บทที่ 39
ทัณฑ์สวรรค์
อย่างไรก็ตาม อู๋เทียนนั้นดูเหมือนจะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเย่เย่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเมื่อเย่เย่พูดจบ เขาก็ประกาศถอดตำแหน่งผู้สมัครเข้าเป็นศิษย์อารามจ้าววรยุทธ์ของเย่เย่ทิ้งทันทีพร้อมทั้งจับกุมเย่เย่ในฐานะนักโทษเพื่อที่จะสืบสวนต่อในวันอื่นด้วย
“เดี๋ยวก่อนสิ! ถึงข้าจะไม่สามารถทำอะไรท่านได้ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ก็จริง แต่ถ้าเจ้าคิดว่าจะสามารถกลั่นแกล้งข้าได้ง่ายๆละก็ เจ้ากำลังคิดผิดแล้วนะ!”
เย่เย่ที่เห็นว่าอู๋เทียนเมินเฉยต่อสิ่งที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆกำลังคิดและพร้อมที่จะให้เหล่าศิษย์ภายในโถงบังคับใช้กฏหมายจับตัวเขา เขาก็รีบมองอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับพูดกับอู๋เทียนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ฮึ่ม! เจ้าคิดว่าตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์นั้นจะช่วยเจ้าได้หรือไง? ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ ตราบใดก็ตามที่เจ้าเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิด ไม่มีใครในโลกนี้สามารถช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น!”
อู๋เทียนนั้นคิดว่าสิ่งที่ทำให้เย่เย่กล้าปากเก่งได้นั้นก็เพราะตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ที่เขาถือครองอยู่ เพราะงั้นบนใบหน้าของเขาจึงแสดงร่องรอยของการดูหมิ่นผ่านแววตา
แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์นั้นถูกมอบโดยฉินหมิง แต่ฉินหมิงกับเย่เย่ก็ไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานานแล้ว อู๋เทียนจึงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเย่เย่และ ฉินหมิงก็น่าจะไม่มีอะไรกันแล้ว และด้วยความคิดนี้เขาจึงกล้าที่จะสั่งให้คนอื่นจับตัวเย่เย่เพื่อที่ตัวเขาจะได้ทำลายเย่เย่ให้ย่อยยับเสียที
แต่ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาภายในโถงบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเมื่อเหล่าศิษย์ภายในนี้เห็นชายคนดังกล่าว จากที่กำลังเตรียมจะจับตัวเย่เย่ไว้ พวกเขาก็ถอยหลังกลับไปและทำความเคารพชายผู้มาใหม่นั้นก่อน
“ในเมื่อข้าฉินหมิงอยู่ที่นี่ จะขอดูซิว่าใครหน้าไหนที่มันกล้ามาแตะต้องน้องชายของข้าบ้าง!”
ฉินหมิง นายน้อยแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ เดินตรงเข้าไปหาเย่เย่ก่อนจะมองไปทางอู๋เทียนและคนอื่นๆพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ลมปราณที่ปะทุออกมาจากในร่างกายของเขานั้นก็ระเบิดพลังออกมาในทันที ซึ่งพลังนั้นเองทำให้ทุกๆคนต่างตกใจไปตามๆกัน
“ระดับของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี่มัน?!”
“นายน้อยบรรลุระดับเทพยุทธ์แล้วงั้นเหรอขอรับ!”
“ไม่ประหลาดใจเลยที่ท่านหายหน้าหายตาไปเป็นเวลานั้น ดูเหมือนท่านจะเฝ้าฝึกฝนด้วยตนเองอยู่ตลอดเลยสินะขอรับ!”
เหล่าผู้อาวุโสในโถงบังคับใช้กฏหมายนั้นต่างมีความสุขกันไปหมดรวมถึงศิษย์คนอื่นๆภายในเองก็รีบทำการสรรเสริญเยินยอฉินหมิงพร้อมๆกันด้วย
มีเพียงและหลินหยูฉีเท่านั้นที่กำลังแสดงสีหน้าน่าเกลียดออกมาอยู่ คนเดียวที่ทั้งสองไม่อยากจะเจอมากที่สุดในวันนี้ก็คือฉินหมิงนั่นแหละ!
“น้องเย่ อย่าได้กังวล ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้ทั้งนั้น”
ฉินหมิงไม่สนใจการกระทำของคนอื่นๆภายในโถงและหันเข้าหาเย่เย่พร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ
สีหน้าของเขานั้นดูเหมือนกำลังแสดงความรู้สึกผิดอยู่ เขาไม่คิดเลยว่าผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้นั้นจะเข้ามาอยู่ในอารามจ้าววรยุทธ์เช่นนี้ รวมถึงกำลังมีความผิดอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ในสายตาของฉินหมิงที่มองไปยังเย่เย่เองก็ยังมีร่องรอยของความประหลาดใจอยู่ ราวกับว่าเขาเพิ่งจะจำหน้าเย่เย่ได้เมื่อครู่นี้เอง
ฉินหมิงนั้นแทบจะได้กลายเป็นเพียงชื่อบนป้ายหลุมศพแล้วจากเมื่อครั้งที่ไปยังหุบเขาหลี่เทียน จากนั้นเมื่อเขากลับมายังอารามจ้าววรยุทธ์อีกครั้ง เขาก็เอาแต่ฝึกฝนตนเองโดยไม่สุงสิงกับใครและไม่ได้รับข่าวสารจากโลกภายนอกเลยเพื่อที่จะได้แข็งแกร่งขึ้นเร็ววัน
และในที่สุด เขาก็ได้เป็นเทพยุทธ์ดั่งใจหวัง จากนั้น ฉินหมิงจึงได้รับฟังเรื่องต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นภายในเมืองตลอดเวลาที่เขาเก็บตัวอยู่ ซึ่งหลายเรื่องที่ได้ยินนั้นล้วนเกี่ยวกับเย่เย่ทั้งสิ้น
ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะแห่งอารามจ้าววรยุทธ์นั้น การที่หลินหยูฉีสามารถขึ้นเป็นเทพยุทธ์ได้ด้วยวัยที่น้อยกว่าฉินหมิงนั้นตัวเขาเองก็ยอมรับในเรื่องนี้ ทว่าเย่เย่นั้นกลับสามารถขึ้นเป็นเทพยุทธ์ได้ก่อนหลินหยูฉีเสียอีก แถมเขายังสามารถกำจัดเทพยุทธ์ 1 คนกับจ้าววรยุทธ์ 2 คนด้วยพลังของตนเอง และกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งเฟิงเจิ้นไปในทันที เรื่องนี้แม้แต่ฉินหมิงเองก็ยังต้องตกใจ
ในขณะที่เขาต้องการสอบถามเรื่องของเย่เย่ให้มากยิ่งขึ้น เขาก็ได้ยินมาว่าเย่เย่นั้นกำลังอยู่ในช่วงสอบสวนภายในโถงบังคับใช้กฎหมายของที่นี่แล้ว หลังจากที่ได้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ฉินหมิงก็โกรธเคืองขึ้นมาและมุ่งมายังโถงบังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยเย่เย่ทันที เพราะงั้นเย่เย่จึงไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อปะทะกับเหล่าศิษย์ภายในโถงแห่งนี้
มองไปยังใบหน้าของฉินหมิงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดแล้วเย่เย่ก็รู้สึกโล่งใจ เพราะถ้าหากฉินหมิงไม่ปรากฏตัวตอนนี้ เย่เย่คงได้สู้กับคนเหล่านี้ด้วยพลังของตัวเองจริงๆแน่ และเมื่อไหร่ที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้นเขาก็จะตกลงไปในกับดักอีกชั้นของ อู๋เทียนและถูกขับไล่ออกจากอารามจ้าววรยุทธ์ดังเดิม
แม้ว่าตัวเย่เย่เองจะไม่ได้แยแสอะไรอยู่แล้วหากจะต้องออกจากเฟิงเจิ้นไป เพราะยังไงเสียเขาก็วางแผนจะออกไปฝึกฝนภายนอกเฟิงเจิ้นอยู่พอดี แต่เพราะตระกูลเย่ที่ยังอยู่ที่นี่นั้นไม่สามารถรับแรงปะทะจากเหล่าคนจากอารามจ้าววรยุทธ์ทั้งหมดได้อย่างแน่นอน บางทีอาจจะรุนแรงขนาดที่โดยอารามจ้าววรยุทธ์นั้นเป่าหายไปจากโลกนี้เลย
ดังนั้นแล้วการปรากฏตัวของฉินหมิง จึงเหมือนเป็นช่วยป้องกันสิ่งที่เลวร้ายในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างมาก เย่เย่รู้สึกโล่งอกและเอ่ยขอบคุณฉินหมิงทันที “ขอบคุณท่านมาก ท่านพี่ฉิน!”
เมื่อเห็นฉินหมิงปรากฏตัว อู๋เทียนก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าแผนของเขานั้นล้มเหลวแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรเย่เย่ได้อีกแน่ แต่เพื่อปกป้องซึ่งชื่อเสียงของตำแหน่งผู้อาวุโส เขาจึงพูดกับฉินหมิงด้วยสีหน้าโกรธเคือง “นายน้อยฉินหมิงขอรับ ความเป็นไปได้ที่เย่เย่จะเป็นดวงวิญญาณกลับชาติมาเกิดนั้นยังไม่ได้ถูกปัดตกนะขอรับ เพราะงั้นแล้วท่านไม่ควรปกป้องเจ้านี่!”
ฉินหมิงจ้องมองไปยังอู๋เทียนด้วยความโกรธไม่แพ้กันทันที ที่อีกฝ่ายยังคงยืนหยัดอยู่เช่นนี้ก็เพราะทระนงในศักดิ์ศรีของผู้อาวุโสสินะ
“ทุกสิ่งทุกอย่างหากจะพูดก็ต้องมีหลักฐาน ถ้าหากไม่มีหลักฐานแล้ว แล้วยังจะมาพูดว่าน้องชายของข้านั้นเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิดเพื่อที่จะลิดรอนอิสรภาพของเขา ข้าไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้เด็ดขาด! แล้วยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากเขาเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิดจริงๆ สวรรค์เองก็คงไม่นิ่งเฉยอยู่แล้ว ตามปกติพวกเขาก็จะส่งทัณฑ์สวรรค์ลงมาเพื่อไล่ล่าคนเหล่านี้เอง พวกเราอารามจ้าววรยุทธ์ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินพวกเขา!”
“การที่ผู้อาวุโสเช่นท่านใช้อำนาจการตัดสินในนามอารามจ้าววรยุทธ์นั้น ชัดเจนเลยว่ากำลังทำเกินหน้าที่ของตนเองอยู่ ท่านได้คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าหากจู่ทัณฑ์สวรรค์หันมาจับจ้องพวกเราแทน อารามจ้าววรยุทธ์จะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง? ท่านจะกล่าวขอโทษกับบรรพบุรุษผู้สร้างอารามแห่งนี้ได้อย่างไร!”
คำพูดของฉินหมิงนั้นช่วยปลุกสติของเหล่าคนในโถงบังคับใช้กฎหมายให้ตื่นขึ้นมา แม้แต่อู๋เทียนเองก็ตระหนักได้ถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นตามมาหากมันเป็นอย่างที่ฉินหมิงพูดจริงๆ
ถึงแม้ว่าอารามจ้าววรยุทธ์นั้นจะเป็นใหญ่ในเฟิงเจิ้น แต่สำหรับทัณฑ์สวรรค์แล้ว พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมดตัวเล็กๆ ทัณฑ์สวรรค์ หรือที่รู้จักกันในนามของ ผู้เฝ้ามองสิ่งมีชีวิตในนามของสรวงสวรรค์ เขาเหล่านี้คือกองทัพลึกลับที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลของโลกใบนี้ เป็นกลุ่มคนที่ขึ้นชื่อว่าเหมาะสมที่สุดที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของดวงวิญญาณที่ชิงกลับชาติมาเกิดได้
ทุกๆครั้งที่มีการกลับชาติมาเกิดถูกยืนยันว่าเกิดขึ้นจริง ทัณฑ์สวรรค์ก็จะส่งคนที่แข็งแกร่งในระดับสูงเพื่อมาไล่ล่าและฆ่าดวงวิญญาณเหล่านี้ให้หมดไป ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะช่วยปกปิดหรือให้ที่ซ่อนแก่วิญญาณที่กลับชาติมาเกิดก็จะถูกถอนรากถอนโคนและขจัดให้หมดโลกนี้ไป
เพราะฉะนั้นแล้วจึงไม่มีใครกล้าที่จะเป็นกบฏหรือย่างกรายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทัณฑ์สวรรค์แม้แต่นิดเดียว ถ้าหากข่าวคราวเรื่องอู๋เทียนสอบสวนผู้ที่ถูกเชื่อว่าเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิดเป็นการส่วนตัวถูกแพร่กระจายออกไปและเข้าถึงหูเหล่าทัณฑ์สวรรค์เข้า นั่นหมายถึงหายนะจะเข้ามาเยือนอารามจ้าววรยุทธ์ในไม่ช้าอย่างแน่นอน ซึ่งบางครั้งพวกเขาเองก็จะไม่อาจจะมีโอกาสที่จะได้อธิบายถึงที่มาที่ไปเลยด้วย
อู๋เทียนที่เข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วจึงได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน เขารีบกล่าวขอโทษแก่ฉินหมิงและอธิบายด้วยเหงื่อที่ไหลพราก “ข้าต้องขออภัยจริงๆขอรับ! นายน้อย ข้าแค่ฟังความข้างเดียวจากหลินหยูฉีและก็เกรงกลัวว่าหากเป็นอย่างนี้ อารามจ้าววรยุทธ์ของพวกเราจะตกอยู่ในอันตราย ข้าก็เลยรีบเรียกตัวเย่เย่เข้ามาเพื่อยืนยันถึงสิ่งที่รับรู้มาโดยไม่ได้มีเจตนาข้ามหน้าข้ามตาผู้อื่นเลย!”
“ข้ายอมรับว่าข้านั้นไม่ได้คิดตริตรองให้ดีว่าเรื่องนี้อาจจะถึงหูเหล่าทัณฑ์สวรรค์ได้ โชคดีที่นายน้อยเข้ามาเตือนสติข้าไว้ก่อนที่ข้าจะได้กระทำผิดพลาดลงไป ข้าสัญญาว่าจะกลับเนื้อกลับตัวและจดจำบทเรียนในเรื่องนี้ไว้ขอรับ ได้โปรดลงโทษข้าได้เลย!”
หลังจากรับผิดชอบแทนหลินหยูฉีไปแล้ว อู๋เทียนก็ยอมรับข้อผิดพลาดของตนเองเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆและฉินหมิง ฉินหมิงนั้นเห็นว่าอู๋เทียนก็ทำงานให้อารามจ้าววรยุทธ์มาหลายปี ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะซักหาความรับผิดชอบเรื่องนี้มากนัก ทำแค่พอเป็นพิธีให้ผู้อาวุโสคนอื่นไม่กล้าที่จะทำอะไรแบบนี้ด้วยก็เพียงพอ
“ท่านผู้อาวุโส ในเมื่อท่านตั้งใจจะจดจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน ข้าก็จะไล่บี้ท่านต่อ! แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นศิษย์ระดับสูงของอารามจ้าววรยุทธ์ หลินหยูฉีจะถูกถอดจากฉายาอัจฉริยะแห่งอารามจ้าววรยุทธ์และจะไม่ถูกนับเป็นแบบอย่างให้ศิษย์คนอื่นๆ นอกจากนั้นนางยังจงใจกุเรื่องข่าวลือขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นซึ่งนี่ถือเป็นความเสียหายที่ร้ายแรงมากๆต่อการอยู่ร่วมกันของพวกเราอารามจ้าววรยุทธ์ ดังนั้นแล้ว ข้าจะขอประกาศ ณ ที่นี้เลยว่า หลินหยูฉี เจ้าถูกไล่ออกจากการเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ และเจ้าไม่สามารถย่างก้าวเข้ามาภายในอารามจ้าววรยุทธ์อีกนับแต่นี้เป็นต้นไป!”
ฉินหมิงนั้นให้อภัยอู๋เทียนได้ แต่เขาไม่อาจจะปล่อยให้หลินหยูฉีอยู่ต่อได้อีก ถึงแม้ว่านางจะเป็นอัจฉริยะแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับหน้าแทนนางแน่ๆหากศัตรูเป็นทัณฑ์สวรรค์
“ข้า…”
ได้ยินคำตัดสินของฉินหมิง หลินหยูฉีก็อยากจะขอความเมตตา ทว่าเมื่อเห็นท่าทีของเหล่าผู้คนในโถงบังคับใช้กฎหมายแห่งนี้ซึ่งดูจะกำลังสั่นเทาและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย นางก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่นางทำมาทั้งหมดนั้นมันจบสิ้นแล้ว ท้ายสุดนางจึงได้แต่ก้มหน้าลงและหนีออกจากโถงบังคับใช้กฏหมายของอารามจ้าววรยุทธ์ไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“น้องเย่ สิ่งที่อู๋เทียนตัดสินเจ้านั้นจะไม่ถือว่าเป็นความผิด ดังนั้นแล้วเจ้ายังมีสถานะเป็นผู้สมัครเข้าเป็นศิษย์แห่งอารามจ้วววรยุทธ์อยู่ดังเดิม หากยึดตามกฏแล้ว เจ้าต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่พวกเราเปิดรับสมัครลูกศิษย์รุ่นต่อไป เจ้าจึงจะถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของอารามจ้าววรยุทธ์ได้ แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าแต่งตั้งตอนนี้เลย ข้าสามารถให้อารามจ้าววรยุทธ์จัดพิธีแต่งตั้งเจ้าเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ได้เลยวันนี้!”
หลังจากที่ฉินหมิงไล่หลินหยูฉีออกไปแล้ว เขาก็ตั้งใจจะจัดงานแต่งตั้งเย่เย่เป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์เลยด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเย่เย่เอง ซึ่งเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็ไม่ได้โต้แย้งเรื่องนี้แต่อย่างใด นั่นเพราะเมื่อเทียบกัลหลินหยูฉีที่เป็นอัจฉริยะแห่งอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว เย่เย่มีความสามารถที่สูงกว่านางยิ่งนัก ถ้าหากต้องเลือกระหว่าง 2 คนนี้ แน่นอนว่าเกือบทุกคน ณ ที่นี้ก็เทใจให้เย่เย่กันหมด
อย่างไรก็ตาม เย่เย่หันไปมองอู๋เทียนก่อนจะส่ายหน้าแล้วหันไปหาฉินหมิง
“ความใจดีของพี่ฉินนั้นช่างตราตรึงใจข้ายิ่งนัก! แต่ว่าวันนี้ข้ายังมีธุระที่ต้องไปทำต่อ แล้วก็เรื่องที่ท่านผู้อาวุโสต้องการจะถอดข้าออกจากการเป็นผู้สมัครเข้าเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์นั่น ข้าคิดว่าถ้าหากการประนีประนอมของข้าสามารถนำพาความเป็นหนึ่งเดียวกันของอารามจ้าววรยุทธ์กลับมาได้ ข้าเองก็จะขอคืนตำแหน่งนี้ให้แก่พวกท่าน และข้าหวังว่าท่านพี่ฉินเองก็จะยินยอมด้วย!”
เย่เย่กล่าวเรื่องนี้กับฉินหมิงด้วยความเคร่งขรึมซึ่งการกระทำนี้เขาได้ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว
ฉินหมิงมองเย่เย่ด้วยความสับสน ตัวเขานั้นอยากจะโน้มน้าวให้เย่เย่เปลี่ยนใจ แต่พอได้เห็นแววตาที่มั่นคงของเย่เย่แล้ว เขาก็ตัดสินใจหยุดพูดต่อ
ในสายตาของอู๋เทียนยังคงตกตะลึงอยู่ หลายๆคนเองก็ยังคงสงสัยว่าทำไมเย่เย่ถึงเลือกเช่นนั้น
ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูกันแล้ว เย่เย่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้
ท้ายที่สุดเย่เย่ก็ออกจากอารามจ้าววรยุทธ์ดั่งใจหวังรวมถึงไม่ได้เป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์เช่นเดียวกับหลินหยูฉีด้วย ทว่าตัวเขานั้นยังคงถือครองตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์รวมถึงยังรักษาความสัมพันธ์อันดีกับฉินหมิงไว้อยู่อีกด้วย
คืนนั้นเอง เย่เย่และฉินหมิงนัดกันไปดื่ม ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เมื่อฉินหมิงได้รู้ข่าววาเย่เย่นั้นจะออกจากเฟิงเจิ้นเพื่อไปยังหลิงเฉิง เขาก็ไม่ได้ทำท่าทีเหมือนประหลาดใจ กลับกันเขากลับตบไหล่เย่เย่และพูดด้วยเสียงอันดัง “วันนี้ เมื่อข้าได้เห็นแววตาที่มั่นใจของเจ้า มันก็ทำให้ข้าพอจะเดาได้แล้วว่าเจ้าจะไป! ยังไงซะเมืองนี้ก็เล็กเกินไปสำหรับเจ้า เจ้าน่ะเหมาะกับโลกที่กว้างใหญ่นี้มากกว่า!”
“จริงๆนี่ก็แค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ส่วนอีกเหตุผลนั่นก็เพราะข้าไม่อยากจะต้องมามีเรื่องกับอู๋เทียนอีกหากข้ายังอยู่ในอารามจ้าววรยุทธ์ ยิ่งได้เห็นหน้ากันบ่อยๆมันคงรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่ ข้าตั้งใจจะทิ้งตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ไว้ที่บ้านตระกูลเย่หลังจากที่ข้าจากที่นี่ไปแล้ว ถ้าหากไม่รบกวนท่านมากเกินไป ข้าอยากจะให้ท่านช่วยดูแลบ้านตระกูลเย่ของข้าให้ด้วย!”
เย่เย่พูดในสิ่งที่กังวลอยู่ระหว่างที่กำลังดื่ม
ได้ยินดังนั้นฉินหมิงก็รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจ เขาหันไปพูดกับเย่เย่ “ไม่ต้องกังวล ต่อให้ตระกูลเย่ไม่ได้ถือครองตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ ข้าก็จะดูแลพวกเขาให้เอง! ดังนั้นเจ้าสามารถเติบใหญ่ในหลิงเฉิงได้เต็มที่เลย!”
ฟังเช่นนั้นแล้วเย่เย่ก็พยักหน้า จากนั้นเขาก็มอบชุดต่อสู้ที่เพิ่มความแข็งแกร่งแล้วให้แก่ฉินหมิง “ข้ารับรู้ได้ผ่านสัญชาตญาณว่าท่านสนใจชุดต่อสู้นี่จากเมื่อครั้งที่พวกเราไปเจอกันที่หุบเขาหลี่เทียน ตอนนี้ข้าได้ให้ผู้เป็นนายของข้าเสริมกำลังให้แก่อุปกรณ์เหล่านี้แล้ว เพราะฉะนั้นมันทรงพลังขึ้นมากๆ ข้าขอมอบไว้ให้ท่านดั่งที่ตั้งใจ!”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของฉินหมิง ยิ่งเขาได้สัมผัสชุดต่อสู้นี้เขาก็ยิ่งชอบมันมากกว่าเดิมเสียอีก ฉินหมิงกล่าวขอบคุณเย่เย่และใส่ชุดเหล่านั้นลงให้แหวนมิติทันที