บทที่ 3
แผนสร้างเงิน
“ตั๋วพันเหรียญทอง!”
เย่เย่เกือบจะพ่นเลือดออกมาแล้ว เหรียญทอง 1,000 เหรียญที่หายไปนั้นไม่ได้ทำให้เขาหลุดออกจากความยากจนเลย
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องเงินๆทองๆเลย สำหรับคนปกติน่ะ 10 เหรียญทองก็ใช้ได้กันเป็นปีแล้ว!
แล้วนี่ระดับพันเหรียญทอง แน่นอนว่าถ้าให้คนอื่นล่ะก็ มันสามารถทำให้อีกหลายครอบครัวมีชีวิตอยู่ได้ตลอดทั้งปีเลยล่ะ เย่เทียนช่างใจกว้างจริงๆที่ยอมให้เหรียญทองแก่เขาขนาดนี้ มั่นใจในตัวเขามากๆเลยสินะ
เพราะดูจากท่าทีแล้ว ต่อให้เป็นเย่เทียนเองก็คงจะไม่ยอมใช้เงินพันเหรียญทองนี้ง่ายๆแน่ๆ
ทว่า หลังจากที่แลกเปลี่ยนด้วยฟังก์ชันรีไซเคิลแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยโดนปิดไว้ก็กลับมาแสดงให้เห็นอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงหมวดยานั่นด้วย
“ฮ่ะ ฮ่า! เปิดจริงๆด้วยแฮะ”
เมื่อเห็นว่าหมวดยาเปิดดังเดิม เย่เย่ก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปด้วยด้านในด้วยความตื่นเต้นทันที นั่นเพราะเขานั้นมีความคิดที่จะสร้างเม็ดเงินในหัวอยู่อย่างชัดเจน เขาตั้งใจจะหาซื้อยาราคาถูกจากนั้นก็เอามันไปประมูลซะเลย!
ครั้งนี้ที่เปิดเข้าไปในหมวดหมู่ยา เขาก็พบยาอยู่ 2 อย่าง
อันดับแรกคือพวกยาปลุกจิตวิญญาณ ที่ราคาสูงถึง 998 เหรียญจักรวาล ซึ่งแพงหูฉีกแบบสุดๆ การจะซื้อยานั้นได้ เขาจำเป็นต้องใช้เหรียญทองถึง 100,000 เหรียญเลย แน่นอนว่าด้วยเหรียญทองขนาดนั้น แม้คลังขอตระกูลเย่จะมีพอ แต่มีพอนั่นไม่ได้หมายถึงมีเหลือ หากเอาไปใช้ทีก็คือหมดเลย
อันดับที่สอง
‘ชื่อ : ยาโคตรแกร่ง!
ราคา : 1 เหรียญจักรวาล/ 100 เม็ด
ฟังก์ชัน : หลังจากที่กินเข้าไปแล้ว พละกำลังจะเพิ่มขึ้นสูงมากๆ สามารถเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับต้นได้เลย!
ความคิดเห็น : ถึงแม้ว่ายานี่จะกินแล้วดี แต่อย่ากินเยอะเชียว ไม่งั้นได้เจ็บปวดเจียนตายแน่!’
หลังจากที่อ่านคำแนะนำเกี่ยวกับยาหมดแล้ว เย่เย่ก็เชื่อมั่นมากๆว่ายานี้จะสามารถขายได้ในราคาดี นั่นเพราะพวกนักล่าที่ต้องเข้าไปในภูเขาของเมืองเฟิงเจิ้นแห่งนี้ มักจะต้องประสบปัญหากับความอ่อนแอของตนเองเมื่อเจอกับสัตว์ประหลาดอยู่บ่อยครั้ง หากมันเป็นเพียงสัตว์ป่าทั่วไป มันคงไม่มีปัญหาเช่นนี้ ทว่าสัตว์ป่าเหล่านี้บางตัวมีพลังเทียบเท่าได้กับจ้าววรยุทธ์เลย
หากวันใดแจ็คพอร์ตแตกเจอกับสัตว์ประหลาดระดับนี้เข้า ต่อให้ไปเป็นหมู่บ้านก็หายไปเป็นหมู่บ้าน
ดังนั้นแล้วเหล่านักล่าและพวกทีมนักฆ่าส่วนมากก็ล้วนจะเรียนวิทยายุทธ์ติดตัวกันเอาไว้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวพวกเขาเอง แต่อย่างไรก็ตาม การเล่าเรียนวรยุทธ์นั้นก็ใช่ว่าจะราคาถูกเสียทีเดียว ยิ่งสูงก็จะยิ่งแพงขึ้นไปอีกมากๆ เช่นนั้นแล้วคนทั่วไปจะสามารถเอื้อมถึงได้อย่างไร เมื่อมีเหรียญทองในมือเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญกับเหรียญเงินอีกนิดๆหน่อยๆ?
“ยานี่ไม่เลวเลยแฮะ! 1 เหรียญจักรวาลสามารถซื้อได้ 100 เม็ด แบบนี้เอาไปขายต่อซัก 10 เท่าของราคาทุน มองยังไงก็คุ้มทุนสุดๆ!”
เย่เย่เริ่มจะคิดหาวิธีทำเงินจากยาอันทรงพลังเหล่านี้ได้แล้ว แต่ปลายทางของเขานั้นไม่ใช่การเอาไปขายตามแผงลอยข้างถนนหรอกนะ เขาน่ะตั้งใจจะเอายาทั้ง 100 เม็ดนั่นไปยังหอการค้าชิงเฟิงต่างหาก
หอการค้าชิงเฟิง ที่ว่านั้นก็คือร้านค้าและศูนย์การประมูลขนาดใหญ่ที่สุดภายในเมืองนี้
ปรากฏหลักฐานการก่อตั้งมาร่วม 100 ปีมาแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงที่แห่งนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ภายในนั้นมีสินค้ามากมายไม่ว่าจะเป็นยา สิ่งของ รวมไปถึงอาวุธถูกวางจำหน่ายให้ผู้คนได้เข้าไปจับจ่ายซื้อขาย ส่วนในด้านของการประมูล ทุกๆ 3 เดือนก็จะมีการประมูลเล็กๆจัดขึ้นทีหนึ่ง ส่วนการประมูลระดับกลางจะจัดขึ้นทุกปีและการประมูลระดับใหญ่อันมีชื่อเสียงโด่งดังจะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี
“ได้เวลาทำเงินทำทองแล้ว!”
เมื่อทุกอย่างพร้อม เย่เย่ก็เข้าไปยังหอการค้าชิงเฟิง อาคารโบราณที่มีทั้งความงดงามและกลิ่นอายของความเก่าแก่นั้นตั้งตระหง่านอยู่เช่นนี้มานับร้อยปีแล้ว เพียงแค่ได้ก้าวเข้ามาเขาก็รู้สึกได้ถึงความตื่นตาตื่นใจที่กำลังรออยู่ผ่านผู้คนมากมายที่เข้ามาเดินดูสินค้าในวันนี้ คนยุบยับๆเต็มไปหมดเลย
กิจการของหอการค้าชิงเฟิงนั้นเติบโตได้ดีตลอดมา แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักที่แห่งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะหอการค้าชิงเฟิงนั้นแตกต่างกับร้านค้าทั่วไปอยู่นิดหน่อยนั่นก็คือที่แห่งนี้ไม่เคยแออัด แม้คนจะเยอะก็จริงแต่พวกเขาก็เข้ามาซื้อของแล้วก็จากไปจนทำให้มันมีบรรยากาศน่าเข้ามาเยี่ยมชมและจับจ่ายมากกว่าที่อื่นๆ ไม่น่าแปลกใจหากจะได้รับการตอบรับอย่างดีและนิยมชมชอบมาอย่างช้านาน
และอีกเหตุผลหนึ่งที่เย่เย่เลือกที่จะเอาของของเขามายังหอการค้าชิงเฟิง นั่นก็เพราะหลายปีมานี้เขามักจะได้ยินชื่อนี้อยู่บ่อยครั้ง ทว่าตัวเขาเองยังไม่เคยมาแม้แต่ครั้งเดียว อนึ่งหอการค้าชิงเฟิงเองก็ไม่ใช่ที่ที่ทุกคนจะเข้ามาได้ด้วย ผู้ที่จะเข้ามาต้องมีคุณสมบัติหรือหลักฐานเพื่อมายืนยันว่าตัวของเขานั้นเป็นผู้มีทรัพย์สินมากมายเพียงพอ
“แม่นางเฟิงเซียนซี! ดูนั่นสิ! ไม่คิดเลยว่าแม่นางเฟิงเซียนซีจะปรากฏตัวออกมาพร้อมกับคนพวกนั้นด้วย!”
“นางถือเป็นสตรีเลอค่าอันดับหนึ่งในเมืองของเราเลยนะ ช่างสวยบาดตาบาดใจข้าเสียจริง ถ้าให้ข้าได้จูบแม่นางแล้วล่ะก็ ต่อให้ชีวิตลดลงไป 10 ปีข้าก็ยอม!”
“เจ้านั่นที่ออกมากับแม่นางเฟิงเซียนซีนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ! ขนาดมากับนาง ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งเป็นแน่แท้!”
“เจ้าโง่! ตาบอดหรือไง! คนคนนั้นคือเจ้าตระกูลคนแรกแห่งตระกูลหม่าผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองฝั่งตะวันตกไงเล่า!”
ในตอนนั้น ภายในอาคารที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาแห่งนี้กำลังค่อยๆเกิดความไม่สงบมากขึ้น ผู้คนมากมายต่างพากันยืนขึ้นและมองไปทางเดียวกัน ดูเหมือนว่าจะมีคนสำคัญของสถานที่แห่งนี้กำลังปรากฏตัวอยู่ในทิศนั้น ซึ่งผลการกระทำเหล่านี้ก็ทำให้เย่เย่ต้องไหลตามฝูงชนเพื่อดูด้วยเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นเอง จู่ๆทุกๆคนที่เคยเอะอะโวยวายและอยู่ไม่สุขก็พากันสงบเงียบขึ้นมาราวกับกำลังตกตะลึงกับอะไรบางอย่างอยู่
เบื้องหน้าของพวกเขานั้นปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวที่มาพร้อมกับชุดคลุมสีแดงยาว ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งนั้นมันช่วยทำให้สีแดงที่อยู่บนกายาอันงดงามของนางผู้นี้ช่วยขับความแข็งแกร่งอันพึงมีของสตรีอันดับหนึ่งออกมาได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากเรียวสวยเองยามที่ได้มาประดับอยู่บนใบหน้าอันสละสลวยเช่นนี้ก็ช่วยส่งเสริมให้นางกลายเป็นสตรีที่สูงส่งดุจราชินีผู้อยู่บนยอดหอคอยงาช้างอันยากที่จะเอื้อมถึง
ทว่าเมื่อมองดีๆแล้ว ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพบว่านางคนนั้นไม่ใช่หญิงที่มีอายุมากแล้วแต่อย่างใด หากเป็นเพียงหญิงสาวที่อายุไม่น่าจะเกิน 20 ปีเท่านั้น ทั้งใบหน้าและแววตาของสตรีรูปงามผู้นี้ก็ดูจะอ่อนโยนอยู่ด้วยเช่นกัน แต่มันเป็นรายละเอียดเล็กน้อยชนิดที่ว่าหากไม่เข้ามามองใกล้ๆเหมือนเป็นญาติพี่น้องก็จะไม่เห็นในจุดนี้เลย
“ช่างเป็นสตรีที่แปลกจริงๆ”
เย่เย่เพียงแค่มองเท่านั้นก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาในใจแล้ว แม้นางผู้นี้จะให้ความรู้สึกถึงการปฏิเสธความรักและไม่แยแสผู้ใดตั้งแต่เห็นในระยะพันไมล์ แต่ด้วยแววตาที่ดูอ่อนหวานนั้น มันกลับทำให้ผู้คนที่ได้สบตามองไม่สามารถหลุดพ้นบ่วงสวาทที่ดึงให้หลงไปในเสน่ห์อันอ่อนนุ่มของนางไปได้แม้แต่คนเดียว
แม่นางผู้นี้คือ เฟิงเซียนซี สตรีที่มีความสวยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองนี้ และเป็นความฝันของบุรุษมากมายที่อยากได้เธอมาเป็นคนรัก ซึ่งเย่เย่เองก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนางมาบ้างผ่านบรรดาคนที่อยู่ในตระกูล ต้องยอมรับจริงๆว่าความงดงามของนางผู้นี้เป็นไปดั่งคำร่ำลือเสียจริงๆ
ข้างๆเฟิงเซียนซีเป็นบุรุษวัยกลางคนที่อายุราวๆ 40 ปี ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งและความรู้สึกที่ดูแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัดในระยะ 3 เมตร เย่เย่ก็ต้องตกอยู่ในความรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาทันที
“คนคนนี้! แม้จะไม่ใช่ระดับจ้าววรยุทธ์ แต่ก็ใกล้เคียงแล้ว!”
สีหน้าของเย่เย่เปลี่ยนไปและรีบก้มหัวลงต่ำทันที
นั่นก็เพราะว่าเขานึกออกแล้ว ว่าคนคนนี้คือพ่อของหม่าเฟย ผู้ที่เคยเกือบจะฆ่าเขามาแล้ว!
เหตุผลที่เย่เย่ถูกส่งตัวมายังโลกนี้ก็เพราะว่าหม่าเฟยยั่วยุให้ตัวเขาก่อนหน้านั้นเข้าไปลวนลามหลินหยูฉีจนนางโกรธและซัดเขาหมดสติไป แล้วไม่เพียงเท่านั้น เย่เย่ยังรู้อีกด้วยว่าครั้งนั้นหลินหยูฉีไม่ได้ทำให้เขาเพียงแค่สลบ แต่นางได้ฆ่าเขาไปแล้ว! ไม่งั้นเขาคงจะข้ามมาโลกนี้ไม่ได้
“นังแพศยานี่!”
หลินหยูฉีต้องฆ่าเขาไปแล้วจริงๆตั้งแต่ต้นและใช้วิธีการบางอย่างเพื่อแสร้งทำเหมือนว่าเขานั้นยังสลบอยู่เท่านั้นเพื่อหลอกลวงผู้เป็นพ่อให้ตายใจ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางจึงต้องโกรธขนาดนั้นเมื่อเห็นเย่เย่ปรากฏตัวออกมา ในใจของสตรีผู้นี้กำลังหวาดกลัว หวาดกลัวที่เขายังมีชีวิตอยู่
โชคยังเข้าข้างเขาที่เฟิงเซียนซีและชายวัยกลางคนนั้นไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของเย่เย่ที่เหมือนกุ้งตัวเล็กๆภายในสถานที่แห่งนั้นเลย ทั้งสองเพียงแค่พูดคุยกันนิดหน่อยก่อนจะเดินออกจากพื้นที่ชุกชุมนั่นไปอย่างเรียบง่าย
“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเจ้าค่ะ พวกท่านมีประสงค์สิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือเปล่าเจ้าคะ?” หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานและรอยยิ้มที่แสนจะงดงามอันเป็นผลจากความชำนาญในหน้าที่มาเป็นเวลานาน
เย่เย่มองเธอก่อนจะพูดออกไปอย่างชัดเจน “ข้าเอายาที่ดีที่สุดมาขาย ช่วยป่าวประกาศให้ข้าที”
เรื่องนี้ไม่ต้องพึ่งความสามารถของหญิงสาวตรงหน้าแต่อย่างใด เพราะเพียงแค่เอ่ยแล้วผู้คนละแวกนั้นได้ยิน พวกเขาต่างก็หันมาให้ความสนใจเย่เย่กันหมดแล้ว พร้อมๆกับความสงสัยว่า คนคนนี้คือใคร?
“ดูสิ มีพวกพูดจาโอ้อวดโผล่ขึ้นมาอีกตัวแล้ว นี่เจ้า ถ้าบนโลกนี้มียาวิเศษอะไรนั่นจริงๆ ป่านนี้ข้าไม่ฉีกพสุธามากัดเล่นเป็นอาหารแล้วหรือไร?”
“ใช่ ยาที่ดีที่สุดของเจ้ามันก็แค่ยาลูกกลอนทั่วๆไป เพราะข้าน่ะลองมาหมดแล้ว แล้วถ้ามันให้ผลลัพธ์อย่างที่ว่านั่นจริงๆ ข้าเองก็คงจะกลายเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ไปนานแล้วเช่นกัน”
“พวกขี้โม้อย่างเจ้าไม่มีทางได้เงินจากข้าไปหรอก เพราะยาดีน่ะมันต้องของข้าเว้ย!”
ดูเหมือนว่าสาเหตุที่พวกเขาสนใจกันนั้นคงจะเป็น “ความขี้โม้” นี่เองสินะ
ซึ่งแม้แต่เด็กสาวที่รับหน้าที่ต้อนรับแขกที่เข้ามาเองก็ยังดูจะคิดเหมือนกับคนเหล่านี้ด้วยเลย แต่ก่อนที่นางผู้นี้จะได้พูดอะไร เย่เย่ก็ส่งขวดกระเบื้องหยาบๆใบหนึ่งให้แล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าจะลองเองก็ได้นะ ข้าน่ะรอได้”
ทันทีที่เย่เย่พูดจบ เขาก็หาที่นั่งดีๆแล้วนั่งลงไปอย่างสงบนิ่งท่ามกลางสายลมที่พัดเอื่อยและเสียงผู้คนที่กำลังเยอะเย้ยเขาอยู่
หลังจากที่จิบชาไปแล้วแก้วหนึ่ง ชายสูงวัยผู้หนึ่งก็รีบเดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีกระวนกระวาย แววตาที่มองมายังเย่เย่นั้นเปี่ยมไปด้วยความสนใจอย่างเห็นได้ชัด ชายสูงวัยผู้นั้นเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาและเอ่ยถามเย่เย่ก่อน “ท่านที่เคารพ สะดวกจะคุยกับข้าหน่อยไหมขอรับ? ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนเวลาของเจ้า ช่วยสละเวลานั้นมาคุยกับข้าเสียหน่อยเถิด!”
เย่เย่พยักหน้ารับในทันทีพร้อมกับยืนและพูดกับอีกฝ่ายแผ่วเบา “ด้วยความยินดี”
ชายชราผู้นั้นดูพึงพอใจมากๆขณะที่นำทางเย่เย่ไปเรื่อยๆยังชั้น 2 ของอาคารแห่งนี้
“นั่นเฒ่าซุนนี่!”
“ไอ้เจ้านั่นขายยาอะไรให้เฒ่าซุนน่ะ? ทำไมถึงต้องมาคุยกันถึงตรงนี้?”
“เฒ่าซุนที่ว่า คือชายผู้ที่โด่งดังว่าเข้าใกล้ระดับปรมาจารย์ยาคนนั้นน่ะเหรอ? นี่เจ้านั่นมียาดีจริงๆงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าเฒ่าซุนนั้นคุยกับเย่เย่เป็นการส่วนตัว พวกคนที่เคยสบประหม่าเขาก็ต่างพากันตาโต ความมั่นใจและทระนงตนก่อนหน้านี้มันถูกกระชากให้หายวูบลงไปในทันทีเลย
“โอ๊ะ ข้าจำได้แล้ว! เจ้านั่น ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่มาจากตระกูลเย่เหรอ? ไอ้เจ้าคนไม่ได้เรื่องที่ชื่อว่า เย่เย่ นั่นน่ะ?!”
“ดูเหมือนจะจริงนะ ต้องเป็นไอ้คนไร้ค่านั่นแน่ๆ! นี่ข้านึกว่าหลินหยูฉีฆ่าเจ้านั่นไปแล้ว ทำไมถึงยังปรากฏตัวพร้อมกับยาได้?”
“หรือว่าเจ้านั่นไม่มีเงินที่จะไปซื้อสุรามายกดื่มจนถึงกับขโมยยาประจำตระกูลเย่มาขายกันนะ?”
“เห้ยๆ ถ้างั้นเจ้านี่ก็หัวขโมยน่ะสิ? นี่เอาของที่ขโมยมาขายกันกลางวันแสกๆแบบนี้เลยงั้นเหรอ? ไม่คิดว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแปบ้างหรือไงกัน?”
“คนอย่างเจ้านั่นมันต้องตายสถานเดียว!”
โดนฉีกหน้าได้ไม่นาน คนเหล่านี้ก็กลับมาเหยียดหยามเย่เย่เหมือนดั่งเคยอีกครั้งแล้ว
เย่เย่ที่เดินไปกับเฒ่าซุนนั้นขึ้นไปยังชั้นสองของหอการค้าชิงเฟิงและตรงไปยังห้องที่มีความงดงามห้องหนึ่ง
ยามที่เข้าไปแล้ว ชาและน้ำก็ถูกเสิร์ฟให้เย่เย่ในทันที ขณะที่ได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายที่มีอายุแล้วนั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆที่อยู่ด้านนอก
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ผู้เฒ่าซุนจึงเอ่ยถามก่อน “ท่านเย่ ท่านน่ะ มียาที่ว่าอยู่กี่เม็ดกันงั้นหรือขอรับ? ถ้ายังไงข้าเองก็อยากจะทราบถึงราคาที่ท่านตั้งเอาไว้ในใจด้วย จะได้หรือเปล่า? จะเป็นอย่างไรไหมถ้าข้าจะเสนอ 10 เหรียญทอง?”
ทันใดนั้นเอง เย่เย่ก็ทำตัวลึกลับขึ้นมาทันที เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นแม้ว่าเงิน 10 เหรียญทองที่ว่าจะเป็นสิ่งที่คิดไว้อยู่แล้วก็ตาม แต่ว่านะ สำหรับยาที่สามารถปลุกพลังได้ระดับนี้น่ะ อย่างน้อยๆมันก็ต้อง 100,000 เหรียญทองแล้ว!
ถ้าเกิดว่าเขาขายยานี่ในราคาเม็ดละ 10 เหรียญทอง 100 เม็ดก็จะได้แค่ 1,000 เหรียญทอง ยังห่างไกลกับสิ่งที่ต้องการอีกลิบลับเลย
ครั้นเมื่อเห็นว่าเย่เย่ยังคงเงียบอยู่ สีหน้าของเฒ่าซุนก็เปลี่ยนไป หากมองผิวเผินอาจจะคิดว่าคนคนนี้นั้นเป็นพวกโง่เง่าก็จริง แต่แท้จริงแล้วนั้นไม่ใช่อย่างที่คิด
“เฒ่าซุน เจ้าพอจะรู้ผลลัพธ์หลังจากที่ใช้ยานี่ไปแล้วหรือเปล่า?” เย่เย่ถามลองเชิง
“ใช่แล้วข้ารู้! ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเพียงหมอยาลำดับที่ 2 แต่ข้านั้นก็ต้องคลุกคลีอยู่กับยาเหล่านี้บ่อยครั้ง ยานี่น่ะ หลังจากที่ใช้ไปแล้ว มันจะช่วยเพิ่มพละกำลังให้ข้าสินะขอรับ?” สมแล้วที่เฒ่าซุนได้รับฉายาว่าหมอยาลำดับที่สอง เขาคนนี้รู้ผลลัพธ์ของยาจริงๆด้วย
เย่เย่หัวเราะอีกครั้ง “ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก! ยานี่น่ะไม่ใช่ของปลอมหรอกนะ เพราะหลังจากกินมันเข้าไปแล้ว พละกำลังของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเลย! แล้วก็อีกอย่างหนึ่งนะ เจ้าจะว่าอย่างไรถ้าข้าจะบอกว่ายานี่ไม่ใช่ยาลูกกลอนธรรมดา?”
“ฮี่ๆๆ ยาอายุวัฒนะก็คือยาอายุวัฒนะวันยันค่ำนั่นแหละขอรับ ต่อให้นายน้อยแห่งตระกูลเย่นำมาขายจะดีกว่ายังไง แต่ยังไงผลลัพธ์ก็เป็นดังเดิม มันไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ข้าได้เกิน 2 เท่าหรอก” เหล่าซุนพูดด้วยรอยยิ้ม เป็นเพราะเย่เย่นั้นเป็นบุคคลที่มีสถานะพิเศษสำหรับเขาอยู่ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้าหลอกลวงเย่เย่ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเสนอราคาที่สูงกว่านี้เช่นกัน