บทที่ 33
ชื่อเสียงที่โด่งดัง
ถึงแม้ว่าบางคนจะโอ้อวดตนหลังจากที่ได้ยินข่าวเรื่อง เย่เย่นี้เพื่อให้ได้รับความสนใจ บ้างก็ประกาศก้องว่าจะจัดการ เย่เย่ให้ดูเป็นขวัญตา ทำทุกวิถีทางกล่าวเอ่ยเพื่อข่มเหงเย่เย่ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่าชื่อเสียงของเย่เย่นั้นกลายเป็นที่กล่าวขานกันภายในเฟิงเจิ้นแล้วจริงๆ แม้แต่ฉินเฉินตู ผู้นำของอารามจ้าววรยุทธ์เองก็ยังไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดนี้ได้และเริ่มให้ความสนใจในตัวเย่เย่แล้ว
สามวันให้หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารเย่เย่ ฉินเฉินตู ผู้นำสูงสุดแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ได้เรียกผู้อาวุโสอู๋เทียนให้มานั่งฝั่งตรงข้ามเขา ทั้งสองเล่นหมากรุกด้วยกันอยู่กลางโถงห้องหนึ่ง ซึ่งระหว่างนั้นก็พูดคุยเรื่องต่างๆกันไปด้วย
“ก่อนหน้านี้ข้าวุ่นวายกับการฝึกฝนด้วยตัวคนเดียวอยู่นาน จึงจำเป็นต้องปล่อยให้เรื่องต่างๆภายในอารามจ้าววรยุทธ์นี้อยู่ภายในการดูแลของท่านผู้อาวุโส ข้าไม่สามารถปลีกตัวออกมาดูแลได้จริงๆ”
ฉินเฉินตูนั้นเพิ่งจะแยกตัวมาจากลูกชายของตนและมากล่าวคำขอบคุณแก่อู๋เทียน
“ท่านเจ้าเองก็งานหนัก หากสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้นสามารถแบ่งเบาภาระของท่านได้ ข้าก็ยินดี!”
อู๋เทียนรีบโค้งให้ด้วยความเคารพ ท่าทีของเขาที่มีต่อ ฉินเฉินตูนั้นดูจะเคารพอีกฝ่ายในระดับมากเลยทีเดียว
“ท่านผู้อาวุโส อย่าได้ถ่อมตัวนักเลย ข้าจดจำคุณูปการของท่านไว้หมดแล้ว! แต่ว่านะ เรื่องศิษย์ของท่าน หลี่เฉียน ที่เคยไปลักพาตัวสาวใช้ของศิษย์คนอื่นเมื่อนานมากแล้วน่ะ ข้าว่าสิ่งนี้มันค่อนข้างจะข้ามหน้าข้ามตาไปเสียหน่อยนะ ท่านผู้อาวุโสเองคงต้องดูแลศิษย์คนนี้เสียหน่อยแล้วกระมั้ง”
แม้ในตอนแรกฉินเฉินตูจะพูดเอ่ยชมในคุณงามความดีของอู๋เทียน แต่เพียงจังหวะเดียวเขาก็พลิกกลับมายังเรื่องขัดแย้งกันของหลี่เฉียนและเย่เย่ทันที คำพูดของเขานั้นแสดงให้รู้เลยว่าเขาไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดนี้
“อา… ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยขอรับ! ข้าจะลงโทษ หลี่เฉียนให้สาสมเลยหลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว! และข้าจะไม่ให้เขามาทำให้พวกเราขายหน้าอีก!”
จากคำพูดของฉินเฉินตู อู๋เทียนก็รีบโค้งตัวขอโทษขอโพยจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันที่หน้าผากของเขาก็มีเหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมาด้วย
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมฉินเฉินตูถึงอยากจะเล่นหมากรุกกับเขาทันทีขนาดนี้หลังจากที่เพิ่งจะผ่านการฝึกฝนมา เรื่องทั้งหมดในตอนนี้ไม่ใช่เพราะตัวฉินเฉินตูอยากจะเฉลิมฉลองกับความสำเร็จของตนเอง แต่เพื่อจะมาลงโทษเขา!
เมื่อเห็นว่าอู๋เทียนตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ฉินเฉินตูก็หลุดหัวเราะออกมา “ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น ข้าแค่มาย้ำเตือนท่านไว้ก็เท่านั้น แล้วก็ลูกศิษย์ของพวกเราที่ชื่อว่า เย่เย่ น่ะ ดูๆไปแล้วก็หน่วยก้านแข็งแรงดีเหมือนกัน ข้าได้ยินมาว่าเขากำลังเป็นที่โด่งดังในเฟิงเจิ้น เพราะงั้นถึงแม้จะยังไม่ใช่ศิษย์ในอารามของพวกเรา แต่ยังไงก็ควรค่าแก่พวกเราที่จะให้ความสนใจนะ”
“ขอรับ! อู๋เทียนทราบแล้ว แล้วจะรีบใส่ใจคนคนนี้ให้ดีในอนาคตเลยขอรับ!”
ยิ่งฉินเฉินตูยิ่งพูด สีหน้าของอู๋เทียนก็ยิ่งทุกข์ระทมมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่นี้ มันแสดงให้เห็นชัดเลยว่าอีกฝ่ายดูจะรู้แล้วถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเย่เย่
สิ่งที่ฉินเฉินตูวางแผนไว้ตอนนี้ก็คือต้องการให้อู๋เทียนใส่ใจดูแลเย่เย่ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการไกล่เกลี่ยและตักเตือนเขาไปพร้อมๆกัน
ครั้นเมื่ออู๋เทียนเข้าใจถึงสิ่งที่อยากจะสื่อแล้ว ฉินเฉินตูก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเจือจาง “ท่านผู้อาวุโส ได้โปรดนั่งก่อนเถิด พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องมาคอยประคบประหงมเรื่องของหนุ่มๆกันมากเกินไป ตราบใดที่พวกเขายังไม่ทำอะไรเกินหน้าเกินตา ก็ควรปล่อยให้เขาได้จัดการเรื่องที่เกิดขึ้นเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ลูกศิษย์ของพวกเราถูกพวกอื่นมาเข้าโจมตี เมื่อนั้นพวกเราถึงไม่ควรอยู่นิ่ง”
“อู๋เทียนรับทราบแล้วขอรับ! ไม่นานก่อนหน้านี้ ตระกูลหม่าและตระกูลเฉินนั้นได้ร่วมมือกันเพื่อที่จะสังหารเย่เย่ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ถือได้ว่าคนเหล่านี้มองข้ามความยิ่งใหญ่ของอารามจ้าววรยุทธ์ของพวกเราไป ดังนั้นแล้วพวกเขาจำเป็นต้องได้รับบทลงโทษในสิ่งที่เขาก่อเอาไว้!”
อู๋เทียนเข้าใจดีว่า พวกอื่น ในความหมายของฉินเฉินตูนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นเขาจึงรีบประกาศก้องถึงจุดยืนของตนเองและไม่แสดงท่าทีว่าจะปกป้องทั้งสองตระกูลออกมาแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าจุดประสงค์ทั้งหมดที่เรียกอู๋เทียนมานั้นบรรลุหมดแล้ว ฉินเฉินตูก็เริ่มเล่นหมากรุกกับอู๋เทียนต่อไปด้วยรอยยิ้มราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
อีกฟากหนึ่ง ทางฝั่งตระกูลหม่าและตระกูลเฉินนั้นกำลังเผชิญกับพายุรุนแรงจนถึงขั้นหวาดกลัวกันหัวหด
หม่าเฉิงและเฉินหนานรีบกลับไปยังที่พำนักของอู๋เทียนอีกครั้งเพื่อที่จะขอให้อู๋เทียนช่วยปกป้องพวกเขาทั้งสองตระกูล ทว่าในครั้งนี้พวกเขากลับโดนยามหน้าประตูหยุดเอาไว้และไม่ให้พบอู๋เทียนไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
“ท่านผู้อาวุโส ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว มีเพียงท่านผู้อาวุโสเท่านั้นที่ช่วยพวกเราทั้งสองตระกูลได้! ได้โปรด เมตตาพวกข้าด้วย!”
พวกเขาทั้งสองนั้นกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าประตูทางเข้าที่พำนักของอู๋เทียนที่มียามขวางกั้นไว้อยู่อีกทีหนึ่ง สีหน้าของพวกเขาในตอนนี้นั้นต่างเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของความคาดหวังอย่างถึงที่สุดราวกับว่าหากไม่มีใครช่วยพวกเขาก็จะได้ตายอย่างแน่นอน
หลังจากที่ข่าวการลอบสังหารเย่เย่แพร่กระจายออกไป เหล่าศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์หลายต่อหลายคนต่างก็พูดกันว่าต้องการที่จะทำให้ทั้งสองตระกูลนี้เป็นฝ่ายหายไปจากเฟิงเจิ้นแทน ทั้งนี้ก็เพื่อกู้คืนชื่อเสียงของอารามจ้าววรยุทธ์ไปในตัว แน่นอนว่าลำพังพลังของทั้ง 2 ตระกูลนั้นไม่เพียงพอต่อการต้านทานความโกรธเกรี้ยวของศิษย์อารามจ้าววรยุทธ์แน่ๆ ดังนั้นแล้วคนเดียวที่จะช่วยเขาได้ตอนนี้ก็มีแต่อู๋เทียนเท่านั้น
เหล่ายามหน้าประตูนั้นไม่สามารถทนดูทั้งสองหมดสภาพไปมากกว่านี้ได้ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงกลับไปรายงาน อู๋เทียนอีกครั้ง และเมื่อกลับออกมา ยามคนดังกล่าวก็พูดกับหม่าเฟิงและเฉินหนาน “ท่านผู้อาวุโสบอกไว้ว่า คนเดียวที่สามารถช่วยพวกท่านได้ในตอนนี้ มีเพียงเย่เย่เท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าได้เข้ามารบกวนท่านผู้อาวุโสอีก!”
พูดจบทั้งสองก็ถูกยามหน้าประตูของอู๋เทียนพาตัวออกไป
หม่าเฉิงและเฉินหนานต่างมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ในแววตานั้นแสดงออกให้เห็นเพียงความจนปัญญาเท่านั้น
ทั้งๆที่เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะอู๋เทียนยั่วยุแท้ๆ ตอนก่อนที่จะส่งมือสังหารไปจัดการเย่เย่ อู๋เทียนพูดเองว่าให้พวกเขาทำให้เย่เย่หายไปจากโลกนี้ไปเลย ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อลงมือทำไปแล้วจริงๆ อู๋เทียนจะกลับคำอย่างไร้เยื่อใยและปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไม่รับผิดชอบใดๆเลยเช่นนี้
ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆท่าทีของอู๋เทียนถึงเปลี่ยนไป แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกมากนักสำหรับตอนนี้ หากไม่รีบทำให้เย่เย่และตระกูลเย่หายโกรธโดยเร็วแล้วล่ะก็ พวกเขาเกรงกลัวว่าจะไม่มีตระกูลหม่าและตระกูลเฉินอยู่อีกแน่แท้ในอนาคต
ในคืนนั้นเอง หม่าเฟิง เจ้าตระกูลหม่า และ เฉินหนาน เจ้าตระกูลเฉิน ทั้งสองเข้าไปยังบ้านตระกูลเย่ด้วยความสำนึกผิดแบบสุดๆ เย่เทียนเองหลังจากที่ได้ยินข่าวก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับเย่เย่และสมาชิกตระกูลเย่คนอื่นๆ ไม่ว่าแต่เดิมพวกเขาเหล่านี้จะเป็นคนใจดีขนาดไหน แต่ในตอนนี้ท่าทีของพวกเขาทั้งตระกูลต่างมองทั้งตระกูลหม่าและตระกูลเฉินเป็นศัตรูไปหมดแล้ว
หม่าเฉิงรีบก้มหัวต่ำและกล่าวแก่เย่เทียน “ท่านเจ้าตระกูลเย่ พวกเรานั้นผิดไปแล้วที่ทำให้หลานเย่ต้องตกอยู่ในอันตราย วันนี้พวกข้ามาสำนึกผิดและอยากจะขอให้หลานเย่ปล่อยพวกเราทั้งสองตระกูลไป!”
“ได้โปรดใจดีแก่พวกเราด้วยหลานเย่! ตราบใดที่หลานเย่ไม่คิดติดใจเอาความเรื่องนี้ และปล่อยให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าให้สัญญาได้ทุกสิ่งเลย!”
เฉินหนานเองก็ก้มหัวลงต่ำต่อหน้าเย่เย่และร้องเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเช่นกัน พวกเขาในตอนนี้ไม่กล้าแสดงท่าที่สมเป็นศัตรูกับตระกูลเย่เหมือนดั่งที่เป็นมาตลอดทั้งสิ้น
แววตาของเย่เทียนนั้นดูเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก เขานั้นไม่อยากจะใจอ่อนกับคนเหล่านี้แม้แต่นิด นั่นเพราะว่าเย่เย่น่ะถือเป็นความหวังสำหรับตระกูลเย่ที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวันๆ แถมยังถือเป็นผู้ที่ชุบชีวิตตระกูลเย่ขึ้นมาใหม่อีกด้วย คนพวกนี้ถึงกับย่องเบาเข้ามาภายในบ้านตระกูลเย่โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะฆ่า เย่เย่โดยเฉพาะเช่นนี้ แม้ท้ายสุดมันจะไม่สำเร็จ แต่ความจริงที่พวกเขาตั้งใจจะทำอะไรก่อนหน้ามันก็ไม่ได้กลายเป็นความฝันเลย
เย่เทียนคิดไม่ออกจริงๆหากตระกูลเย่ต้องสูญเสียเยเย่ไปจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นแล้วนี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเขาจะแสดงความรังเกียจออกมามากขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องในครั้งนี้จะจบลงแบบไหนก็ให้ขึ้นอยู่กับตัวเย่เย่เอง ตัวเขาจะไม่พูดอะไรมากนักหรอก
“พวกเจ้าบอกว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อขอให้ข้าปล่อยตระกูลของพวกเจ้าไปสินะ?”
แต่เดิมเย่เย่นั้นไม่ได้คิดจะใส่ใจเรื่องของทั้งสองคนนี้อยู่แล้ว เพราะเขาตั้งใจจะรอให้ทั้งคู่ค่อยๆหายไปเองจากการล้างแค้นของอารามจ้าววรยุทธ์ ทว่าหลังได้ยินเฉินหนานพูดออกมา ความคิดเข้าก็เปลี่ยนไปและหันไปถามเฉินหนานและหม่าเฉิงเช่นนี้
“ใช่แล้ว ตราบใดที่หลานเย่ให้อภัยตระกูลหม่าของข้า ต่อให้เจ้าอยากให้ข้า หม่าเฉิง ฆ่าตัวตายตรงนี้เลย ข้าก็ยอม!”
“ข้าเองก็ด้วย ตราบใดที่ที่เจ้าจะไม่เอาเรื่องกับตระกูลเฉินในอนาคต ข้า เฉินหนาน ก็พร้อมที่จะตายเช่นกัน!”
หม่าเฉิงและเฉินหนานนั้นเหมือนเห็นแสงแห่งความหวังค่อยๆเล็ดลอดเข้ามาในจิตใจ มันทำให้พวกเขาตะเกียกตะกายเพื่อที่จะไขว่คว้าแสงนั้นไว้ในขณะที่สีหน้านั้นก็ดูจะกลัวตายแบบสุดๆ
อย่างไรก็ตาม เย่เย่ดูเหมือนจะไม่สนใจในความห้าวหาญของทั้งคู่เลย เขายื่นมือออกไปยังทั้งสองคนก่อนจะพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ “งั้นก็เอาตั๋วเหรียญทองมาคนละ 500,000 แล้วข้าจะจบเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่ ก็รอดูตระกูลพวกเจ้าถูกทำลายด้วยความโกรธแค้นเอาเองละกัน”
ทั้งสองคนต่างตกใจในสิ่งที่เย่เย่พูดกันอย่างมาก ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ชะงักไปและไม่ได้ตอบคำถามไปในทันทีด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่หม่าเฉิงและเฉินหนานที่ตกใจเพราะแม้แต่ เย่เทียนและคนอื่นๆยังตกใจกับสิ่งที่เย่เย่พูดออกมาเลย พวกเขาคิดว่าเย่เย่นั้นกำลังพยายามจะหาเรื่องกับทั้งสองอยู่แน่ๆ ดังนั้นจึงไม่ขัดอะไรและยืนดูไปเงียบๆเช่นนั้น
“หลานเย่ เหรียญทองจำนวนตัว 500,000 เหรียญนั้นไม่ใช่น้อยๆเลยนะ ต่อให้เราต้องล่มสลายก็เถอะ…แถมก่อนหน้านี้พวกเราก็เพิ่งจะรวมเงินก้อนใหญ่กันซื้อของขวัญสุดล้ำค่าให้ผู้อาวุโสแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ด้วย ดังนั้นแล้วพกวเรามีเหรียญทองในคลังกันไม่มากขนาดนั้นหรอก!”
“ใช่ ใช่! หลานเย่ เจ้ามีทางอื่นอีกไหม?”
พวกเขาทั้งสองคนต่างปฏิเสธกันแบบอ้อมๆซึ่งทันทีที่เห็นดังนั้นเย่เย่ก็ดูจะหน่ายกับพวกเขาขึ้นมาทันที โดยไม่ลังเล เย่เย่หันหน้ากลับและเตรียมจะออกจากที่นี่อย่างไม่ใจอ่อน “ถ้าเช่นนั้นก็ไปขอให้โชคช่วยละกัน พวกเจ้าน่ะ”
เห็นดังนั้นเย่เทียนก็เตรียมจะส่งคนให้มาพาตัวทั้ง 2 ออกไป ทว่าหม่าเฉิงและเฉินหนานก็รีบเข้าไปรั้งตัวเย่เย่ไว้วิงวอน “หลานเย่! อย่าเพิ่งไป! ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถนำเหรียญทองขนาดนั้นมาให้ได้ตอนนี้ แต่สัญญาณเลยว่าพวกเราสามารถหาเหรียญทองจำนวน 1 ล้านเหรียญนี่มาให้ได้แน่ๆในอนาคต ข้าแค่อยากให้เจ้าให้เวลาพวกข้าทั้งสองหน่อย ให้โอกาสพวกข้าได้หายใจสักนิดหนึ่ง!“
เมื่อเห็นแล้วว่าพวกเข้าเหล่านี้ไม่ีได้แสร้งจน เย่เย่ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและในท้ายที่สุดก็พูดออกมา “ไม่ ข้าไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น เอาเป็นว่าหากพวกเจ้ายังอยากจะมีชีวิตรอดต่อไป ก็ให้ยกทรัพย์สินเกือบทั้งหมดของที่พวกเจ้าครอบครองอยู่นั้นมาให้อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลเย่ซะ เหลือไว้เพียงธุรกิจเล็กๆน้อยๆเพื่อประทังชีวิตพวกเจ้า นี่ถือเป็นคำขาด ไม่มีน้อยกว่านี้แล้ว ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปรอความตายที่บ้านพวกเจ้า!”
เย่เย่เดินออกไปทันทีหลังพูดจบโดยทิ้งให้หม่าเฟิงและเฉินหนานนั้นทำได้แค่ยอมรับว่าพวกเขาไม่มีโอกาสต่อรองอีกแล้ว
แม้จะไม่อยากทำแบบสุดๆ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่ลงนามในสัญญายกมอบทรัพย์สินมากมายให้แก่เย่เทียน ซึ่งการลงนามในครั้งนี้มันทำให้มูลค่าทางธุรกิจของทั้งสองตระกูลหายไปกว่า 90% เลยทีเดียว
แต่อย่างน้อยๆพวกเขาก็ยังถือว่าโชคดีที่เย่เย่ไม่ได้ฆ่าพวกเขาทิ้ง รวมถึงยังอนุญาตให้ทั้งสองตระกูลเก็บจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งๆไว้ได้อีกด้วย ถึงอย่างนั้น สถานภาพในตอนนี้ของตระกูลหม่าและตระกูลเฉินแห่งเฟิงเจินนั้นก็ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤติแล้ว และพวกเขาไม่มีหน้าที่จะยืนเทียบกับตระกูลเย่ได้แน่ๆ
ดังนั้นแล้วตอนนี้ นอกจาก 1 อาราม 3 สำนักแล้ว ทั่วทั้งเฟิงเจิ้นก็เหลือตระกูลใหญ่เพียง 1 ตระกูลเท่านั้น และนั่นก็คือตระกูลเย่!
ตัวเย่เย่ไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจในเฟิงเจิ้นเสียเท่าไหร่ ส่วนตัวแล้วเขานั้นใส่ใจแค่ความสำเร็จในการบรรลุวรยุทธ์ขั้นต่างๆของตนเองมากกว่า หลังจากที่สกัดพลังจากยาวรยุทธ์เติบใหญ่ครั้งล่าสุดไป พลังของเย่เย่ก็แข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นอย่างมาก กระนั้นแล้วเขาก็ยังห่างไกลจากขั้นสุดยอดของเทพยุทธ์อยู่ดี
หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่และฝึกฝนด้วยตัวเอง เขาเกรงว่าความเร็วในการพัฒนาคงจะได้ลดฮวบลงไปอย่างมากแน่ๆ ซึ่งเย่เย่กังวลใจเรื่องนี้มาก เหตุผลก็เพราะเย่เย่อยากจะเอาเวลาที่ต้องใช้กับการฝึกวรยุทธ์นั้นไปเรียนกระบวนท่าฝ่ามือคลื่นพิโรธมากกว่าซึ่งในตอนนี้เขายังฝึกมันได้ไม่เท่าไหร่เลย
เมื่อวรยุทธ์ของเย่เย่นั้นเสถียรกว่าคราวที่แล้ว เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกลับไปยังหุบเขาหลี่เทียนอีกครั้งเพื่อที่จะใช้ดวงของตัวเองในการตามหาของหายากอย่างยาวิเศษอีกด้วย