บทที่ 24
หอการค้าตงหยวน
“ยังคิดจะหนีอยู่อีกงั้นเหรอ?”
เย่เย่ถอนหายใจอย่างเยือกเย็น เขานั้นไม่พอใจกับผลลัพธ์เมื่อครู่อยู่มากเลยทีเดียว เพราะงั้นเขาจึงรีบไล่ตามต่อทันทีเมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นยังไม่ตาย
แววตาของเขาดูดุร้ายพร้อมกับมุ่งมั่นด้วยความอยากจะฆ่าคนเหล่านี้อยู่เต็มอกโดยไม่มีความเกรงกลัวฝ่ายตรงข้ามที่เป็นถึงศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ด้วย
หลี่เฉียนเองก็ยังตกใจที่ได้เห็นเย่เย่ดุร้ายได้ขนาดนี้ แต่กระนั้นแล้วจ้าววรยุทธ์ที่ตกเป็นเหยื่อการโจมตีของเย่เย่เหล่านี้ล้วนแต่ทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น หากคนเหล่านี้ถูกเย่เย่ฆ่าตายล่ะก็ เรื่องมันต้องโยงมาถึงเขาแน่ๆ ดังนั้นแล้วเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่ทำให้ตำแหน่งของเขาสั่นคลอนขึ้นมาแน่ๆ
“เย่เย่! เจ้ากล้าดีเช่นไรถึงมาหาเรื่องกับน้องๆของข้า? เห็นทีวันนี้แหละข้าจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าไม่มีวันลืมลงเสียแล้ว!”
เพราะตั้งแต่ที่ผ่านการทดสอบเข้าอารามจ้าววรยุทธ์มานั้น เขาก็ยังไม่เคยเห็นเย่เย่เปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมาเสียที ดังนั้นเขาจึงคิดว่าความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับพวกเขาซักเท่าไหร่ มัวแต่ลุ่มหลงในพลังของอาวุธโดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร ดังนั้นก็ต้องพบกับความสิ้นหวังดูเสียบ้าง!
อย่างไรก็ตาม อาวุธทั่วไปนั้นสามารถบ่งบอกความแข็งแกร่งของผู้ใช้ได้ และหลี่เฉียนเองก็มองว่าดาบยาวของเย่เย่นั้นก็เป็นเพียงอาวุธธรรมดาชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถเทียบอะไรกับเขาได้เลย
“ฮึ่ม! พวกเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่าลักพาตัวสาวใช้ของข้ามาก่อนน่ะ! การมาทำไขสือไม่รู้เรื่องเช่นนี้ไม่รู้สึกละอายใจตัวเองบ้างหรือไร?”
วินาทีนี้เย่เย่ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เขายกดาบขึ้นและไล่ฟันลงไปที่หลี่เฉียนอีกครั้งอย่างไม่รีรอ
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะยังไม่ได้บรรลุถึงจุดสุดยอดในระดับจ้าววรยุทธ์ก็จริง แต่เขาก็มั่นใจมากๆว่าเขาจะสามารถเอาชนะ หลี่เฉียนด้วยพลังของดาบเหล็กดำและเกราะที่สวมใส่อยู่นี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีชุดต่อสู้กับผ้าคลุมล่องหนอีก นี่ยังไม่นับเกล็ดจากการกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่พอจะป้องกันการโจมตีในระดับหนึ่งได้นั่นด้วย ดังนั้นแล้วจึงถือว่าความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นมีมากกว่าเหล่าจ้าววรยุทธ์ที่เพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นได้ไม่นานอยู่มากโขเลย เช่นนั้นแล้วทำไมเขายังต้องมากังวลกับพวกจ้าววรยุทธ์ธรรมดาๆพวกนี้ด้วยเล่า?
*ฉั้วะ!*
หลี่เฉียนยกมือขึ้นรับคมดาบของเย่เย่ด้วยความหยิ่งผยอง และเพราะความหยิ่งผยองนั้นมันเลยทำให้เขาใช้มือเปล่ารับคมดาบเต็มๆ และด้วยความคมของดาบที่ฟันเข้ามือเปล่านั้นไปเต็มๆ ทำให้มือของหลี่เฉียนนั้นเกิดเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่รุนแรง
“อ๊ากกกกกก!”
เสียงร้องของหลี่เฉียนดังขึ้นก่อนที่เขาจะรีบถอยออกไปเพื่อทิ้งระยะห่าง แววตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความตกใจสุดๆขณะที่มองไปยังดาบเหล็กดำ.ของเย่เย่
“จะไปไหนเล่า!”
เมื่อเห็นว่าโอกาสมาถึงมือเขาแล้ว เย่เย่ก็ไม่รอช้าที่จะยกดาบขึ้นแล้วไล่ตามหลี่เฉียนต่อทันทีราวกับยมทูตที่ไล่คร่าชีวิตของหลี่เฉียนอยู่
“เย่เย่! อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่มีอาวุธวิเศษนะ! ข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าความห่างชั้นระหว่างเจ้าและข้าน่ะมันเป็นเช่นไร!”
ขณะที่กำลังโดนเย่เย่ไล่อยู่นั้น หลี่เฉียนก็หยิบเอาถุงมือไหมมรกตออกมาคู่หนึ่งและสวมมันลงไป จากนั้นเขาก็หันหน้าเข้าปะทะเย่เย่อย่างไม่เกรงกลัว
*เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!*
ทั้งถุงมือไหมมรกตและดาบเหล็กดำนั้นปะทะกันรุนแรงอยู่หลายครั้ง และทุกๆครั้งมันก็จะเกิดสะเก็ดไฟออกมาเป็นระยะด้วย
เย่เย่ยังคงดูสงบนิ่งโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีใดๆทั้งสิ้น เขาและหลี่เฉียนนั้นยังคงไล่ล่ากันอยู่อย่างไม่มีใครยอมใครเสียที
ในฐานะที่หลี่เฉียนนั้นเป็นศิษย์ระดับสูงของอารามจ้าววรยุทธ์ รวมถึงเป็นศิษย์ของปรมาจารย์สูงสุดแห่งอารามจ้าววรยุทธ์อีกด้วย นั่นจึงทำให้การถือครองอาวุธวิเศษสักชิ้นหรือ 2 ชิ้นนั้นเป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเย่เย่ก็ยังมั่นใจว่าเขาสามารถจัดการหลี่เฉียนได้ ไม่เว้นแม้แต่การที่จ้าววรยุทธ์อีก 3 คนจะเข้ามารุมที่เขาพร้อมๆกันก็ไม่ได้ทำให้ความมั่นใจนั้นถดถอยลงไปแต่อย่างใด
“นายน้อยเจ้าคะ!”
ทางฝั่งของเสี่ยวหยูที่เห็นเย่เย่ปรากฏตัวขึ้นมาและไล่ล่าหลี่เฉียนอย่างไร้ความปรานีเพราะนางถูกจับตัวมา ดวงตาคู่สวยนั้นก็เริ่มจะชื้นขึ้นมาอีกครั้ง
นางน่ะค่อนข้างมั่นใจเลยว่าเย่เย่คงจะไม่มาช่วยนางแน่ๆจากท่าทีของเย่เย่ที่ปฏิบัติต่อนางในช่วงที่ผ่านมานี้ ซึ่งนางเองไม่รู้เลยว่าเย่เย่นั้นกำลังรู้สึกผิดกับการกระทำที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดีขนาดไหน เขาพยายามจะชดเชยสิ่งนี้มาตลอดแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจนกระทั่งวันนี้มาถึง
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะไม่ใช่พวกเจ้าสำราญดังเมื่อก่อนแล้ว แต่เขาก็ค่อยๆคุ้นเคยกับเสี่ยวหยูรวมไปถึงค่อยๆยอมรับถึงการมีตัวตนของนางมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยังยอมรับว่านางเป็นผู้หญิงของเขาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นยามที่เย่เย่ได้ยินว่าเสี่ยวหยูถูกลักพาตัวไป เขาจึงไม่ลังเลที่จะมาช่วยนางอันเป็นของเขาด้วยตัวคนเดียวและมอบบทเรียนที่สาสมแก่หลี่เฉียนและพรรคพวกเช่นนี้
*เคร้ง!*
ในขณะที่เสี่ยวหยูกำลังร้องไห้อยู่นั้นเอง ดาบของเย่เย่ก็ทลายการป้องกันของหลี่เฉียนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในตอนนี้ปลายดาบนั้นเตรียมจะเข้าปะทะกับลำคอของ หลี่เฉียนต่อในทันที
แรงลมจากดาบที่กำลังเคลื่อนไหวนั้นมันกรรโชก เกรี้ยวกราด และก่อนที่ปลายดาบจะสัมผัสกับลำคอของหลี่เฉียน ความกลัวตายมันก็พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
หลี่เฉียนตระหนักได้แล้วว่าเย่เย่นั้นไม่เหมือนกับจ้าววรยุทธ์หน้าใหม่ทั่วๆไป ความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นเข้าใกล้เหล่าจ้าววรยุทธ์ระดับสูงมากๆ นอกจากนั้นแล้วดาบเหล็กดำของเย่เย่เองก็ถือเป็นอาวุธวิเศษระดับสูงอีกด้วย ดังนั้นแล้วหลี่เฉียนน่ะ ไม่มีทางที่จะเอาชนะเย่เย่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ศิษย์พี่หลี่เฉียน!”
“หยุดนะ!”
“ไอ้เด็กนี่ ชักจะกล้ามากไปแล้ว!”
จ้าววรยุทธ์ทั้ง 3 ที่ใกล้เข้ามานั้นตะโกนร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นดังนั้น ทว่าเย่เย่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดซะทีเดียว ดาบเหล็กนิลนั้นยังเคลื่อนที่เข้าใกล้ลำคอของหลี่เฉียนอยู่เรื่อยๆ
“ม-ไม่นะ!”
ในตอนนั้นเอง หลี่เฉียนระเบิดพลังเฮือกสุดท้ายออกมาเพื่อเร่งความเร็วให้ร่างกายของตนเอง และด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาชั่วขณะนั้นก็ทำให้ร่างของเขาขยับหลบไปด้านข้างไปทันที
*ฉั้วะ!*
แม้ว่าปลายดาบเหล็กดำนั้นจะพลาดจากจุดตายของ หลี่เฉียนไป แต่กระนั้นมันก็ยังทำรอยแผลเล็กๆไว้ที่ไหล่ซ้ายของเขาไว้อยู่ดีซึ่งความลึกของแผลนั้นก็มากพอที่จะทำให้เลือดมันพุ่งออกมาอีก
“เจ้าอาจจะหนีความตายครั้งนี้ไปได้ แต่ข้าจะให้เรื่องนี้มันเป็นตราบาปของเจ้าไปตลอดชีวิตเลย!”
เย่เย่ใช้โอกาสที่หลี่เฉียนกำลังตกใจกลัวนี้ตบหน้าดาบเข้าที่แก้มของหลี่เฉียนรุนแรง
*ผั้วะ!*
ร่างของหลี่เฉียนกระเด็นลอยออกไปนอกอย่างรุนแรงจากการโดนตบนั้นจมลงไปนอนกองอยู่ที่พงหญ้าด้านนอกแทน
จ้าววรยุทธ์ที่มากับเขาด้วยทั้ง 3 คนนั้นไม่รอช้าที่จะเข้าไปช่วยประคองหลี่เฉียนขึ้นมา แต่กระนั้นแววตาที่พวกเขามอง เย่เย่นั้นก็เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ลึกๆด้วย พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าโจมตีเย่เย่อีกครั้งแล้ว
“ไสหัวไปให้หมด! แล้วอย่าให้ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าอีก!”
ไม่ว่าเย่เย่จะอยากฆ่าคนพวกนี้มากขนาดไหน แต่พวกเขาก็ยังเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์รวมไปถึงหลี่เฉียนที่เป็นถึงศิษย์ระดับสูงด้วย ถ้าหากเย่เย่ลงมือฆ่าพวกเขาไป มันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาก็ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คงมีแค่สั่งสอนเท่านั้น
หลี่เฉียนมองเย่เย่ด้วยความเกลียดชัง ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความอาฆาตแค้นออกมา ไม่นานนักต่อจากนั้น หลี่เฉียนและพรรคพวกก็รีบหนีหายไปจากสายตาของเย่เย่
“นายน้อย!”
หลังจากที่เย่เย่แก้มัดให้เสี่ยวหยูแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะถลาตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเย่เย่พร้อมทั้งร้องไห้เสียงดังราวกับเป็นเด็ก
“ไม่เป็นไร เจ้าปลอดภัยแล้ว เรากลับบ้านกันนะ”
เวลานี้เย่เย่ไม่สามารถรักษาไว้ซึ่งความนิ่งสงบได้แล้ว เขาโอบกอดเสี่ยวหยูเอาไว้พร้อมกับลูบผมนางเบาๆเพื่อเป็นการปลอบ
กระนั้นแล้วยิ่งเสี่ยวหยูได้ยินเย่เย่พูดดังนั้นนางก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีกราวกับว่าความเศร้าโศกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจมาพักใหญ่อันเนื่องมาจากเย่เย่ปฏิบัติต่อนางเหมือนคนอื่นคนไกลนั้นมันได้ถูกคลี่คลายลงไปแล้ว เหวลึกที่นางจมดิ่งลงมานั้น ในตอนนี้กลับกลายเป็นเย่เย่ที่ลงไปคว้าตัวนางออกมาจากเหวไร้ก้นนี่และพานางกลับสู่สรวงสวรรค์อีกครั้ง นี่มันถือเป็นความสุขที่เปี่ยมล้นสำหรับเสี่ยวหยูมากๆ
เย่เย่เข้าใจถึงความเจ็บปวดภายในใจของเสี่ยวหยูดี ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อจนกระทั่งเสี่ยวหยูร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปเองภายใต้อ้อมกอดของเย่เย่ เขาค่อยๆพานางขึ้นไปบนหลังม้าก่อนจะควบม้าช้าๆและกลับไปยังบ้านตระกูลเย่อย่างนุ่มนวลที่สุด
เช้าวันต่อมา เย่เย่อธิบายบางอย่างให้เสี่ยวหยูฟังก่อนจะควบม้าออกจากบ้านตระกูลเย่อีกครั้งและตรงดิ่งไปยังหลิงเฉิงทันที
เสี่ยวหยูออกมาส่งเย่เย่ที่หน้าประตูบ้านใหญ่ นางยืนมองจนกระทั่งเย่เย่หายลับตาไปด้วยความห่วงหาและอวยพรให้สุดที่รักของนางนั้นเดินทางไปกลับด้วยความสวัสดิภาพ
เมื่อคืนนี้หลังจากที่ทั้งสองได้เปิดใจคุยกันแล้ว พวกเขาก็พากันไปยังเตียงนอนโดยไม่ได้พูดอะไรอีก หนุ่มสาวใช้เวลาเกือบจะทั้งคืนไปกับการโอบกอดกันทั้งคืนก่อนที่ต่างฝ่ายจะผล็อยหลับลงไปเอง ในตอนนี้เสี่ยวหยูนั้นมั่นใจในตัวเย่เย่มากกว่าเดิมเสียอีก ทั้งตัวและหัวใจของนางนั้นถูกยกให้กับเย่เย่ไปหมดแล้ว ยามที่เย่เย่ต้องไปหลิงเฉิงในครานี้ มันจึงทำให้เสี่ยวหยูเฝ้าคอยเย่เย่กลับมาราวกับคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆก็มิปาน
ตัวเมืองหลิงเฉิงนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากเฟิงเจิ้นยิ่งนัก ใช้เวลาขี่ม้าราวๆ 1 วันก็มาถึงประตูทางเข้าหลิงเฉิงแล้ว
กำแพงเมืองที่สูงตระหง่านของหลิงเฉิงนั้นราวกับเป็นปราการยักษ์ที่แบ่งเขตเมืองออกจากด้านนอกได้อย่างชัดเจน ราวกับเป็นคนละโลกเลย ยิ่งเย่เย่เข้าใกล้เขตเมืองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแออัดมากขึ้นเท่านั้น
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และสิ่งที่ประจักษ์ตรงหน้านี้มันทำให้เขาดูเหมือนจะต้องทำความเข้าใจโลกใบนี้ใหม่ นั่นเพราะนอกจากกำแพงเมืองจีนในโลกของเขาแล้ว เย่เย่ก็ไม่เคยเห็นกำแพงเมืองที่ใหญ่โตและงดงามเช่นนี้จากที่ไหนมาก่อน
ถ้าหากหลิงเฉิงนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน ฉางหลางนั้น เย่เย่ก็คงจะไม่ตกใจถึงขนาดนี้ ทว่ามันไม่ใช่ หลิงเฉิงนั้นเป็นเพียง 1 ใน 13 เมืองใหญ่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเท่านั้น ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงคิดไม่ออกเลยว่าแบบนี้เมืองหลวงของจักรพรรดิฉางหลางนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน
หลังจากที่เข้าผ่านประตูเมืองมาแล้ว เย่เย่ก็ไม่เถลไถลให้เสียเวลาเปล่า เขารีบตรงไปยังหอการค้าตงหยวนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันทีเพื่อที่จะได้ขายโสมราชาของเขา หอการค้าตงหยวนนั้นไม่ใช่หอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในหลิงเฉิงก็จริง แต่ทีนี่นั้นก็ให้ราคาโสมราชาในระดับที่ดีอยู่ ดังนั้นแล้วเย่เย่น่าจะสามารถต่อรองกับที่แห่งนี้ได้
หากเย่เย่นั้นเลือกหอการค้าแห่งอื่นที่ใหญ่กว่านี้ใน หลิงเฉิงล่ะก็ บางทีพวกคนดูแลหอการค้านั้นอาจจะขี้เกียจที่จะมาตั้งราคากับเขาที่มาคนเดียวก็ได้ ซึ่งนั่นจะทำให้ราคาของโสมราชาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นเหมือนกับขายให้แก่ร้านเล็กๆเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว ด้วยจุดประสงค์ที่แน่วแน่ของเย่เย่นั้น ทำให้หลังจากที่เขาเข้าไปยังหอการค้าตงหลิงได้แล้ว เขาก็ตรงไปยังส่วนต้อนรับของหอการค้าแห่งนี้เพื่อติดต่อขอพบกับนายใหญ่ของที่นี่ทันที
“ขอโทษเจ้าคะ นายหญิงของพวกเรานั้นยุ่งมากๆเลยไม่มีเวลามาพบกับแขกทุกคนที่มาหา ดังนั้นถ้าท่านมีอะไรที่ทางเราพอจะช่วยได้ ได้โปรดบอกข้ามาได้เลยเจ้าคะ!”
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลส่วนประชาสัมพันธ์ของหอการค้าตงหยวนแห่งนี้เข้าใจว่าเย่เย่เองก็เป็นพวกลูกคนรวยที่อยากจะมาพบนายหญิงผู้เลอโฉมที่ซึ่งเป็นผู้ดูแลหอการค้าแห่งนี้ ดังนั้นแล้วนางจึงปฏิเสธเย่เย่ตั้งแต่เนิ่นๆรวมถึงแสดงท่าทีเย็นชาใส่อีกด้วย
ทางด้านเย่เย่นั้นไม่ได้ยอมแพ้ในทันที เขารีบพูดต่อ “ข้ามีโสมราชาแก่มาขาย เจ้าพอจะจัดการให้ข้าได้หรือเปล่า?”
สีหน้าของเจ้าหน้าที่คนนี้เปลี่ยนไปในทันที และยิ่งนางเห็นว่าเย่เย่ไม่ได้โกหก นางก็รีบโค้งเพื่อขอโทษเย่เย่ในทันที “ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นแล้วเดี๋ยวข้าจะรีบติดต่อนายหญิงให้ในทันทีเลย ช่วยรอสักครู่นะเจ้าคะ นายน้อย!”
เย่เย่ถูกพาตัวไปรอในห้องรับรองที่อยู่บริเวณชั้น 1 ของหอการค้าแห่งนี้เพียงครู่หนึ่งก่อนที่เสวี่ยหยู ผู้เป็นประธานของหอการค้าตงหยวนแห่งนี้ก็เข้ามาพบเขาภายในห้องนั้นด้วยตัวนางเอง
เสวี่ยหยูนั้นถือเป็นหญิงสาวที่สวยมากๆ นางสวยชุดกี่เพ้าสีแดงยาวสลวยให้ความรู้สึกร้อนรุ่มทุกครั้งที่ได้เหลียวมอง
ทันทีที่นางมองไปยังเย่เย่ นางก็เอ่ยขึ้นด้วยความสุภาพ “ท่านคงเป็น นายท่านเย่เย่สินะคะ? ข้ามีนามว่า เสวี่ยหยู เป็นผู้ปกครองหอการค้าตงหยวนแห่งนี้ ถ้าอย่างไรข้าจะขอเชิญให้ท่านมากับเราทางนี้ด้วยเจ้าค่ะ นายน้อย”
ด้วยคำเชิญนั้น เย่เย่เดินตามเสวี่ยหยูไปยังห้องที่ดูหรูหราซึ่งอยู่ที่ชั้น 2 อย่างว่าง่ายก่อนที่จะหยิบเอาโสมราชาออกมาเมื่ออยู่ในห้องแล้ว
เมื่อเสวี่ยหยูได้เห็นโสมราชานั้นและพบว่ามันมีอายุจริงๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขออกมา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วนางก็ยังคงให้ ผู้ที่ทำหน้าที่ในการประเมินสินค้าส่วนตัวที่อยู่ด้านหลังนั้นมาตรวจสอบให้ละเอียดถึงโสมราชาต้นนี้อยู่ดี
“นายหญิงขอรับ นี่เป็นโสมราชาที่มีอายุแล้วจริงๆขอรับ เป็นโสมราชาที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจนแทบจะไม่มีส่วนไหนเสียหายเลยขอรับ!”
หลังจากที่นักประเมินสภาพทำการประเมินเรียบร้อยและให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เสวี่ยหยูแล้ว เขาคนนั้นก็ปลีกตัวออกจากห้องที่หรูหรานี้ไปแล้วปล่อยให้เย่เย่และเสวี่ยหยูอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
“ท่านหญิงเสวี่ย ไหนๆท่านก็ได้ตรวจสอบเจ้าสิ่งนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเรามาว่ากันเรื่องราคาต่อเลยเป็นอย่างไร?”
เย่เย่นั้นไม่ต้องการที่จะเสียเวลากับที่นี่นานไปกว่านี้ หลังจากที่เขาเก็บโสมราชานี้มาไว้กับตัวเอง เขาก็มองไปยังเสวี่ยหยูที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา
เสวี่ยหยูนั้นไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะพูดตรงๆเช่นนี้ มันดูเหมือนเขานั้นอดไม่ได้แล้วที่จะรีบออกไปเร็วๆ ความรู้สึกบางอย่างมันก่อตัวขึ้นภายในใจของนาง ตามปกติแล้วเหล่าชายหนุ่มที่เข้าหานางนั้นมักจะสุภาพเข้าใส่และพยายามจะทำให้นางถูกใจกันทั้งนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกเลยที่นางเจอผู้ชายเช่นเย่เย่