บทที่ 38
โถงบังคับใช้กฎหมาย
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของนางนั้นจะสุภาพและถ่อมตัว ทว่าจากก้นบึ้งของจิตใจนั้นกลับสงบนิ่งจนเหล่าชายที่ดูแข็งแกร่งตรงหน้าเองล้วนประหลาดใจอยู่เงียบๆ
ทว่ายังไงเสียพวกเขาเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ พวกเขาจึงกล้าที่จะยืนกร่างหากยังไม่ได้รับเงินอยู่เช่นนี้ เพราะฉะนั้นแล้วมันจึงไม่ง่ายเลยหากจะให้พวกเขาออกไปแต่โดยดี
“นี่เจ้าเถียงพวกข้างั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าถ้าไม่ได้เห็นของจริงซะบ้างเจ้าของไม่รู้สินะว่าพวกข้าน่ะน่าเกรงขามขนาดไหน!”
เมื่อเห็นเสี่ยวหยูยังคงยืนยันที่จะไม่ให้เงินแก่พวกเขา ชายผู้เป็นหัวหน้าก็ขยิบตาให้เหล่าลูกน้องด้านหลัง ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นรับคำสั่งแล้ว พวกเขาก็หันหลังกลับไปยิ่งสิ่งของมากมายบนชั้นและโยนมันลงบนพื้น
*เพล้ง!*
ขวดโหลใส่ยาที่เสี่ยวหยูตั้งใจเลือกมาอย่างดีนั้นถูก เขวี้ยงลงพื้นจนแตกกระจาย และเม็ดยามากมายก็หล่นลงไปบนพื้นจนเปื้อนฝุ่นไปหมด
*เพล้ง!*
พวกเขายังคงไม่หยุดเท่านั้น เพราะหลังจากโยนขวดยาลงบนพื้นแล้ว อีกหลายสิ่งหลายอย่างก็ถูกโยนลงพื้นตามมา แม้แต่ม้วนคัมภีร์ก็ถูกทำลายฉีกขาดซึ่งการฉีกขาดนี้มันก็มีผลต่อการใช้งานด้วย
“เจ้าพวกบ้าเอ๊ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ความโกรธในใจเสี่ยวหยูพุ่งพรวดขึ้นมาโดยที่นางไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป การกระทำของคนเหล่านี้ทำให้นางตัดสินใจไม่หลบซ่อนตัวอีกแล้ว ร่างเล็กของเสี่ยวหยูกระโจนพุ่งเข้าไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
*ผั้วะ! พลั่ก! ผั้วะ! ผั้วะ!*
เสียงของฝ่ามือปะทะกับร่างหนาดังระงมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทุกอย่างก็ตัดภาพมาที่เหล่าชายที่ดูแข็งแกร่งนั้นลงไปนอนกองอยู่กับพื้นแบบหมดสภาพด้วยฝีมือของเสี่ยวหยูโดยที่เสี่ยวหยูนั้นไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวเพราะถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งสวรรค์และพิภพ
“วรยุทธ์ระดับนี้มัน?! จ้าววรยุทธ์!”
ชายผู้เป็นนายใหญ่ของก๊วนนี้สัมผัสได้ถึงพลังแห่งวรยุทธ์ที่เปี่ยมล้นออกมาจากเสี่ยวหยู ซึ่งด้วยพลังนี้เองมันทำให้เขาไม่สามารถกล้ายืนประจันหน้ากับเสี่ยวหยูต่อจนต้องนั่งลงไปกับพื้น
ถึงแม้ว่าภายในหลิงเฉิงนั้นจะมีจ้าววรยุทธ์ที่มีฝีมือแก่กล้าอยู่ก็จริง แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ธรรมดาแล้ว พวกเขาถือเป็นส่วนน้อยมากๆ ดังนั้นแล้ว ในสายตาของผู้ฝึกฝนทั่วๆไป การจะได้เป็นจ้าววรยุทธ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะมีเรื่องกับจ้าววรยุทธ์กัน
คนเหล่านี้ไม่ได้คิดเลยว่าเสี่ยวหยูเองก็จะเป็นจ้าววรยุทธ์ด้วย เพราะจากรูปลักษณ์ที่ดูบอบบางไร้พิษภัยเช่นนี้ ถ้านางไม่แสดงฝีมือออกมา พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าจะโดนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้กำราบเอาได้ง่ายๆเช่นนี้ บางทีคนเหล่านี้อาจจะไม่กล้าแม้แต่จะก่อเรื่องตั้งแต่ที่แรกเลยก็ได้หากรู้ว่าเสี่ยวหยูนั้นเป็นจ้าววรยุทธ์
“ข้าขอโทษ! ขอโทษจริงๆขอรับ! ข้าไม่รู้เลยว่าเด็กสาวตัวเล็กๆแค่นี้จะเป็นจ้าววรยุทธ์ พวกข้ามีตาหามีแววไม่! ข้าผิดไปแล้ว!”
ต่อหน้าจ้าววรยุทธ์เช่นนี้ เหล่าชายร่างใหญ่พวกนี้ไม่กล้าหนีไปไหนทั้งนั้น พวกเขารีบคุกเข่าและขอความเมตตาจากเสี่ยวหยูโดยอัตโนมัติ
เสี่ยวหยูเหลือบมองคนเหล่านี้ด้วยแววตาที่เกรี้ยวกราดเช่นเดียวกับสีหน้า ณ ตอนนี้
นั่นเพราะของแต่ละอย่างที่ถูกทำลายไปนั้น ล้วนแต่ได้มาเพราะเงินที่เย่เย่ให้ไว้ทั้งสิ้น ซึ่งนั่นหมายถึงมันเป็นของส่วนตัวของเย่เย่ แม้จะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดอยู่บ้าง แต่นางจะไม่ยอมให้ใครก็ตามที่คิดขัดขวางแผนการของเย่เย่ลอยนวล ดังนั้นนางจึงใช้ความโกรธจัดการกับคนเหล่านี้ไปด้วยตนเอง
ยามที่เห็นว่าเหล่าชายร่างใหญ่พวกนี้ล้วนหวาดกลัวนางจนหมดแล้ว เสี่ยวหยูก็หมดอารมณ์ที่จะจัดการพวกเขาต่อ ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยผ่านและเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “พวกเจ้าต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดของสิ่งที่ได้ทำลายลงไปมาให้ข้า ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่มีใครหน้าไหนได้ออกจากร้านข้าไปทั้งนั้น! แล้วก็นะ อย่าได้ริอ่านเสนอหน้ามาสร้างปัญหาที่นี่อีกเชียว ไม่งั้นล่ะก็ พวกเจ้าไม่จบแค่นี้แน่!”
“ข-เข้าใจแล้วขอรับ! พวกข้าจะจ่ายให้ทั้งหมดตอนนี้เลย!”
“ท่านสามารถไว้ใจได้เลยว่าพวกข้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว!”
หลังจากที่สิ้นเสียงเสี่ยวหยู ชายที่น่าเกรงขามเหล่านั้นก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดทันที จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็วิ่งออกจากร้านไปโดยไม่หันกลับมามองและไม่กล้าหยุดวิ่งโดยเด็ดขาด
เสี่ยวหยูมองไล่หลังคนเหล่านั้นไปก่อนจะค่อยๆเผยรอยยิ้มน้อยๆขึ้นมาที่ริมฝีปากของนาง ถึงแม้ว่านี่มันจะอยู่เหนือความคาดหมาย แต่นางก็เชื่อว่าชื่อเสียงของร้านนี้คงจะได้แพร่กระจายออกไปหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นแน่ๆ และในเมื่อเป็นแบบนั้น ธุรกิจของเย่เย่จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!
หอการค้าของเย่เย่ที่เสี่ยวหยูจัดการให้นั้นสำเร็จแล้ว รวมถึงสิ่งพื้นฐานที่ต้องทำอย่างลงนามในชื่อเย่เย่ เสี่ยวหยูก็ทำให้แล้วเช่นกัน เพียงแค่เย่เย่ยังไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากที่เขาช่วยเหลือเหล่ยถิงในการขับไล่จางคุนออกไปได้ เย่เย่ก็ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธต่อ
3 วันต่อมา ในที่สุดเย่เย่ก็สามารถฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงระดับสุดยอดของขั้นเทพยุทธ์ แต่เย่เย่ก็มั่นใจว่าด้วยฝ่ามือคลื่นพิโรธนี้ ต่อให้ศัตรูเป็นผู้ที่เกือบจะข้ามขั้นไปจากเทพยุทธ์แล้ว เขาก็สามารถรับมือไหว
แต่ก่อนที่จะได้ดีใจ ข่าวร้ายก็ถูกส่งมาจากอารามจ้าว วรยุทธ์
“เย่เอ้อ ไม่ดีแล้ว! ฝ่ายบังคับใช้กฎของอารามจ้าววรยุทธ์เชิญตัวลูกไปตอนนี้เลยเพื่อทำการไต่สวน! ลูกไปทำอะไรมาน่ะ?”
เย่เทียนผู้เข้ามาบอกข่าวแก่เย่เย่นั้นดูจะตื่นตระหนกเป็นอย่างมากหลังได้รับข่าวนี้ ระหว่างที่พูดเองสีหน้าของเขาก็ดูเป็นกังวลไม่น้อยเลยด้วย
“ฝ่ายบังคับใช้กฎของอารามจ้าววรยุทธ์เรียกตัวข้าไปงั้นหรือ?”
เย่เย่เองก็ประหลาดใจไม่น้อยเลยเช่นกัน กระนั้นเขาก็ยังพูดกับเย่เทียนด้วยความใจเย็น “ข้าเองก็ไม่รู้หรอก แต่มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เช่นนั้นขอให้ท่านพ่ออย่าได้กังวลไป”
เมื่อทราบข่าวเช่นนั้นเย่เย่ก็ไปยังอารามจ้าววรยุทธ์และเข้าไปที่ที่ทำการฝ่ายบังคับใช้กฎแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเหล่าผู้อาวุโสทันที
ที่นั่งด้านบนสุดภายในโถงบังคับใช้กฎนั้น มีเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายที่ดูมีจิตวิญญาณอันสูงส่งนั่งกันอยู่ พวกเขามองลงมาเมื่อเย่เย่เข้ามาภายในนั้นด้วยดวงตาที่ดูดุเดือดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจนกระทั่งเย่เย่เดินผ่านเข้าไปถึงกลางห้องโถงนั้น
“เย่เย่ เจ้ารู้ความผิดของตัวเจ้าเองแล้วหรือยัง?”
ผู้อาวุโสหนึ่งในนั้นคืออู๋เทียน และตัวเขาเองก็ถือเป็นผู้อาวุโสสูงสุดภายในอารามจ้าววรยุทธ์อีกคนหนึ่งด้วย ถึงแม้ว่า เย่เย่จะไม่เคยพบเจอกับเขามาก่อน แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าใครเป็นใครจากการพูดคุยของคนรอบข้าง อู๋เทียนไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามเย่เย่ด้วยความขึงขังหลังจากที่เห็นเย่เย่เข้าที่เข้าทางแล้วราวกับว่าเขาไปได้เบาะแสอะไรบางอย่างที่สำคัญมา
“ข้า เย่เย่ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? ได้โปรดชี้แนะให้ข้าได้รู้แจ้งที”
หลังจากที่รู้แล้วว่าอู๋เทียนเป็นใคร แววตาของเย่เย่ก็ฉายแววเกรี้ยวกราดออกมาก่อนที่ใจจะเริ่มรู้สึกเย้ยหยันอยู่เต็มอก
ถึงนี่จะเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองคนก็จริง แต่ความเกลียดชังนั้นต่างฝังรากลึกลงไปในใจกันมานานแล้ว เย่เย่เชื่อว่าต่อให้เขาไม่ได้ทำอะไรผิด อู๋เทียนก็คงจะหาโอกาสใส่ร้ายเขาอยู่ดี แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะลงมือเร็วขนาดนี้
“ฮึ่ม! มีคนรายงานข้ามาว่า เจ้านั้นตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นตำนานกลับชาติมาเกิดและได้ยึดร่างของเย่เย่เอาไว้ รวมถึงแสร้งทำตัวเป็นนายน้อยของตระกูลเย่อีก ดังนั้นเรื่องนี้จะบอกว่าเจ้ามีความผิดก็คงจะไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด แล้วเจ้าล่ะ กล้าที่จะพูดเล่นลิ้นเหมือนที่เจ้าชอบทำอยู่อีกหรือเปล่า?”
ทันทีที่อู๋เทียนพูดออกมาดังนั้น ทั่วทั้งโถงบังคับใช้กฎต่างก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมกันเต็มไปหมด ไม่เพียงแต่เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ในโถงนี้เท่านั้น เพราะแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสที่เป็นคณะลูกขุนเองต่างก็พากันตกใจและหันมองเย่เย่ด้วยความหวาดกลัวกันด้วย
นั่นเพราะพวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เคยได้ยินเรื่องของการกลับชาติมาเกิดของวีรบุรุษมานานแล้ว มันเป็นเรื่องลึกลับแต่ก็เต็มไปด้วยความน่ากลัวตระหนักลึกลงไปในใจ วีรบุรุษเหล่านี้คือคนที่แม้แต่สวรรค์และโลกเองยังไม่สามารถยอมรับถึงการมีตัวตนอยู่ได้ เพราะฉะนั้นในสายตาของคนอื่นๆ วีรบุรุษที่กลับชาติมาเกิดนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้ายที่แท้จริงในคราบของมนุษย์เลย การมีอยู่ของสิ่งนี้เปรียบเสมือนฝันร้ายของใครหลายคนก็มิปาน
เย่เย่ไม่คาดคิดเลยว่าอู๋เทียนจะนำประเด็นนี้มาใช้เล่นงานเขาเช่นนี้ ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงดูขยะแขยงกับสิ่งที่ได้ยินทันที อนึ่งก็เพราะอิทธิพลของเรื่องนี้มันดันมีมากเกินกว่าที่เขาคิดซะอีก หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้อู๋เทียนไม่มีหลักฐานใดๆ เย่เย่เองก็คงจะถูกจับตามองมากขึ้นแน่ๆ ซึ่งถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเขาคงจะไม่สามารถปิดบังความลับได้อีก
เขานั้นเกลียดอู๋เทียนพอๆกับคนที่ปล่อยข่าวลือนี้เข้าไส้ และความเกลียดชังนี้คงไม่มีทางแก้ไขแล้ว
ไม่นานนักหลังจากที่อู๋เทียนพูดจบ เย่เย่ก็มองข้ามความเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของทางฝั่งอู๋เทียนและเปิดปากตะโกนด้วยความโมโห “อย่ามางี่เง่าน่า! ท่านเองต่างก็รู้จักการกลับชาติมาเกิดกันทั้งหมดอยู่แล้ว แล้วนี่แค่ผู้อาวุโสอู๋เทียนพูดขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้ท่านก็เชื่อกันแล้วหรือไง? แบบนี้แล้วมันต่างอะไรกับพวกเชื่อคนง่ายกันน่ะ ฮะ!”
“โอ้ หรือบางทีเรื่องที่โคตรแสนจะไร้สาระนี่ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพราะเกลียดชังข้าเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า? เพราะทำอะไรข้าไม่ได้ก็เลยรวมหัวกันใส่ร้ายข้าล่ะสิ ใช่ไหมล่ะ! อายุป่านนี้กันแล้ว แค่แยกเรื่องไหนผิดเรื่องไหนถูกมันยากนักหรือไงน่ะ? หรือว่าพอเห็นเป็นอายุเยอะแล้วก็คิดไม่ได้เลยว่าควรจะแยกแยะให้เป็น?”
เย่เย่ถากถากหักล้างข้อกล่าวหาของอู๋เทียนด้วยความชอบธรรม จากนั้นเขาก็ค่อยๆเหลือบมองอู๋เทียนไปด้วย ไม่เพียงแค่เย่เย่ แต่เป็นทุกคนภายในโถงบังคับใช้กฎหมายแห่งนี้ซึ่งทำเอาความกดดันมากมายที่โถมใส่ลงมาบนตัวเย่เย่ก่อนหน้านั้นเบาบางลงไปเยอะ
แน่นอนว่าทั้งผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ที่อยู่ภายในโถงบังคับใช้กฎหมายนี้นั้นไม่ใช่คนโง่ หลังจากที่พวกเขาได้ฟังถ้อยคำของเย่เย่ และมันก็ทำให้พวกเขาเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าอู๋เทียนนั้นพยายามจะใส่ร้ายเย่เย่จริงๆ เพราะยังไงเสียการกลับชาติมาเกิดนั้นก็เป็นอะไรที่เกิดได้ยากมากๆ เว้นแต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันที่สามารถบอกได้ว่าเย่เย่นั้นคือผู้กลับชาติมาเกิดจริงๆ อู๋เทียนถึงจะถูกมองในทิศทางที่ดีกว่านี้
“ปากดี!”
อู๋เทียนที่ปล่อยให้เย่เย่เก่งกล้าปากแข็งตะโกนใส่ตนต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้มานาน เขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมาพร้อมกับยืนขึ้น
ในฐานะที่อู๋เทียนนั้นเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของอารามจ้าววรยุทธ์แห่งนี้ มันจึงทำให้ไม่มีใครกล้ากระทำกิริยาหยาบคายแก่เขามาเป็นเวลานานแล้ว ความโอหังและจองหองของเขามันถูกกระตุ้นขึ้นมาจนถึงที่สุดและมันยิ่งทำให้สิ่งที่เขาคิดอย่างการตั้งใจจะทำให้เย่เย่เจ็บช้ำไปจนวันตายก็ยิ่งมั่นคงขึ้นด้วย
“แม้ว่าข้าจะไม่มีหลักฐานใดๆ แต่ข้าก็มีพยานมาด้วย! และข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็คงจะไม่คุ้นเคยกับนางซักเท่าไหร่ด้วย!”
ในที่สุดอู๋เทียนก็เริ่มใจเย็นลง จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะให้ เย่เย่ก่อนจะขอให้คนนำตัวหลินหยูฉีเข้ามาภายใน
เมื่อเย่เย่ได้เห็นหลินหยูฉี ดวงตาของเขาก็หดเล็กลงในทันทีพร้อมกับความคิดมากมายที่เกิดขึ้นภายในหัว ตัวอย่างเช่น ต้นตอของข่าวลือเรื่องการกลับชาติมาเกิด หรือ ใครที่เป็นคนนำเรื่องนี้มารายงานให้อู๋เทียน
“หลินหยูฉี ศิษย์ชั้นสูงแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ เชิญเข้าพบท่านผู้อาวุโส!”
หลังจากที่หลินหยูฉีปรากฏตัว นางก็ไม่แม้แต่หันมอง เย่เย่ หลังจากทำความเคารพอู๋เทียนแล้ว นางก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
“หลินหยูฉี ดังที่ข้ารู้มา เจ้าไม่เพียงแต่เป็นศิษย์ระดับสูงของอารามจ้าววรยุทธ์เท่านั้น แต่เจ้ายังเป็นลูกเลี้ยงบุญธรรมของเย่เทียน จ้าวตระกูลเย่อีกด้วย! เพราะงั้นเจ้าลองบอกพวกข้ามาซิ ว่าเย่เย่ที่อยู่ในโถงบังคับใช้กฎหมายคนนี้ ใช้คนเดียวกันกับน้องชายบุญธรรมของเจ้าหรือเปล่า?”
อู๋เทียนและหลินหยูฉีนั้นร่วมมือกันมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อนางปรากฏตัว เขาจึงไม่รอช้าที่จะเข้าเรื่องและถามคำถามที่ถือเป็นจุดสำคัญของเรื่องนี้ไปทันที
หลินหยูฉีหันมองไปทางเย่เย่ด้วยท่าทีไร้ซึ่งความรู้สึก จากนั้นจึงตอบอู๋เทียนไป “หากนึกย้อนกลับไปแล้ว ครั้งสุดท้ายที่น้องชายของข้าไร้ซึ่งสติไป นิสัยใจคอของเขาไม่ใช่แบบนี้ เขาไม่ใช่คนที่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ง่ายๆรวมไปถึงพัฒนาฝีมือของตนเองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ด้วยตัวคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังรู้สึกว่าภายในร่างกายของคนๆนี้ยังดูมีความลับซ่อนไว้อยู่อีกมากมาย ดังนั้นแล้ว ข้าขอสรุปได้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ หาใช่ เย่เย่ น้องชายบุญธรรมของข้าเป็นแน่แท้! ร่างกายของน้องชายบุญธรรมของข้าถูกช่วงชิงไป และเขาไม่สามารถกลับมาได้อีกต่อไปแล้ว!”
ท่าทีของหลินหยูฉีนั้น นางแสร้งทำเป็นสนิทชิดเชื้อกับ เย่เย่เพื่อที่จะหลอกลวงผู้อื่นที่ไม่รู้ความจริง นอกจากนั้นนางยังทำเพื่อให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่นและจะได้ล่อลวงให้พวกเขาขับไล่เย่เย่ออกจากที่แห่งนี้ด้วย
หลังจากที่ได้ยินดังนั้น เย่เย่ก็แสดงสีหน้าหยามเหยียดออกมา เขารู้สึกขยะแขยงกับการบิดเบือนความจริงนี้ของนางเสียจริงๆ หากมีแค่เขาและหลินหยูฉีอยู่ด้วยกัน เขาคงจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดถึงขนาดนี้ แต่นี่มันไม่ใช่ ทั้งผู้น่ารังเกียจรายเก่าและรายใหม่ต่างมารวมกันอยู่หน้าสลอนจนใบหน้าสงบนิ่งของเขานั้นเริ่มเผยถึงรอยแตกร้าวขึ้นมาทีละนิดแล้ว ดูเหมือนว่าสันติคงไม่ใช่ทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้วล่ะ
“เย่เย่ ตอนนี้แม้แต่พี่สาวบุญธรรมของเจ้าก็ยังบอกว่าเจ้านั้นไม่เหมือนเดิม เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่?!”
อู๋เทียนที่อยู่ในโถงบังคับใช้กฎหมายนั้นแสร้งทำเป็นสงสัยในเย่เย่อีกครั้ง ใบหน้าของเขานั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจที่การต้มทุกคนที่อยู่ในที่นี้นั้นดูจะประสบผลสำเร็จไปด้วยดี ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นตะโกนขึ้นเสียงดัง
อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นยังคงเหลือบมองเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ทั้งหลายภายในโถงบังคับใช้กฎหมายอย่างใจเย็น จากนั้นจึงพูดด้วยโทนเสียงไม่ต่างจากสีหน้า “หลินหยูฉีนั้นตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าและตระกูลเย่มานานแล้ว และนางไม่เคยปฏิบัติตนกับข้าเหมือนดั่งน้องบุญธรรมที่แท้จริงอย่างที่นางกล่าว ทั้งนี้เพื่อที่จะขจัดข้าให้พ้นทาง นางกุข่าวลือเรื่องที่ข้าเป็นวีรบุรุษกลับชาติมาเกิดและสมรู้ร่วมคิดกับผู้อาวุโสระดับสูงผู้ที่กำลังบาดหมางกับข้าอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ร่วมมือกันเสแสร้งหลอกลวงพวกท่านทั้งหมด และสุดท้ายนี้ ข้าถือว่าหลักฐานของนางนั้นไม่ไม่ชัดเจนขนาดจะบอกว่าข้าเป็นวีรบุรุษกลับชาติมาเกิดได้ ดังนั้นจึงไม่มีค่าอะไรให้ข้าหาหลักฐานมาหักล้างใดๆทั้งสิ้น!”