงจึงเชิญเย่เย่ไปสนทนาที่ศาลากลางน้ำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พระมเหสีเรียกข้ามาครั้งนี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือขอรับ?” เย่เย่ถามขึ้น
มเหสีเจียงประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีสงบจิตสงบใจอย่างผิดคาดของเย่เย่ แต่คำถามของเย่เย่ก็ได้ย้ำเตือนนางถึงวัตถุประสงค์ในครั้งนี้
“ในเมื่อท่านเย่ถาม ข้าก็จะบอกท่านตามตรง ในเมื่อท่านเย่ทราบดีอยู่แล้วว่าหอเทพศาสตราเป็นของตระกูลเรา เหตุใดท่านจึงยังลงมืออย่างทารุณกับคนของข้า? เห็นได้ชัดว่าท่านไม่เคยเห็นพวกเราในสายตา หากวันนี้ท่านไม่ยอมเข้าร่วมกับสกุลเจียง อย่าหาว่าข้าเจียงเหยียนไร้ความปรานี!”
ทันทีที่เจียงเหยียนพูดจบ บรรยากาศรอบๆตัวของ เจียงคุน และเจียงอู๋ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน คลื่นพลังปราณมหาศาลทำให้มวลอากาศของศาลากลางน้ำหนักอึ้ง ผิวน้ำรอบๆสั่นไหวขึ้นเป็นระลอกๆจากแรงสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าสันติคงไม่ใช่ทางออกของความบาดหมางในครั้งนี้…
Related