บทที่ 210
หนึ่งปะทะสอง
สององครักษ์สกุลเจียง ผนึกกำลังกัน ก่อให้เกิดพลังปราณมหาศาล ผืนน้ำรอบๆศาลากลางน้ำสั่นสะเทือนเป็นระลอกๆ จนกลายเป็นวังวนน้ำขนาดใหญ่
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมรอบๆก็สูญสิ้น ฝูงมัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบกลับลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำอย่างน่าประหลาด
เย่เย่เห็นดังนั้น เขาจึงดึงพลังปราณขั้วตรงข้ามออกมาหักล้างพลังของเจียงอู๋ และเจียงคุน ภายในชั่วพริบตาน้ำวนก็คลายออก สิ่งมีชีวิตต่างๆก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เมื่อเห็นพลังของเย่เย่ สององครักษ์ก็มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พวกเขาตระหนักขึ้นได้ว่าพลังของเย่เย่เพียงคนเดียวก็สามารถทัดเทียมกับพลังของพวกเขารวมกัน
“ตระกูลเจียงของเจ้านี่ก็น่าแปลก ฉางเซี่ยมาหาเรื่องข้าก่อนแท้ๆ ข้าก็แค่จัดการไปตามเรื่องตามราว พวกเจ้ามีอภิสิทธิ์อะไรมาใส่ความข้า?”
หลังจากที่ได้ประมือกับคู่ต่อสู้ไปหนึ่งกระบวน เย่เย่ก็กลับมามีท่าทีที่สุขุมดังเดิม
ได้ยินดังนั้น มเหสีเจียงก็ฉีกยิ้มออกมาและกล่าวขึ้นกับ เย่เย่ “ท่านเย่ ที่ข้าเรียกท่านมามิใช่เพราะเรื่องจิ๊บจ๊อยพรรค์นั้นสักหน่อย ข้าเพียงต้องการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างหอการค้าของท่านกับสกุลเจียงเท่านั้น”
เนื่องจากเย่เย่แข็งแกร่งกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มาก นางจึงสงวนท่าทีและคอยจับตาดูปฏิกิริยาตอบสนองของเขา ก่อนรินน้ำชาร้อนๆให้กับเย่เย่ด้วยตัวเอง
เย่เย่กอดอก และไม่ได้รับน้ำชาของนางเอาไว้ ก่อนปฏิเสธไมตรีของนางอย่างตรงไปตรงมา
“ร่วมมืองั้นรึ? คนของท่านเล่นงานคนของข้าแล้วยังจะมาพูดเรื่องความร่วมมืออีกงั้นรึ?”
“ท่านเย่ อย่ารีบร้อนนักสิ ฟังที่ข้าพูดให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย จริงอยู่ที่หอการค้า
หยูเย่ของท่านยิ่งใหญ่ รวมแดนประจิมที่มีแต่ความแตกแยกและแก่งแย่งชิงดีให้เป็นหนึ่งเดียวได้ แต่กระนั้นหอการค้าของท่านก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมดปลวกในสายตาของพวกเราอยู่ดี หากท่านต้องการทำมาค้าขายในหวางตู้อย่างราบรื่น ท่านจำเป็นจะต้องผูกมิตรกับหลายๆฝ่ายไว้ใช่ไหมล่ะ ข้ารับประกันเลยว่าหากท่านเข้าร่วมกับข้า ฐานะของท่านจะเป็นรองเพียงประมุขสกุลเจียง เป็นนายเหนือหัวของผู้คนนับหมื่นนับแสนท่านไม่ชอบรึ?”
ในระหว่างที่โน้มน้าวเย่เย่ นางก็ชายตากลมโตน่าพิสมัยของนางจับสังเกตปฏิกิริยาของเย่เย่อย่างรอบคอบ ราวกับพยายามอ่านใจผ่านสีหน้าของเย่เย่ แต่แล้วนางก็ต้องผิดหวังกับสีหน้าที่เรียบเฉยของเขา ดูเหมือนว่าเย่เย่จะอ่านใจของนางออกก่อนที่นางจะเอ่ยปากออกมาเสียอีก
ทันทีที่นางพูดจบ เย่เย่ก็ยิ้มเยาะออกมาก่อนตอบกลับนางอีกครั้ง “สกุลเจียงของท่านนี่ช่างด้านได้อายอดเสียจริงนะ เมื่อครู่เจ้ายังข่มขู่ข้าอยู่เลยไม่ใช่รึไง ตอนนี้กลับมาบอกให้ข้าร่วมมือกับท่าน งั้นรึ?”
“สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว หอการค้าหยูเย่ของท่าน กับหอเทพศาสตราของข้าสร้างตำนานบทใหม่ร่วมกัน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่ดีตรงไหนกัน?” เจียงเหยียนอธิบายเสริม พลางจิบน้ำชาที่กำลังอุ่นได้ที่ด้วยริมฝีปากอันเบาบาง
เย่เย่ได้ยินดังนั้นก็เหลือบตามองสององครักษ์ที่ยืนคุ้มกันอยู่ด้านหลัง ก่อนลุกขึ้นปฏิเสธข้อเสนอของมเหสีเจียงอีกครั้ง “ต้องขออภัยด้วยท่านมเหสีเจียง แต่ไหนแต่ไรข้าเย่เย่ไม่เคยก้มหัวให้ใคร ดังนั้นคงทำให้ท่านผิดหวังแล้ว ข้าขอลา”
ทันทีที่เย่เย่ทำทีจะเดินจากไป เจียงอู๋และเจียงคุนก็ใช้ปลอกกระบี่รั้งเขาเอาไว้
“พระมเหสียังพูดกับเจ้าไม่จบ เจ้าก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
“ในที่สุดก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!” เย่เย่กล่าวพลางชายตามองมเหสีเจียงที่อยู่ด้านหลัง
“ในเมื่อข้าให้โอกาสแล้วเจ้าไม่คว้าไว้ ข้าก็จะไม่ปรานีเจ้าล่ะ” เจียงเหยียนพูดพลางกะพริบตาส่งสัญญาณให้กับองครักษ์ทั้งสอง
แม้สององครักษ์จะมีระดับพลังใกล้เคียงกับเย่เย่ แต่เย่เย่ก็ไม่ได้มีท่าทีหวั่นเกรงแต่อย่างใด เขาจ้องใบหน้าที่เอาจริงเอาจังของมเหสีเจียง ก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า นี่ท่านเจียงคิดจริงๆรึว่าสององครักษ์ของท่านจะมีปัญญาหยุดข้าได้? ช่างน่าขันเสียจริง!”
เมื่อพูดจบเขาก็ปล่อยคลื่นพลังปราณที่ควบแน่นออกมา ซัดกระแทกสององครักษ์จนกระเด็นถอยออกไป 2 ช่วงตัว และเริ่มเปิดฉากปะทะใส่เจียงคุนก่อน
“สามัญชนอย่างเจ้านี่มันช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียจริง!” แม้จะเสียจังหวะไปบ้าง แต่เจียงคุนก็ตั้งตัวรับการปะทะของเย่เย่ได้ทันท่วงที เจียงอู๋ที่รู้ดีว่าเจียงคุนไม่สามารถเอาชนะ เย่เย่ได้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว จึงไม่รอช้าเข้าไปตะลุมบอนด้วยทันที
ในขณะที่เย่เย่กำลังทุ่มกำลังใส่เจียงคุน เจียงอู๋ก็โผล่มาฟาดฝ่ามือใส่เขาจากด้านหลัง
ตู้มมมมมมมมมม!
คลื่นแรงปะทะของพวกเขาแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง ทำให้ผืนน้ำโดยรอบปั่นป่วน เกิดคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า ลมโกรกพัดใบไม้ปลิวไสว ดวงเทียนหลายเล่มมอดดับลง ทำให้บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท
เจียงเหยียนที่รู้ตัวดีว่านี่ไม่ใช่ที่ของตน นางจึงรีบหนีออกไปและคอยทัศนาการต่อสู้ของพวกเขาทั้งสามอยู่ห่างๆ
หลังจากรับมือกับการโจมตีที่หนักหน่วงของสององครักษ์ได้พักใหญ่ เย่เย่ก็ตัดสินใจปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษออกมา ทันใดนั้นเกล็ดหนาสีดำทมิฬก็ค่อยๆปกคลุมร่างของเขาแทนที่เนื้อหนังมังสา ดูผิดมนุษย์มนา มีเพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ยังคงความเป็นมนุษย์อยู่
แม้เจียงคุนและเจียงอู๋จะตกใจ นอกจากไม่คิดจะยั้งมือแล้วยังเพิ่มความเร็วและความรุนแรงขึ้นเพื่อหวังปิดฉากให้ได้โดยเร็ว
เปรี้ยงงงงงงงงงง!
ทั้งสองซัดฝ่ามือใส่เย่เย่เข้าอย่างจัง แต่ทว่าด้วยพลังป้องกันของเกล็ดทมิฬนั้น ก็ไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย เย่เย่เห็นได้ทีจึงได้ทีสวนหมัดซ้ายขวากลับไป
ตู้มมมมมมมมมม!
“อุ่กกกกก” เจียงคุนรับกำปั้นของเย่เย่เข้าไปเต็ม ทำให้ร่างของเขากระเด็นตกลงไปในทะเลสาบ ในขณะที่เจียงอู๋ที่มีประสบการณ์มากกว่าเบี่ยงตัวหลบหมัดได้อย่างทันท่วงที
“เป็นไปได้ยังไง รับฝ่ามือของพวกเราแล้วไม่สะทกสะท้านอะไรเลยงั้นรึ?” เจียงอู๋ผงะออกไปตั้งหลัก พลางมองไปที่บริเวณที่เขาซัดฝ่ามือใส่ด้วยความงุนงง
ระหว่างที่เจียงอู๋ยืนขาแข็งด้วยความตกตะลึงอยู่นั้น เย่เย่ก็พุ่งมาถีบเขาอย่างไม่ให้ตั้งตัว
“อั่กกกกก!” เจียงอู๋กระอักเลือดออกมากลางอากาศ ก่อนปลิวตกไปในทะเลสาบ ชนกับร่างของเจียงคุนที่พยายามกระเสือกกระสนขึ้นมาบนผิวน้ำ ไม่เหลือสภาพเดิมขององครักษ์ของมเหสีเจียงผู้สูงศักดิ์
ทั้งสองปราชัยให้กับเย่เย่ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่เจียงเหยียนคาดคิด นางจึงหันหลังเดินจากไปโดยทิ้งผู้ติดตามทั้งสองไว้ตามลำพัง แต่ทว่าทันใดนั้นเองเย่เย่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า และคว้าขอมือนางไว้ด้วยความเร็วดุจปิศาจ
“นี่เจ้า! ปล่อยข้านะ” มเหสีเจียงสะบัดข้อมืออย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่เป็นผล
“อย่าเสียมารยาทกับพระมเหสีนะ!” เจียงอู๋และเจียงคุนที่เพิ่งโผล่ขึ้นจากสระ ก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าลนลาน หากแม้นพระมเหสีเจียงไม่ได้อยู่ในน้ำมือของเย่เย่ พวกเขาคงจะรีบกลับไปสู้กับเย่เย่ต่ออย่างไม่คำนึงถึงชีวิต
เนื่องจากพระมเหสีเจียงเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ หากนางตายด้วยน้ำมือของเย่เย่ มิเพียงแต่ชีวิตของสององครักษ์ ต่อให้ตระกูลเจียงทั้งตระกูลชดใช้ด้วยชีวิตก็เห็นทีว่าจะไม่เพียงพอ
“ถึงตอนนี้ท่านยังจะใช้กำลังบังคับขู่เข็ญข้าอีกรึเปล่าล่ะ?” เย่เย่จ้องเข้าไปในดวงตาที่หวาดกลัว และใบหน้าที่ซีดเซียวของพระมเหสี
“ปล่อยข้านะ ถ้าเจ้าฆ่าข้าล่ะก็ แผ่นดินนี้จะไม่มีที่ให้เจ้าได้อยู่อย่างสงบสุขแน่!” แม้จะตื่นตระหนก แต่ในใจลึกๆนางก็ยังคงเชื่อมั่นว่าเย่เย่ไม่มีทางฆ่านาง นางจึงพอประคองสติเอาไว้ได้อยู่
เย่เย่เงียบไปสักพัก เขาผ่อนพลังปราณลง และกล่าวขึ้นกับนางด้วยรอยยิ้ม
“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก นี่เป็นคำเตือน หากวันหน้าสกุลเจียงของเจ้ายังราวีข้าไม่เลิกละก็ อย่าหาว่าเย่เย่คนนี้แล้งน้ำใจ!”
Related