บทที่ 32
ทำลาย
“อยากจะทำอะไรก็ตามสะดวก”
อู๋เทียนโบกมือราวกับเรื่องเมื่อครู่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็เรียกให้คนมาพาผู้นำตระกูลทั้งสองออกไป
หลังจากที่หม่าเฉิงและเฉินหนานออกมาจากอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว พวกเขาก็เริ่มจัดการส่งคนไปเพื่อลอบสังหารเย่เย่ทันที การกระทำนี้ถือเป็นความลับ มันคือคลื่นใต้น้ำลูกใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างปั่นป่วนภายใต้ความสงบของเฟิงเจิ้น ณ ตอนนี้
“นายน้อยเจ้าคะ กระบวนท่าเปี่ยมใจที่นายน้อยบอกว่ามันเหมาะกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของข้านั้น มันช่วยให้ข้าสามารถฝึกฝนและพัฒนาวรยุทธ์ของตนเองได้เร็วเสียยิ่งกว่าวิทยายุทธ์ประจำตระกูลเย่อีกนะเจ้าคะ!”
คืนหนึ่งหลังจากที่เย่เย่ได้สกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็ใช้เวลาไปกับการช่วยฝึกสอนวรยุทธ์ต่างๆรวมไปถึงกระบวนท่าเปี่ยมใจให้เสี่ยวหยูด้วย และหลังจากที่นางได้ลองฝึกดูแล้ว นางก็อดที่จะเปรียบเทียบกับการฝึกวรยุทธ์ประจำตระกูลเย่ไม่ได้ ซึ่งระดับความห่างชั้นของมันนั้นเรียกได้ว่าคนละโยชน์กันเลย
“แน่นอน! ให้มันรู้ซะบ้างว่านายน้อยของเจ้าเป็นใคร ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าเลิกฝึกวรยุทธ์ประจำตระกูลแล้วมาฝึกกระบวนท่านี้แทนหรือ?”
เพราะเสี่ยวหยูนั้นถือเป็นข้ารับใช้ที่ใกล้ชิดเย่เย่ที่สุด ดังนั้นนางจึงค่อนข้างจะคุ้นเคยกับการฝึกวรยุทธ์ประจำตระกูลเย่มากที่สุดมาตั้งแต่ก่อนที่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้แล้ว ทว่าหลังจากที่นางสามารถตื่นขึ้นมาเป็นจ้าววรยุทธ์ได้ เย่เย่กลับไม่ให้นางฝึกฝนวรยุทธ์ประจำตระกูลต่อและให้นางฝึกกระบวนท่าเปี่ยมหวังที่เขาเตรียมไว้ให้แทน ซึ่งมันเหมาะกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางมากกว่า
ยามที่เสี่ยวหยูเริ่มใช้กระบวนท่าเปี่ยมใจ มันก็ทำให้ร่างกายของนางนั้นสามารถดูดซับพลังของโลกและสวรรค์รอบตัวได้อย่างรวดเร็วและเพียงไม่นาน วรยุทธ์ในกายของนางนั้นก็เสถียร ครั้นเมื่อกลับไปทดลองฝึกวรยุทธ์ประจำตระกูลเย่แล้ว นางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ผลลัพธ์ของกระบวนท่าเปี่ยมใจนั้นราวกับเวทมนตร์ไม่มีผิด
เย่เย่ไม่ได้อธิบายถึงยาปลุกจิตวิญญาณและกระบวนท่าเปี่ยมใจให้เสี่ยวหยูฟังเมื่อครั้งที่นางถามคำถามไว้ และเสี่ยวหยูก็เหมือนจะรู้ตัวดีว่าไม่ควรถามซอกแซกไปมากกว่านี้ เพราะตลอดเวลาที่เย่เย่มาฝึกและสนใจนาง มันก็ทำให้นางพึงพอใจมากพอแล้ว
ในขณะที่ทั้งสองกำลังช่วยกันฝึกฝนโดยไม่ทันระวังตัวนั้นเอง ค่ายกลเพลิงที่เย่เย่สร้างไว้ในลานของตนเองมันก็เกิดทำงานขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“นายน้อยเจ้าคะ?!”
เสี่ยวหยูหันมองเย่เย่ด้วยความกังวลใจทันที ด้วยสิ่งที่ปรากฏนี้ นางเดาไว้เลยว่าต้องมีคนบุกเข้ามาแน่ๆ
“เจ้าหลบในห้องก่อน แล้วอย่าออกมาล่ะ เดี๋ยวข้าจะจัดการทุกอย่างเอง! ในเมื่อพวกมันกล้าที่จะบุกเข้ามา ก็จะไม่มีใครได้รอดออกไปทั้งนั้น!”
เขาสั่งเสี่ยวหยูไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องที่ให้นางหลบนี้เพื่อเดินไปดูสถานการณ์ที่ลานของเขาเอง
ในตอนนั้นเพลิงสีแดงชาดลุกโชนขึ้นราวกับอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ ความเข้มข้นของกำแพงไฟนั้นหนาแน่นขนาดที่ว่าไม่สามารถสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ภายในเปลวเพลิงได้เลย แต่เพราะเย่เย่นั้นเป็นผู้สร้างค่ายกลเพลิงนี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้อย่างชัดเจน
ภายในค่ายกลดังกล่าว มีชายสูงวัย 1 คนและชายวัยกลางคนอีก 2 คนที่กำลังติดอยู่ในกับดักอันน่าพิศวงนี้อยู่ จริงๆแล้วพื้นที่ภายในค่ายกลนี้ก็ค่อนข้างกว้างขวางอยู่เหมือนกัน ทว่าด้วยความที่มันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ดังนั้นแล้วทั้ง 3 จึงไม่สามารถทำตัวเอ้อระเหยลอยชายได้ สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความหวาดกลัวในขณะที่ค่อยๆเดินมารวมกลุ่มกันช้าๆ
“ค่ายกลมนตรางั้นเหรอ? ทำไมถึงมีสิ่งแบบนี้อยู่ในลานของเย่เย่ได้? มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อนบ้าง?”
ผู้ที่มีอายุเยอะสุดในบรรดาทั้ง 3 คนนั้นแสดงสีหน้าประหลาดใจแบบสุดๆออกมารวมไปถึงดวงตาเองก็แสดงความหวาดกลัวอยู่ลึกๆด้วย
“ดูเหมือนเราจะประเมินเย่เย่ต่ำไปสินะ ถ้างั้นถอยทัพก่อน!”
“ใช่! ขืนอยู่ต่อแบบนี้มีแต่ตายกับตายแน่ๆ!”
ชายวัยกลางคนทั้ง 2 เองก็ตกใจไม่แพ้กัน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะถอยก่อนโดยไม่ลังเล
ชายชราผู้มีอายุมากที่สุดในก๊วนนี้คือ หม่าหยวนจง ผู้ที่เคยถูกร่ำลือมาว่าตายจากโลกนี้ไปเมื่อนานมาแล้ว ถือเป็นเทพยุทธ์ฝีมือฉกาจที่มีชื่อเสียงมากมาย ส่วนอีก 2 คนคือ เฉินหลางและเฉิงชง จ้าววรยุทธ์ระดับสุดยอดของตระกูลเฉิน
หลังจากที่พวกเขาเหล่านี้วางแผนกันดิบดีแล้ว ทั้งสามก็ตัดสินใจลอบเข้ามาในบ้านตระกูลเย่นี้อย่างระมัดระวังจนกระทั่งถึงลานของเย่เย่ ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นมันกลับต้อนรับเขาโดยที่พวกเขายังไม่ทันจะได้ตระหนักรู้ใดๆทั้งสิ้น ความผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็ทำให้เขาตกอยู่ในค่ายกลเพลิงสีชาดของเย่เย่ไปเรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าน่ะ มาจากตระกูลหม่าแล้วก็ตระกูลเฉินงั้นเหรอ? ดีเลย ไหนๆก็มาแล้วอยู่ด้วยกันก่อน อย่าเพิ่งรีบไปไหน”
เย่เย่เดินเข้าไปในค่ายกลเพลิงนั้นด้วยตนเองและปรากฏกายให้ทั้ง 3 เห็นพร้อมๆกัน ในมือของเขานั้นไม่มีอาวุธใดๆอยู่เลยราวกับไม่ได้คิดที่จะสู้กับทั้ง 3 คนนี้แม้แต่นิด
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าชายแก่ตรงหน้านี้คือหม่าหยวนจง แต่เขาก็ยังรู้จักเฉินหลางและเฉินชง 2 จ้าววรยุทธ์ระดับสูงของตระกูลเฉิน ซึ่งการที่ทั้ง 2 มาพร้อมหน้ากันเช่นนี้มันก็ทำเอาเขาประทับใจไม่น้อยเลย
“ไอ้หนู เจ้ากล้ามากที่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเรา! ไม่รู้หรือไงว่าตราบใดที่เจ้าตาย ค่ายกลนี้ก็จะสลายไปด้วย! ดังนั้นแล้วเจ้าในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือพวกข้าหรอก!”
ในตอนแรกหม่าหยวนจงก็ถอดใจแล้ว แต่เมื่อเขาเห็น เย่เย่ปรากฏตัวออกมา ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคึกคะนองและเข้าฟันเย่เย่ด้วยดาบลงไปที่คออย่างรวดเร็ว
“นี่มันหมูในอวยชัดๆ! ไปกันเลย!”
“โอ้! ฆ่ามันตอนนี้แหละ!”
เฉินหลางและเฉินชงเองต่างก็แสดงสีหน้ากระตือรือร้นเช่นกัน พวกเขาบุกเข้าตามหม่าหยวนจงและเข้าโจมตีเย่เย่ไปด้วย
พวกเขาไม่ยอมรับเย่เย่ ไม่สามารถยอมรับได้อย่างเด็ดขาด เพราะในเมื่อตระกูลเย่นั้นหากปล่อยไว้เช่นนี้ก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และการเติบโตของตระกูลเย่ก็จะนำพามาซึ่งความตกต่ำของตระกูลหม่าและตระกูลเฉิน ในฐานะของคู่แข่งทางเศรษฐกิจแล้วนั้นพวกเขาคงจะให้เรื่องนี้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นไม่ได้ ดังนั้นแล้วเมื่อเห็นเย่เย่ประมาท พวกเขาก็จะใช้โอกาสนี้ดับไฟตั้งแต่ต้นลมซะ
ทั้ง 3 นั้นมาพร้อมกับดาบยาวคู่ใจ แต่ไหนแต่ไรยังไงพวกเขาก็ต้องทำให้เย่เย่หายสาบสูญไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นนี่มันคือโอกาสทองแล้ว ด้วยจ้าววรยุทธ์ระดับสูง 2 คนและเทพยุทธ์สูงวัยที่วรยุทธ์อยู่ในระดับสุดยอดแล้วนั้น พวกเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่างานนี้จะจบลงแล้ว
“นี่มีพลังเยอะกว่าที่ข้าคิดอีกนะเนี่ย!”
ต่อหน้ายอดฝีมือทั้งสามคนนี้ เย่เย่เพียงแค่สะบัดมือเบาๆ มันก็ก่อให้เกิดเปลวไฟจากทุกสารทิศถาโถมเข้ามาและรั้งร่างทั้งสามคนไว้
เพลิงที่กำลังลุกไหม้ราวกับเคลื่อนไหวอยู่นั้นบดบังร่างของเย่เย่จนหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนและกลับมาปรากฏตัวอีกทีที่ด้านหลังเฉินหลาง จ้าววรยุทธ์ระดับสูงของตระกูลเฉิน
“ไปห้าวต่อในนรกไป!”
เย่เย่ออกแรงต่อยใส่จุดที่มีชุดเกราะกำบังอยู่ของเฉินหลางไปอย่างเต็มแรง
“อุ่ก?!”
สีหน้าของเฉินหลางนั้นไม่สู้ดีตั้งแต่ต้องเจอกับเพลิงร้อนแรงของค่ายกลนี้แล้ว ยามที่โดนเย่เย่โจมตีเข้ามาอีกมันก็ทำให้เขาสำลักเลือดออกมาจากปากพร้อมกับหน้าซีดลงไปจากเดิมอีกเป็นอย่างมาก
เย่เย่น่ะรู้ดีว่าโจมตีจุดไหนด้วยความแรงขนาดไหนถึงจะทำให้บาดเจ็บสาหัสได้ ซึ่งเฉินหลางก็โดนเย่เย่วิเคราะห์ไว้แล้วว่าถ้าหากโจมตีด้วยแรงอย่างที่กระทำไป มันจะทำให้เขาเหมือนคนพิการไปในทันที
“พี่ใหญ่!”
เมื่อเห็นเฉินหลางบาดเจ็บ เฉิงชงก็เลิกสนใจไฟที่กำลังล้อมตัวเขาไว้และตะโกนก้องออกมาใส่เย่เย่
บนใบหน้าของเย่เย่นั้นมีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏอยู่ จากนั้นร่างของเขาก็หายไปอีกครั้งท่ามกลางไฟที่โหมกระหน่ำขึ้นมาอีก
“น้องรอง หนีไปเร็ว! ถ้าเป็นแบบนี้เราได้ตายกันหมดแน่!”
เฉินหลางพยายามยืนขึ้นมา เขามองไปยังเปลวไฟที่ค่อยๆรัดวงแคบลงมาเรื่อยๆก่อนจะพูดกับเฉินชง ถึงแม้ว่าเขานั้นคงจะไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว แต่เขาก็พยายามตั้งสติเอาไว้เพื่อให้คนอื่นๆสามารถรอดไปได้
ตอนนั้นเอง หม่าชวนตงก็เดินเข้าไปที่ทั้งสอง แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจเช่นกันที่ต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมถึงความทรงพลังของค่ายกลเพลิงสีชาดชิ้นนี้และแม้จะเป็นตัวเขาเองก็ไม่กล้าอยู่นานนัก
“ถ้าอยากจะทลายค่ายกลนี้ทิ้ง หากเรายังฆ่าเย่เย่ไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือโจมตีรวมไปที่จุดเดียวกัน เร็วเข้า ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป!”
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสนั้น หม่าหยวนจงมีประสบการณ์ค่อนข้างมาก เขามองหาจุดที่ไฟมันอ่อนแรงมากที่สุดก่อนที่จะให้เฉิงหลางและเฉิงชงเข้ามาช่วยโจมตี ในทันทีที่พบจุดที่น่าสงสัยทั้งสามก็งัดเอาแรงที่มีทุ่มใส่การโจมตีเพียงครั้งเดียวเพื่อหวังจะทลายค่ายกลเพลิงสีชาดนี้ให้สิ้นไป
“พวกเจ้าจะดูถูกค่ายกลที่ข้าสร้างไปแล้วล่ะมั้ง”
ทันใดนั้นเอง เสียงของเย่เย่ก็ดังขึ้นมาจากทุกทิศทางซึ่งทำให้หม่าหยวนจงถึงกับตกใจสุดๆ
*ฟุ่บ!*
เพลิงสีชาดทั้งหมดหายวู้บไปในคราเดียวเมื่อสิ้นเสียง เย่เย่ แต่แล้วทันใดนั้นมันก็จุดติดขึ้นมาใหม่พร้อมกับความร้อนที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!”
เฉินหลางที่บาดเจ็บหนักอยู่แล้วนั้นเป็นคนแรกที่ไม่สามารถต้านทานไฟที่รุนแรงในรอบนี้ได้ ทั่วทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยไฟก่อนที่ไฟเหล่านั้นจะเผาไหม้เขาจะกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา!
“พี่ใหญ่!!”
เฉินชงตะโกนกู่ร้องด้วยความคับแค้นใจแบบสุดๆ กระนั้นแล้ววรยุทธ์ที่เขามีอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเกินกว่าจะทำให้เขาอยู่ได้นานไปมากกว่านี้ เพราะงั้นเพียงไม่นานหลังจาก เฉินหลางกลายเป็นเถ้า เฉินชงก็กลายเป็นธุลีไปตามๆกัน
ทันทีที่ทั้ง 2 คนตาย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทั้งสองก็ล่องลอยออกมา เย่เย่รีบปรากฏตัวขึ้นทันทีพร้อมกับใช้กระบวนท่ากลืนสวรรค์เพื่อดูดกลืนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่หลุดลอยออกมาเหล่านี้เพื่อไปพัฒนาให้จิตวิญญาณแห่งอสรพิษในกายเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
ถึงแม้ว่าหม่าหยวนจงจะก้าวเข้าสู่ระดับเทพยุทธ์แล้วและสามารถต้านทานไฟนี้ได้ระยะหนึ่งก็จริง แต่ในตอนนี้เขาก็เสียความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเย่เย่ไปแล้วหลังจากที่เห็นสองพี่น้องตระกูลเฉินตายอยู่ในกองไฟเช่นนี้
“เย่เย่ ข้าคือบรรพบุรุษตระกูลหม่า หม่าหยวนจงยังไงล่ะ! พวกเรามีเรื่องต้องคุยกันนะ อย่าสู้กันอีกเลย!”
ในตอนนั้นเอง หม่าหยวนจงได้ปรับคลื่นพลังชีวิตเพื่อให้ต้านทานการโจมตีจากไฟไว้และตะโกนหาเย่เย่ด้วยความร้อนใจ เขาหวังว่าเย่เย่จะเมตตาเขา
“หม่าหยวนจงงั้นเหรอ? ข้าไม่คิดเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่ นี่พวกเขาเก็บเจ้าไว้ในโรงม้าหรืออย่างไร ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าเจ้ายังไม่ตายกันน่ะ?”
เย่เย่เดาไว้แล้วว่ามือสังหารเหล่านี้น่าจะมาจากตระกูลหม่าและตระกูลเฉิน แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าผู้ที่กำลังยืนฝ่าค่ายกลเพลิงของเขานี้จะเป็นหม่าหยวนจงผู้เก่งกาจ
“พูดมาซะ! ในเมื่อเจ้ากล้าที่จะเข้ามาลอบสังหารข้าถึงในบ้าน แสดงว่าต้องมีคนบงการเบื้องหลังเจ้าอยู่สินะ! มันผู้นั้นเป็นใคร!”
จากการที่เขานั้นผ่านการทดสอบของอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว หากไม่ใช่ตระกูลหม่าและตระกูลเฉินต่างกินเหล้าหมดกันไปเป็นหมู่บ้าน ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตากับคนของอารามจ้าววรยุทธ์แม้ในนามเช่นเขาแน่ๆ ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงมั่นใจว่าการลอบสังหารเขาในครั้งนี้ มันต้องได้รับความยินยอมจากผู้อาวุโสแห่งอารามจ้าววรยุทธ์สักคนหนึ่งแล้วแน่ๆ ไม่งั้นพวกนี้คงไม่กล้าทำอะไรถึงขั้นนี้
หม่าหยวนจงนั้นอยู่ในนาทีเป็นนาทีตายแล้ว ชีวิตของเขาเหมือนอยู่บนกำมือของเย่เย่ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะหลอกลวงอะไรอีก มีเพียงแค่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบความจริงออกไป “ผู้อาวุโสอู๋เทียนแห่งอารามจ้าววรยุทธ์! เขารับของกำนัลจากทั้งสองตระกูลของพวกเขาและอนุญาตให้พวกข้ากระทำการลอบสังหารเจ้าได้ โดยที่อารามจ้าววรยุทธ์จะไม่ลงมายุ่งเกี่ยวหากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”
“กะไว้แล้วเชียว เจ้านั่นจริงๆด้วย!”
ประกายแสงแห่งความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในแววตาของ เย่เย่ เขาคาดเดาเรื่องนี้ไว้บางส่วนแล้วเพราะนอกจากอู๋เทียน เย่เย่ก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีใครในอารามจ้าววรยุทธ์อีกบ้างที่จะกล้าอนุมัติเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้
เพราะก่อนหน้านี้เขามีเรื่องกับหลี่เฉียน นั่นก็หมายถึง เย่เย่นั้นอยู่คนละฝั่งกับอู๋เทียนแล้ว เพราะงั้นแล้วพอเจอสองตระกูลนี้เข้าไปขอร้องให้ช่วยจึงไม่ลังเลที่จะช่วยเลยเนื่องจากอยากจะชำระแค้นนี้อยู่แล้ว
“ข้าบอกในสิ่งที่เจ้าต้องการจะรู้แล้ว เพราะงั้นปล่อยข้าไปเถอะ!”
แม้จะเป็นถึงเทพยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง แต่ในครานี้ หม่าหยวนจงก็กำลังคุกเข่าขอร้องต่อหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังกุมชะตาชีวิตเขาไว้อยู่ แม้ในใจจะเศร้าสร้อยถึงเพียงไหนแต่ก็เทียบไม่ได้เลยหากมีชีวิตเป็นเดิมพัน สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้ก็คือ การที่เขามีชีวิตรอดออกไปได้ ส่วนแผนหลังจากนี้ค่อยว่ากันทีหลัง
“ข้าว่าคนเฒ่าคนแก่ก็ควรจะมีชีวิตที่ยืนยาวนั่นแหละ แต่สำหรับคนแก่ที่หลอกชาวบ้านว่าตายมานานแล้ว เพราะงั้นถ้าตายไม่จริงคงจะเสียหมาแย่เลยเนอะ”
เย่เย่ไม่ได้ขยับไปไหนต่อหลังจากที่ได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว นอกจากนั้นเขายังไม่ลังเลที่จะทดสอบพลังที่รุนแรงที่สุดของค่ายกลเพลิงสีชาดนี้ด้วย ซึ่งด้วยกำลังไฟสูงสุดนั้น มันทำให้ร่างของหม่าหยวนจงทลายหายกลายเป็นธุลีได้ไม่ยากนัก
“อ๊ากกกกกกกก!”
เสียงร้องโหยหวนของเขาดังระงมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่กายหยาบนั้นจะไม่เหลืออะไรนอกจากกองเถ้ากองที่สามถัดจากสองกองแรกเท่านั้น แม้จิตสุดท้ายจะกลายเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ล่องลอยไปในอากาศแต่ก็ไม่วายโดนเย่เย่สูบกลืนเข้าไปอยู่ดี เช่นนี้ถือว่าแผนการลอบสังหารของสองตระกูลใหญ่นั้นถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว
วันต่อมา ข่าวที่ตระกูลหม่าและตระกูลเฉินส่งคนไปลอบสังหารเย่เย่นั้นถูกแพร่กระจายไปในเฟิงเจิ้นอย่างลับๆ ในตอนแรกนั้นก็ไม่มีใครเชื่อข่าวนี้ ทว่ายิ่งมีข่าวหลุดออกมาเรื่อยๆมันก็ยิ่งทำให้พวกเขาหันมาเชื่อในตัวเย่เย่และทำให้ชื่อเสียงของเย่เย่นั้นโด่งดังขึ้นมากกว่าเดิมไปอีก
เพราะเขาสามารถจัดการเทพยุทธ์ 1 คนกับจ้าววรยุทธ์ระดับสูงอีก 2 คนได้ด้วยตัวคนเดียว เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่ทำกันได้ง่ายๆในเฟิงเจิ้นนักหรอก หากเป็นคนอื่นอาจจะพอเข้าใจได้ว่าเป็นคนเก่ง แต่สำหรับเย่เย่นั้นไม่ว่ายังไงพวกเขาต่างก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่รู้ว่าเย่เย่ใช้วิธีไหนในการจัดการศัตรูที่แข็งแกร่งระดับนี้ได้ แต่ในตอนนี้ชื่อเสียงของเย่เย่ก็กระจายไปทั่วทั้งเฟิงเจิ้นอย่างจริงๆจังๆแล้ว ไม่ว่าจะตามท้องถนนหรือย่านการค้า ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเย่เย่อีกต่อไป