บทที่ 23
ความโกรธที่พลุกพล่าน
จากการประมูลที่หอการค้าชิงเฟิงเมื่อครั้งล่าสุดนี้ แม้ เย่เย่จะใช้จ่ายเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาก็น่าพึงพอใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
โสมราชาที่โดนเพิ่มอายุนี้ต้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะไม่มีเค้าโครงเดิมหลงเหลือไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นโสมนี่เหมือนยิ่งแก่ก็จะยิ่งมีสีสว่างมากขึ้นไปอีก นอกจากนั้นแล้วโสมราชานี่พอมีอายุก็จะมีกลิ่นของสมุนไพรรุนแรงโชยออกมาอีกด้วย
“เท่าที่ข้ารู้มา โสมราชาที่อายุแก่ได้ที่แล้วนั้นหายากมากๆ ดังนั้นราคาของมันจึงจะสูงกว่าต้นที่ยังไม่แก่ถึง 2 เท่า ต่อให้ไม่เอาไปประมูล แล้วเอาไปขายตามหอการค้าใหญ่ๆก็น่าจะทำเงินได้เยอะอยู่เหมือนกัน!”
เย่เย่พึงพอใจกับโสมราชาในมือนี้มากๆ กระนั้นเขาก็ยังไม่วายมีเรื่องให้คิดจนต้องปวดหัวอยู่เรื่อยๆ นั่นก็คือ เขาจะเอาโสมราชานี่ไปขายที่ไหนดี
เพราะหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเฟิงเจิ้นก็คือหอการค้า ชิงเฟิง ร้านค้ารายย่อยอื่นๆเองก็ไม่สนใจพวกยาอายุวัฒนะกันด้วย กระนั้นจะเอาโสมราชานี่กลับไปขายที่หอการค้าชิงเฟิง ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะมีโสมราชาอายุน้อยถูกประมูลไป แผนนี้อาจจะทำให้คนเกิดความสงสัยได้ ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงไม่อยากจะเอาตัวเองไปรวมไว้กับความเสี่ยงเหล่านี้
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปหลิงเฉิงด้วยตัวเองเสียแล้ว!”
หลังจากที่ตัดสินใจได้ดังนี้แล้ว ข้อมูลความทรงจำเกี่ยวกับหลิงเฉิงก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
ที่แห่งนี้เป็น 1 ใน 13 เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้แห่งแผ่นดินฉางหลาง หลิงเฉิงนั้นไม่เพียงแต่ใหญ่กว่าเฟิงเจิ้นถึง 10 เท่า แต่ยังอุดมไปด้วยหอการค้ามากมายอีกด้วย
ดังนั้นแล้วถึงแม้จะจัดการประมูลทุกวัน ผู้คนก็ยังสามารถพบของหายากได้ 1-2 ชิ้นต่อวันจากการประมูลเหล่านี้ได้
เย่เย่นั้นเปรียบเสมือนคนดังของเฟิงเจิ้น ทั้งกริยาและท่าทางรวมไปถึงการกระทำของเขานั้นกระฉ่อนไปทั่วจนคนต่างหวาดระแวงกันหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ยากหากเขาจะนำโสมราชาแก่นี่ไปขายเงียบๆ
แต่ในหลิงเฉิง ไม่มีใครใส่ใจอยู่แล้วว่าเย่เย่คือใคร เช่นนั้นแล้วต่อให้นำโสมราชานี่ไปขายที่หอการค้าแห่งใดแห่งหนึ่งภายในหลิงเฉิง มันก็จะไม่ทำให้ทั่วทั้งหลิงเฉิงวุ่นวายเป็นแน่แท้ ถ้าทำแบบนั้นเขาก็จะปลอดภัยจากภัยคุกคามเพราะชื่อเสียงอีกด้วย
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เย่เย่ก็ไม่ลังเลและวางแผนที่จะไป หลิงเฉิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ทันที เพราะในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ตระกูลเย่จะจัดงานพบปะคนในตระกูลประจำปี ตามปกติแล้วเด็กๆตระกูลเย่ทุกคนจะถูกเรียกตัวมาให้ร่วมงานนี้กันหมด
เย่เทียนเองก็ตั้งใจจะใช้งานพบปะนี้เพื่อยกระดับตระกูลเย่ให้สูงขึ้นไปอีกด้วย ดังนั้นแล้วเขาจึงคาดหวังกับนี้ไว้อย่างมาก ทว่าเย่เย่กลับไม่ได้สนใจอะไรนักแต่เพื่อไม่ให้ความคาดหวังของเย่เทียนต้องสูญเปล่า ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะรีบไปและกลับมาเฟิงเจิ้นให้ทันก่อนที่คนในตระกูลจะตีกันเองเสียก่อน
ด้วยเหตุนี้เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เย่เย่ตื่นแล้วเขาก็เตรียมที่จะเรียกเสี่ยวหยูเพื่อจะบอกว่าตนจะออกไปด้านนอก ทว่าสิ่งที่หายไปสำหรับเช้านี้ก็คือเสี่ยวหยูแทนเสียอย่างนั้น
“นายน้อยขอรับ! เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วขอรับ!”
ขณะที่เย่เย่กำลังยืนงงอยู่นั้นเอง 1 ในคนรับใช้ของบ้านตระกูลเย่ที่ทำหน้าที่หน้าที่เฝ้าประตูด้านนอกไว้นั้นก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเย่เย่พร้อมจดหมายในมือ สีหน้าที่ตื่นตูมนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความวิตกและความกลัวอันเนื่องมาจากเนื้อหาในจดหมาย
“เกิดอะไรขึ้น? ค่อยๆพูด ข้าฟังไม่รู้เรื่อง”
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เย่เย่รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นมา กระนั้นเขาก็ยังพูดกับคนรับใช้ของเขาด้วยความใจเย็น
“อะ—อ่า นายน้อยขอรับ เมื่อครู่ขณะที่ข้ากำลังทำความสะอาดบริเวณหน้าประตูอยู่ จู่ๆก็มีศรนี่ปักเข้ามาที่ประตูด้านนอกของบ้านตระกูลเย่ซึ่งมันแนบจดหมายมาด้วย พอข้าเปิดจดหมายนั้นออกมาก็พบว่ามันเกี่ยวกับนายน้อยโดยตรงเลยขอรับ มันบอกไว้ว่าเสี่ยวหยู คนรับใช้ของนายน้อยนั้นถูกพวกมันจับตัวเอวไว้แล้ว และนายน้อยต้องเอาเงิน 160,000 เหรียญทองไปแลกด้วยตัวคนเดียวขอรับ!”
ตามที่ได้ฟังจากคนรับใช้คนนี้อธิบายพร้อมกับยื่นจดหมายนั้นให้เย่เย่ หลังจากที่ได้อ่านด้วยตาตนเองนั้น สีหน้าที่นิ่งสงบของเย่เย่ก็ดูจะโกรธขึ้นมานิดหน่อย โดยเฉพาะยามที่เห็นข้อความขู่กรรโชกทรัพย์ของอีกฝ่าย มันทำให้เย่เย่แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าฝีมือใคร
“อย่าเพิ่งเอ็ดไป ข้าจะจัดการเอง ตอนนี้เจ้าช่วยไปเตรียมม้าให้ข้าทีนะ”
อารมณ์โกรธเมื่อครู่กลับกลายเป็นอารมณ์เย็นอีกครั้ง เย่เย่วางจดหมายนั้นคืนและบอกกับคนรับใช้ของเขา
“ข-เข้าใจแล้วขอรับนายน้อย! ข้าจะรีบจัดการให้โดยไว!”
คนรับใช้ที่รับคำสั่งรีบวิ่งไปหาม้าที่ดีที่สุดในขณะที่เย่เย่ก็สวมเกราะพร้อมพกอาวุธจนดูน่าเกรงขามก่อนจะควบม้าที่ดีที่สุดในบ้านออกไปยังชานเมืองทิศตะวันตกของเฟิงเจิ้น
ในขณะเดียวกันที่วัดร้างบริเวณชานเมืองทิศตะวันตกของเฟิงเจิ้น เสี่ยวหยูนั้นถูกมัดแน่นไว้กับเสาต้นหนึ่งภายในนั้น
อีกฟากหนึ่งภายในวัดร้างนั้นเอง หลี่เฉียนและจ้าววรยุทธ์จากอารามจ้าววรยุทธ์อีก 3 คนต่างก็กำลังรอให้เย่เย่หลงเข้ามาติดกับดักที่พวกเขาวางไว้นี้
“ศิษย์พี่หลี่เฉียน เย่เย่มันผ่านการทดสอบของอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว เรามาวางแผนจัดการมันแบบนี้จะดีเหรอขอรับ?”
จ้าววรยุทธ์หนุ่มที่อยู่ด้านหลังหลี่เฉียนนั้นกำลังลังเลใจ เขานั้นค่อนข้างกังวลถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการกระทำในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
“เจ้าจะกลัวอะไรน่ะ? ไอ้เด็กคนนั้นมันบังอาจมาทำให้ข้า หลี่เฉียน ผู้นี้ต้องอับอายเลยนะ! ต่อให้มันกลายเป็นศิษย์ของจ้าววรยุทธ์แล้ว ข้าก็จะล้างแค้นมันให้ได้! เพราะฉะนั้นตอนที่มันเป็นแค่เพียงผู้สมัครเข้ารับการทดสอบแบบนี้ คิดว่าข้าจะกลัวเรอะ!”
หลี่เฉียนเหลือบมองจ้าววรยุทธ์ที่เขาพามาด้วยความไม่พอใจพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงโหดร้าย จากนั้นเขาก็เบนสายตาหันไปมองยังทิศทางที่เย่เย่ควรจะปรากฏตัวขึ้นมาแทนโดยคาดหวังว่าจะได้เห็นร่างของเย่เย่ปรากฏตัวขึ้นมาเร็วๆนี้
“ฮึ่ม ระแวงอะไรของพวกเจ้าน่ะ? นายน้อยน่ะไม่มาหรอก!”
เสี่ยวหยูที่โดนมัดไว้กับเสานั้นรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยออกมาใส่หลี่เฉียนและคนอื่นๆ
ได้ยินดังนั้นหลี่เฉียนก็รีบหันไปมองยังเสี่ยวหยูที่ใบหน้ากำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทันที แต่กระนั้นแล้วแววตาของสาวน้อยก็ยังเปี่ยมดื้อดึงและความมั่นใจในการตัดสินใจของนางเองอีกด้วย
“นี่ แม่ตัวเล็ก อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าน่ะ ไม่ได้เพียงแต่เป็นคนรับใช้ของเย่เย่ แต่เจ้ายังเป็นผู้หญิงของมันอีกด้วย พวกเจ้าอยู่กินด้วยกันมานาน หากเย่เย่เป็นคนที่ไม่สนใจว่าผู้หญิงของตัวเองจะถูกมัดอยู่ที่ไหน มันก็คงไม่มีค่าพอที่จะให้ข้าต้องทำถึงขนาดนี้หรอก!”
หลี่เฉียนนั้นดูจะภาคภูมิใจกับข้อมูลที่ตัวเองได้รับรู้มาจริงๆ เขามองไปยังเสี่ยวหยูด้วยความเหยียดหยามและไม่ใส่ใจคำพูดใดๆของนางทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน เมื่อเสี่ยวหยูได้ยินสิ่งที่หลี่เฉียนพูด ความเศร้าสร้อยก็ปรากฏขึ้นในแววตาสวยของนางทันที กระนั้นแล้วนางก็ยังดื้อดึงพูดต่อไป “พวกเจ้าฟังมาผิดแล้ว! นายน้อยน่ะไม่ใช่คนที่จะมาช่วยข้าหรอก! และนั่นก็ไม่ใช่เพราะเขากลัวเจ้าด้วย แต่เพราะว่าเขาไม่เคยสนใจผู้หญิงที่อ่อนแอเช่นข้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว! โดยเฉพาะหลังจากที่นายน้อยปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้นั้น เขาก็ไม่เคยมองข้าอีกเลยด้วยซ้ำไป!”
ยิ่งเสี่ยวหยูพูดออกไปแบบนี้ แววตาของนางก็ยิ่งดูจะเศร้าสร้อยมากยิ่งขึ้น เพราะมันทำให้นางนึกถึงภาพของเย่เย่ในวันที่เขาไม่แยแสนางขึ้นมา น้ำตามันเริ่มเอ่อออกมาและดูเหมือนว่าตัวนางนั้นพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อแล้ว
ก่อนที่เ่ย่เย่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้นั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยแต่งตั้งอะไรให้นาง แต่เขาก็ยังอ่อนโยนกับเธอมากๆยามที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ทว่าหลังจากที่เย่เย่ตื่นขึ้นมาจากการโดนหลินหยูฉีทำให้หมดสติไปนั้น มุมมองที่เขามีต่อนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลย
หลี่เฉียนที่เห็นว่าท่าทีเศร้าสร้อยของเสี่ยวหยูนั้นไม่ใช่สิ่งปลอมแปลง เขาเองก็รู้สึกถึงความเศร้าภายในใจ
แต่ความเศร้านั้นหาใช่เพราะสงสารไม่ แต่เป็นเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้ชื่นชอบเย่เย่มาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว แถมยังเกลียดมากขึ้นหลังจากที่เจอกันในงานประมูลที่หอการค้าชิงเฟิงนั่นอีก ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องการจะวางแผนเพื่อเรียกเย่เย่ออกมาสั่งสอน ทว่าพอได้ยินเรื่องที่เสี่ยวหยูพูดเช่นนี้ ความหวังที่คิดว่าเย่เย่จะปรากฏตัวออกมามันก็ยิ่งน้อยลงไปมากกว่าเดิมเสียอีก
“บ้าเอ๊ย! ไหนเจ้าบอกว่านางเป็นผู้หญิงของเย่เย่ไง!เจ้าบอกว่าหากข้าลักพาตัวนางมาแล้วมันจะทำให้เย่เย่ยอมออกมาตามหานาง แล้วเป็นไง!”
เขาหันกลับไปหาผู้เป็นลูกน้องก่อนจะถีบเข้าไปที่คนที่อยู่ใกล้ที่สุด
คนคนนั้นไม่กล้าที่จะหลบและต้องยืนรับการโจมตีของ หลี่เฉียนอย่างจำใจก่อนจะอธิบายด้วยรอยยิ้มที่สั่นคลอน “ศิษย์พี่หลี่เฉียน พวกข้าไม่รู้จริงๆว่าเย่เย่เป็นคนแบบนี้! แต่ไม่ว่ายังไงนางก็เป็นสาวใช้ของเย่เย่นะ ต่อให้เย่เย่มันไม่มา เราก็ล้วงความลับของเย่เย่บ้างแน่ๆ ความพยายามของพวกเราจะไม่สูญเปล่าแน่ๆ!”
“ฝันไปเถอะ! ตระกูลเย่เคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่มีวันขายความลับของนายน้อยเพียงเพราะอยากให้ตัวเองรอดหรอก!”
ก่อนที่หลี่เฉียนจะยอมรับวิธีการของลูกน้องตน เสี่ยวหยูก็รีบพูดขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน นัยน์ตาที่เคยเศร้าหมองในตอนนี้กำลังแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวอยู่ สำหรับนางน่ะ ถ้าเหลือทางนั้นจริงๆก็คงจะเลือกยอมตายดีกว่ามาขายความลับเช่นนี้
เมื่อครั้งที่นางพบว่าท่าทีของเย่เย่ที่มีต่อตนนั้นเปลี่ยนไป เสี่ยวหยูก็เก็บความเศร้าใจเอาไว้ภายในอกตลอด แต่กระนั้นยามที่ได้ยินว่าเย่เย่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้และกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ นางก็ดีใจกับเขาด้วยจริงๆ ไม่ว่าเย่เย่อยากจะทิ้งนางไว้ด้านหลังก็ตาม
มันเป็นเรื่องตั้งแต่ยังเด็กแล้วที่นางนั้นถูกตระกูลเย่รับมาเลี้ยง แต่วาสนาของตนเองก็ไม่ได้สูงส่งระดับหลินหยูฉีที่เย่เทียนรับมาเลี้ยงเป็นลูกสาวบุญธรรมด้วยความสามารถที่สูงกว่าคนทั่วๆไป ส่วนตัวนางนั้นได้เป็นเพียงคนรับใช้ธรรมดาๆเพราะไม่ได้มีอะไรเหนือกว่าคนอื่นเขา ถึงอย่างนั้นเสี่ยวหยูก็แสดงความกตัญญูรู้คุณแก่ตระกูลเย่ด้วยความเต็มใจ แม้ว่าหลังจากที่กลายเป็นคนรับใช้ของพ่อหนุ่มเจ้าสำราญอย่างเย่เย่แล้วนางจะต้องเสียความบริสุทธิ์ไปแทบจะทันทีก็จริง แต่นางก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรทั้งนั้น
นั่นก็เพราะว่าเย่เย่ในยามที่อยู่กับนางแค่สองคนนั้น เขามักจะแสดงท่าทีที่อ่อนแอออกมา ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้เสี่ยวหยูรู้สึกได้ว่าตัวเย่เย่เองก็ไม่ได้ร้ายอย่างที่คนด้านนอกเขาพูดกัน และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่รู้ตัวอีกทีในใจเสี่ยวหยูก็มีแต่เย่เย่ไปแล้ว
คราวที่เสี่ยวหยูรู้ว่าเย่เย่นั้นปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้รวมถึงกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ได้แล้วนั้น นางเองก็ดีใจกับตระกูลเย่ด้วยเช่นกัน นางภูมิใจในตัวเย่เย่มากๆโดยไม่สนใจว่าเย่เย่นั้นจะทำอย่างไรกับนางไว้ ภายในใจของเสี่ยวหยู นางได้ปฏิญาณที่จะไม่ทรยศตระกูลเย่และเย่เย่ไปแล้ว ดังนั้นแม้จะโดนหลี่เฉียนกับพรรคพวกจับมาเช่นนี้ นางก็พร้อมที่จะตายหากมันจำเป็น
“เจ้ายังคิดจะดื้อดึงอีกงั้นเหรอ? สาวน้อย อย่าลืมสิว่าเจ้าน่ะถูกพวกข้าจับตัวมานะ เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้เชียว รีบๆเปิดปากพูดความลับของเย่เย่มาได้แล้ว ไม่งั้นเจ้าจะตายเอา!”
หลี่เฉียนมองเสี่ยวหยูที่แสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวนี้ด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความโกรธ กลับกันเขากลับรู้สึกพึงพอใจกับท่าทีนี้ของนางเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะยิ่งนางแสดงให้เห็นถึงความแข็งขันมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เขาอยากที่สืบหาเรื่องราวจากนางมากขึ้นเท่านั้น!
เมื่อหลี่เฉียนและพรรคพวกเริ่มเข้าใกล้เสี่ยวหยูมากขึ้นเรื่อยๆ ความสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนางเอง
ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวตายเพื่อตระกูลเย่แล้วก็จริง แต่นางก็ไม่มั่นใจว่านางจะสามารถทนไม่พูดความลับออกไปได้มากขนาดไหนหากว่านางไม่ได้ตายลงไปในทันที หากคนพวกนี้ตั้งใจจะย่ำยีหัวใจของนางล่ะ?
“หลี่เฉียน เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”
ทันทีทันใด เสียงควบม้าก็ดังขึ้นจากไกลๆตามมาด้วยเสียงที่คุ้นเคยจากทางด้านประตูของวัดร้างแห่งนี้
เย่เย่และม้าของเขาทะยานเหนือพื้นดินเข้ามาภายในวัดโดยไม่ลังเล และเมื่อเขาเห็นหลี่เฉียนและคนอื่นๆ เขาก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปหมายจะฆ่าทิ้งให้หมด
สีหน้าของเย่เย่นั้นโกรธเกรี้ยวจนเหมือนปีศาจร้าย และดวงตาเองก็เต็มไปด้วยความโกรธที่ยากเกินกว่าจะควบคุม ดาบเหล็กดำในมือส่องประกายแสงราวกับมันกำลังขู่เอาชีวิตอีกฝ่ายอยู่เรื่อยๆยามที่เข้าใกล้หลี่เฉียนเช่นนี้
“ไม่ดีแล้ว!”
ทันทีที่หลี่เฉียนหันไปมอง เขาก็พบว่าเย่เย่นั้นตั้งใจจะฆ่าเขาจริงๆแน่ๆ ดังนั้นแล้วเขาจึงเรียกให้เหล่าจ้าววรยุทธ์ที่มาด้วยพากันหลบอย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่หลี่เฉียนเป็นจ้าววรยุทธ์ขั้นสูงจากอารามจ้าววรยุทธ์ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ขึ้นเป็นเทพยุทธ์แต่การตอบสนองของเขาก็ไวกว่าพวกจ้าววรยุทธ์ระดับสูงคนอื่นๆซะอีก ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เขาสามารถถอยหลังหลบการโจมตีของเย่เย่ได้ทัน ทว่าจ้าววรยุทธ์ผู้ที่ซึ่งเป็นลูกน้องของเขาอีก 3 คนนั้นเป็นเพียงจ้าววรยุทธ์ระดับทั่วๆไป ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพวกเขาจะตอบสนองช้า
“อั่ก—-!”
“จ-เจ้า?!”
“หยุดนะ!”
เพราะการตอบสนองที่ช้าเกินไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัวอีกทีคมดาบของเย่เย่ก็เฉือนลึกจนถึงกระดูกทั้งแขนและไหล่แล้ว และถ้าหากพวกเขายังไม่เคลื่อนถอยออกด้วยความกลัวล่ะก็ บางทีก็ถึงขั้นเสียแขนเสียขากันเลยทีเดียว