บทที่ 213
สายฟ้าแห่งการพิพากษา
ในขณะเดียวกัน ผู้คนสกุลกู๋ที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาอย่างยาวนาน ต่างยืนนิ่งมองดูศัตรูของพวกเขาถูกกำจัดลงไปทีละหลายคนด้วยใบหน้าตกตะลึงราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ท่านจ้าวตระกูล ท่านทราบอยู่ก่อนแล้วหรือว่าประมุขแห่งอารามจะมาน่ะ?” ผู้อาวุโสที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขากล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้กู๋หยุนเฟิงก็เคยใช้ชื่อของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ในการข่มขู่กองกำลังของศัตรู
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาจริงๆ” กู๋หยุนเฟิงเหม่อมองชายในชุดเกราะสีดำสยายปีกอยู่เหนือท้องฟ้า พลางพูดพึมพำขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าประมุขแห่งอารามจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ในใจลึกๆจึงได้แต่ภาวนาให้เทพยดาคุ้มครองให้กู๋จื่อเช่านำดาบประกายเพลิงกลับมาโดยเร็ว
แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไร้วี่แววของชายผู้เป็นความหวังของตระกูล แต่ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังกลับมีแสงแห่งความหวังดวงใหม่เข้ามาแทนที่ แม้กู๋หยุนเฟิงจะไม่รู้ว่าประมุขแห่งอารามไปได้ข่าวความขัดแย้งระหว่างสกุลกู๋กับพรรคธารสวรรค์มาจากไหน แต่ในเมื่อมันทำให้ตระกูลของเขาอยู่รอดปลอดภัยเขาก็วางความแคลงใจลง
นอกจากกู๋หยุนเฟิงแล้ว สมาชิกสกุลกู๋คนอื่นๆก็รู้สึกเหลือเชื่อเช่นเดียวกัน เมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมาพวกเขาเพิ่งปฏิญาณตนอุทิศชีวิตเพื่อวงศ์ตระกูล แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ถูกชายที่ไม่รู้จักหน้าคร่าตามาก่อนโอบอุ้มเอาไว้ ทำให้พวกเขายืนเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก
กู๋หลิงเองก็สับสน เหม่อมองเปลวเพลิงสีม่วงที่ลุกท่วมหัวอยู่ท่ามกลางสมรภูมิ แต่เสียงดีใจของเด็กๆและคนหนุ่มสาวรอบข้างก็ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
“พวกเรารอดตายแล้ว!”
“สมน้ำหน้าไอ้พวกพรรคธารสวรรค์เวรกรรมตามทันพวกมันแล้ว!”
“ขอบคุณสวรรค์ ท่านช่างมีเมตตาต่อตระกูลกู๋ของพวกเราจริงๆ”
กู๋หลิงและเด็กๆโผเข้ากอด ร้องลั่นด้วยความปีติยินดี แม้พวกผู้อาวุโสสกุลกู๋จะกระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยแข็งแรงแสดงออกอย่างคนหนุ่มสาวไม่ได้ แต่สีหน้าของพวกเขาก็ได้อธิบายความรู้สึกทั้งหมดออกมาแล้ว
จากบทสรุปของสงครามนี้ทำให้พรรคธารสวรรค์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก พวกเขาไม่สามารถรักษาฐานอำนาจในเมืองจูเฉิงเอาไว้ได้ และถูกรวบกลืนไปกับกองกำลังอื่นๆในท้องถิ่น
แม้ผู้คนสกุลกู๋จะรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเย่เย่ แต่ในใจลึกๆแล้วพวกเขากลับหวาดกลัวมากกว่า เมื่อเห็นเย่เย่ร่อนตัวลงมา จึงถอยร่นออกไปด้วยอย่างแตกตื่น
เย่เย่เห็นปฏิกิริยาดังกล่าว เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่กวาดสายตามองไปรอบๆ สายตาที่เยือกเย็นประหนึ่งไร้ชีวิตของเขายิ่งทำให้ผู้คนหน้าซีดไปเป็นแถบๆ มีเพียงกู๋หยุนเฟิงที่รวบรวมความกล้าก้าวเท้าออกมาด้านหน้าเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณแทนพี่น้องในตระกูล
“ข้าน้อย กู๋หยุนเฟิง ขอขอบคุณท่านประมุขแห่งอารามแทนพี่น้องในตระกูลกู๋ทุกคน ขอท่านอย่าได้ถือสาท่าทีของพวกเขาเลย” แม้ร่างกายจะสั่นระริก แต่กู๋หยุนเฟิงก็สงบใจได้ ก่อนประสานมือโค้งคำนับเย่เย่ด้วยความอ่อนน้อม
อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ได้รับการคำนับนั้น เขาหันหลัง ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความไร้เยื่อใย “หึ! ข้าก็แค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้น พรรคธารสวรรค์ละเมิดคำเตือนของข้า มีจุดจบแบบนั้นมันก็สมควรแล้ว! ข้าหมดธุระกับพวกเจ้าแล้ว ขอลา”
แม้กู๋หยุนเฟิงจะรู้สึกเสียหน้าที่ถูกปฏิเสธการคำนับ แต่ก็รู้สึกโล่งอกในเวลาเดียวกัน เนื่องจากประมุขแห่งอารามนั้นเป็นตัวอันตรายที่ราชสำนักและแปดนิกายหลักต่างหมายหัว ในฐานะผู้นำตระกูลเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของทางการ
เมื่อเสร็จธุระเย่เย่ก็บินหายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แต่ไหนแต่ไรมาเย่เย่ไม่เคยสนใจสายตาของคนอื่น จุดประสงค์เดียวของเขาคือใช้กำลังสยบความรุนแรง เพื่อทำให้พวกมหาอำนาจยำเกรงและไม่กล้าก่อสงครามกดขี่ข่มเหงผู้น้อยอีก
แม้ว่าแผ่นดินฉางหลางจะกว้างใหญ่ไพศาล และด้วยสองมือของเขาไม่อาจแทรกแซงสงครามได้ทุกแห่ง แต่เย่เย่ก็เชื่อว่าด้วยการกระทำของเขาจะสามารถทิ้งภาพจำไว้ให้พวกชนชั้นผู้นำได้บ้าง เปรียบเสมือนอสนีบาตที่คอยพิพากษาผู้ที่คิดคดทรยศลงมาจากฟากฟ้า
หลังจากที่เย่เย่กลับมาถึงหวางตู้ ก็แปลงชุดเกราะกลับเป็นประคำคล้องมันไว้ที่ข้อมือขวา และเดินกลับมายังหอการค้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อลู่จุ้นเห็นเขากลับมาก็เดินตรงเข้ามาหา แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถาม เย่เย่ก็ส่ายหน้าและเดินกลับขึ้นไปที่ห้อง เขาจึงไม่ได้คะยั้นคะยออีก
สามวันถัดจากนั้น ข่าวการปรากฏตัวขึ้นในอู๋เจิ้งของประมุขอารามวิถีสวรรค์ก็เลื่องลือไปทั่วเมือง ทั้งแปดนิกาย ทั้งราชสำนักต่างร้อนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากอู๋เจิ้งนั้นไม่ได้ห่างไกลจากหวางตู้มากนัก การกระทำของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์นั้นจึงไม่ต่างอะไรกับการหยามเกียรติของพวกเขาซึ่งๆหน้า
แม้ราชสำนักและแปดนิกายจะจับตาดูการเคลื่อนไหวของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ทุกฝีก้าว แต่พวกเขากลับไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของเขากลับมาเป็นชิ้นเป็นอันเลย ได้แต่ตั้งข้อสันนิษฐานจากการปรากฏตัวของเขา โดยมีบางทฤษฎีกล่าวว่าประมุขแห่งอารามนั้นอาศัยอยู่ตัวเมืองหวางตู้ แต่ด้วยข้อสังเกตเพียงเท่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวอะไรได้มากนัก
การกระทำของเย่เย่นั้นส่งผลให้ผู้มีอำนาจทั้งน้อยใหญ่ในแผ่นดินฉางหลางตกอยู่ในความตื่นตระหนก พวกเขาต่างหลีกเลี่ยงแผนการต่างๆที่อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง และคอยกำชับพรรคพวกของตนไม่ให้สร้างความเดือดร้อน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สำนักเล็กๆ รวมไปถึงผู้ค้ารายย่อยที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากชนชั้นสูง ค่อยๆฟื้นตัวและสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเองได้ พวกเขาเหล่านี้จึงรู้สึกซาบซึ้งและยกย่องเชิดชูประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ราวกับเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม
กองกำลังปีกแห่งแสงที่ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างลับๆเอง ก็ประกาศกร้าวว่าจะให้การสนับสนุนประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์โดยไม่มีเงื่อนไข พวกเขาพร้อมที่จะเป็นคมหอกคมดาบที่หันใส่ราชสำนักเพื่อทวงคืนความสงบสุขที่แท้จริงมาสู่แผ่นดินฉางหลาง
ในขณะนี้แม้ราชสำนักจะไม่แสดงท่าทีใดๆเช่นเดียวกับนิกายสายลมแห่งราชัน แต่ด้านนิกายวิถีสวรรค์และนิกายเมฆาสวรรค์ไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป แม้ทั้งสองนิกายจะเคยมีเรื่องบาดหมางต่อกันอย่างลึกซึ้ง แต่ทั้งสองประมุข นักพรตเฉิงติ้งซานและไต้ซือตู๋ไห่ได้จับมือกันอย่างลับๆ
“ท่านเฉิงขอเพียงท่านมองข้ามเรื่องในอดีตร่วมมือกับข้าจับประมุขแห่งอารามส่งตัวให้ทัณฑ์สวรรค์ เมื่อเสร็จภารกิจแล้วพวกเราจะไปขอความดีความชอบกับทัณฑ์สวรรค์ด้วยกันท่านว่ายังไงล่ะ?” ตู่ไห่กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม พลางลูบเคราที่ไม่สั้นไม่ยาวของตนอย่างช้าๆ
“ท่านตู๋มาด้วยตัวเองเช่นนี้ มีรึข้าจะปฏิเสธ ด้วยกำลังของพวกเราทั้งสองก๊ก หกนิกาย การจับประมุขแห่งอารามนั้นก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป!” นักพรตเฉิงสะบัดชายแขนเสื้อ ก่อนผสานมือตอบรับข้อเสนอด้วยความยินดี
ทั้งสองหารือกันจนได้ข้อสรุปว่า พวกเขาจะก่อสงครามขึ้นระหว่างกันโดยอ้างความแค้นในอดีตเพื่อหลอกล่อให้ประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อพวกเขาหารือกันเสร็จสรรพ ตู๋ไห่ก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาลังเลใจเล็กน้อยก่อนถามเฉิงติ้งซานขึ้น “ท่านนักพรตเฉิง หากประมุขแห่งอารามมาตามนัดก็แล้วไป แต่ถ้าหากเขาไม่มาล่ะ เราจะปล่อยให้เหล่าศิษย์ห้ำหั่นกันเองโดยไร้ความหมายอย่างงั้นรึ?”
ได้ยินดังนั้นเฉิงติ้งซานก็เหม่อมองตู๋ไห่ได้พักหนึ่ง ก่อนเอามือข้างหนึ่งกุมใบหน้าและหัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ไต้ซือตู๋ช่างไร้เดียงสาเสียจริง! ในเมื่อเราจะใช้พวกเขาเป็นเหยื่อล่อ ให้พวกมันทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด อีกอย่างระหว่างนิกายของท่านกับข้าก็สั่งสมบุญคุณความแค้นกันมานานหลายสิบปี ก็ถือโอกาสนี้ชำระให้มันจบๆไป ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ข้าไม่เห็นว่ามันจะไร้ความหมายตรงไหน!”
เมื่อตู๋ไห่ได้ยินคำตอบที่เหนือความคาดหมายจากปากเฉิงติ้งซาน เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นทันใด พลางคิดในใจขึ้น
‘ใช้ผู้บริสุทธิ์นับร้อยๆเป็นเครื่องมือ นี่มันไม่ใช่วิถีของผู้ออกบวชแล้ว’
ความโหดเหี้ยมอำมหิตของเฉิงติ้งซานนั้น ทำให้ตู๋ไห่ตระหนักขึ้นได้ถึงสาเหตุที่นิกายของเขามักตกเป็นรองนิกายวิถีสวรรค์
ถึงแม้จะแผนการของนักพรตรู้สึกขัดต่อจริยธรรมไปบ้าง แต่ตู๋ไห่ก็ไม่อาจปฏิเสธแผนการของเฉิงติ้งซานได้ เพราะในใจลึกๆแล้วเขานั้นร้อนรนที่จะกำจัดประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ให้พ้นทางเสียยิ่งกว่าเฉิงติ้งซานซะอีก…
Related