บทที่ 40
เด็กหนุ่ม
ทั้งสองยังคงดื่มกันอย่างต่อเนื่องราวกับจะไม่ได้กลับมาดื่มด้วยกันอีก และเพราะพวกเขาทั้งสองนั้นเป็นเทพยุทธ์กันทั้งคู่แล้ว มันเลยทำให้พวกเขาไม่ได้เมากันเลยจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน ในที่สุดงานเลี้ยงก็ต้องเลิกราและทั้งสองจำเป็นต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนหน้าที่จะแยกย้ายกันไป ฉินหมิงนึกถึงข่าวคราวที่ได้ยินมาได้เกี่ยวกับหลินหยูฉีขึ้นมาพอดี
“ข้ารู้นะว่าเจ้าและหลินหยูฉีนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีกันมาก่อน ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่นางออกจากอารามจ้าววรยุทธ์ในวันนี้แล้วนางก็ตรงไปยังปราการหลิงเฉิงต่อ ดูเหมือนว่านางจะเป็นพวกดื้อรั้นแบบนี้มานานแล้ว ถ้าหากเจ้าเผอิญไปเจอนางเข้าที่หลิงเฉิงในอนาคตล่ะก็ เจ้าต้องระวังตัวให้ดีนะ!”
น้ำเสียงของเขานั้นดูอึดอัดมาก เห็นได้ชัดเลยว่าก่อนหน้านี้เขาคงจะเคยประเมินหลินหยูฉีต่ำไป
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอย่าได้กังวลไม่ ข้ามีวิธีรับมือนางอยู่แล้ว!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ แววตาของเย่เย่ก็เผยให้เห็นความเฉยเมย เขาพยักหน้าให้แก่ฉินหมิงแทนคำขอบคุณจากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตนไป
เช้าวันถัดมา เย่เย่ได้มอบตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์ให้แก่เย่เทียนพร้อมทั้งสอนวิธีใช้ค่ายกลเพลิงสีชาดภายในลานของเขา จากนั้นเขาก็รีบรุดหน้าไปยังหลิงเฉิงทันที
เขาคิดอย่างไตร่ตรองแล้วว่าด้วยพลังของตราแห่งอารามจ้าววรยุทธ์นั้น จะช่วยลดจำนวนผู้ที่คิดกล้าท้าตระกูลเย่ให้ลดน้อยลงไปเยอะ นอกจากนั้นหากฉุกเฉินจริงๆ เย่เทียนก็ยังสามารถใช้ค่ายกลเพลิงสีชาดในลานของเขาได้อีก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือทุกสิ่งอย่างแล้ว ดังนั้นเย่เย่จึงไม่ได้กังวลเรื่องเย่เทียนอีก
หลังจากที่ขี่ม้ามาร่วมวัน เย่เย่ก็มาถึงหลิงเฉิงในเวลากลางคืน
ค่ำคืนในหลิงเฉิงนั้นดูมีชีวิตชีวามากกว่าเฟิงเจิ้นมากนั้น ดวงไฟนับหมื่นพันสว่างไสวจากบ้านเรือนราวกับเป็นธารดาราบนฟากฟ้าช่วยแต่งเติมสีสันให้เมืองโบราณแห่งนี้ราวกับยังคงเป็นตอนกลางวันอยู่
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่เย่มายังที่นี่ แต่กระนั้นเขาก็ยังถูกความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่ทำให้ลุ่มหลงอยู่เรื่อยๆ ยามที่ได้คิดว่าอนาคตเขาต้องมาอยู่ที่นี่และฝึกฝนตนเองต่อแล้วมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้
เย่เย่รีบไปหาร้านค้าของตนเองตามที่เสี่ยวหยูได้ระบุไว้ในจดหมาย แต่เพราะหลิงเฉิงนั้นกว้างใหญ่มากๆ ดังนั้นเย่เย่จึงหลงทางอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว
“นายน้อย ท่านหลงทางหรือ? อยากให้ข้าช่วยนำทางให้ไหม?”
ขณะที่เย่เย่กำลังวนเวียนอยู่บนถนนกับม้าคู่ใจนั้นเอง เขาก็พยายามทำความเข้าใจแผนที่จากแสงไฟทั้งสองฝั่งถนนที่สาดส่องเข้ามาด้วย ซึ่งเด็กหนุ่มที่ดูสกปรกคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นมาพร้อมคำถามดังกล่าว
เด็กหนุ่มคนนี้ดูๆไปแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 15 ปี เขามีใบหน้าที่สวยงามแต่เพราะไม่ได้ล้างหน้าเป็นเวลานานมันเลยทำให้เขาดูเลอะเทอะไปหมด ที่ด้านหลังของเด็กคนนี้มีรถเกวียนรับส่งคนเก่าๆอยู่ ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้นั้นจะรอคอยผู้มาเยือนมากหน้าหลายตาที่จุดนี้เป็นประจำ
“ถ้าไม่รบกวน เจ้าพอจะบอกข้าได้ไหมว่าข้าจะไปที่นี่ได้อย่างไร?”
เย่เย่หันมองเด็กหนุ่มเจ้าของประโยคนั้นและเอ่ยถามอย่างสุภาพถึงสถานที่ในแผนที่
หนุ่มน้อยมองไปยังจุดที่ระบุไว้ในแผนที่ด้วยความคุ้นเคยก่อนจะพูดกับเย่เย่ต่อ “ข้าพาท่านไปที่นั่นได้ แต่ท่านต้องให้เหรียญเงินเป็นค่าตอบแทนข้านะ”
ได้ยินเช่นนั้นเย่เย่ก็พยักหน้า “ตราบใดที่เจ้าพาข้าไปที่นั่นได้ เรื่องของตอบแทนไม่ใช่ปัญหา”
“ดีเลย! งั้นท่านขึ้นมาบนรถข้าได้เลย! ส่วนม้านั่นเดี๋ยวข้าจะมัดไว้ที่ด้านหลังเกวียนก็แล้วกัน”
เขาคิดว่าเย่เย่จะต่อรอง แต่กลับกลายเป็นว่าเย่เย่กลับพูดในสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขเสียอย่างนั้น ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบจับม้าของเย่เย่ขึ้นมัดไว้ที่ด้านหลังรถเกวียนของเขาและเมื่อเย่เย่ขึ้นมาบนรถแล้ว เขาก็รีบขับออกไปด้วยความมั่นใจและใบหน้าที่เยือกเย็นในทันที
กระนั้นแล้ว ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะดึงหน้านิ่งขนาดไหน เย่เย่ก็ยังสามารถมองเห็นความรู้สึกผิดมันถูกตีตราอยู่ในแววตาที่นิ่งเฉยของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ชวนให้เย่เย่ขึ้นมาบนเกวียนนี่แล้ว เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่อยู่บนรถนี้ เย่เย่ก็คอยระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทว่าตัวเขาไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นตลอดทางเย่เย่จึงคอยสังเกตเรื่อยๆว่าคนคนนี้ต้องการจะพาเขาไปที่ไหน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาหลิงเฉิงหรือ? มาพบญาติหรือเปล่า?”
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มก็ส่งถ้วยน้ำดื่มให้เย่เย่พร้อมกับเอ่ยถามอย่างเรียบง่าย
เย่เย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งหลังจากรับถ้วยนั้นมา แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกจะจิบน้ำดื่มนั้นไปราวกับไม่ได้รู้เรื่องอะไรพร้อมกับตอบชายหนุ่ม “ใช่แล้ว ข้าวางแผนว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในอนาคตน่ะ”
ทันทีที่เสียงของเย่เย่เงียบลง มันก็เกิดเสียงโครมครามขึ้นมาภายในรถเกวียนนั้น เด็กหนุ่มรีบดึงม่านที่ปิดห้องโดยสารของเกวียนขึ้นแล้วจึงพบว่าเย่เย่นั้นอยู่ในอาการสาหัสพอตัว เพียงไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หลับลงไปบนพื้นของห้องโดยสารบนเกวียนนั้น
“ข้าขอโทษ แต่ข้าจำเป็นต้องทำ!”
เด็กหนุ่มพูดกับเย่เย่ด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะปิดม่านลงมาตามเดิมและขับเกวียนต่อไปยังปลายทาง
ครู่ใหญ่ๆจากนั้น รถเกวียนเก่าๆของเด็กหนุ่มก็มาจอดอยู่ในซอยเปลี่ยวๆที่มืดสนิทภายในหลิงเฉิง ที่แห่งนี้ไม่มีไฟส่องสว่างจากบ้านเรือนหลังไหนทั้งสิ้น แสงเดียวที่ทำให้พอจะมองเห็นรอบๆได้นั้นก็คือ แสงจันทร์
แต่อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มคนนี้ก็ดูจะคุ้นเคยกับเส้นทางสายนี้เป็นอย่างดี
เขาขับเกวียนไปยังประตูบ้านหลังใหญ่ที่อยู่สุดซอยแห่งนี้ จากนั้นก็จับไปที่ห่วงเคาะประตูด้านหน้านั้นแล้วเคาะลงไป 3 ครั้ง ไม่นานนักชายอายุราวๆ 50 ปีรูปร่างผอมก็เดินออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยที่สีหน้าของเขาไม่ได้มีความตกใจอะไรเลยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าประตู
“ไอ้หนู วันนี้พามาได้กี่คนล่ะ?”
ชายสูงวัยมีท่าทีเหยียดเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ตลอด ในสายตาของเขานั้นอีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่อยู่ในจุดต่ำสุดของสังคมแล้วไหนจะยังสกปรกอีก
“ค-แค่คนเดียว…”
น้ำเสียงที่เอ่ยตอบของเด็กหนุ่มนั้นดูเหมือนว่าเขาจะเกรงกลัวชายแก่ผู้นี้อยู่มากๆเลย และหลังจากตอบไปแล้วเขาก็ก้มหน้าอย่างหวาดระแวงพร้อมกับสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ทันที
เรื่องมันย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาต้องการหาเงินมาเพื่อช่วยรักษาแม่ของเขา เด็กหนุ่มคนนี้ตัดสินใจมายืมเงินก้อนใหญ่ที่มีดอกเบี้ยมหาศาลจากชายคนนี้ แต่เพียงไม่นานแม่ของเขาก็เสียไป กระนั้นเขาก็ยังต้องชดใช้หนี้ก้อนใหญ่ให้แก่ชายคนนี้ด้วยการทำงานหนักอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ชายสูงวัยนั้นสั่งให้เด็กหนุ่มคอยลักพาตัวผู้คนจากภายในหลิงเฉิงมาทุกๆวัน ซึ่งเขาจะได้นำเอาคนเหล่านี้ไปขายเป็นจับกังและนำเงินมหาศาลที่ได้จากการขายนั้นมาใช้ ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของเมืองหลิงเฉิงนี้ การที่มีคนหายเป็นจำนวนมากภายในเมืองทุกๆวันนั้นเลยไม่ได้สร้างความแตกตื่นใดๆให้กับคนอื่นๆในเมืองเสียเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มอยากจะต่อต้านขนาดไหน แต่ยังไงเสียเขาก็เป็นหนี้ชายแก่คนนี้อยู่ หากวันไหนคิดจะปลดแอก อาจจะเป็นตัวเขาเองก็ได้ที่ต้องแตกสลายไป ดังนั้นแล้วเหตุผลที่เขายังอยู่ภายในหลิงเฉิงนั่นก็เพื่อทำงานชดใช้หนี้ก้อนใหญ่นี้นั่นแหละ
“เจ้ามันไร้ประโยชน์จริงๆ! ทำงานชักช้าอืดอาดแบบนี้อีกกี่ชาติจะใช้หนี้หมด!”
เมื่อชายสูงวัยได้ยินว่าภายในรถเกวียนนั้นมีคนอยู่แค่เพียงคนเดียว สีหน้าของเขาก็ดูจะไม่พอใจแบบสุดๆ แต่เพราะรู้ดีว่าต่อให้โมโหไปเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่สามารถทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้หรอก ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะเอะอะโวยวายต่อและเดินไปเปิดม่านของห้องโดยสารออกแทนเพื่อที่จะดูผู้ที่ถูกลักพาตัวมา
“แล้วไหนล่ะ คนที่ว่า?”
ทว่าเมื่อชายสูงวัยเปิดม่านขึ้น เขาก็พบว่าภายในเกวียนนั้นไม่มีใครอยู่เลย เขาคิดว่าเขานั้นต้องโดยไอ้เด็กคนนี้เล่นเข้าแล้วแน่ๆ ดังนั้นจังหวะที่หันกลับมานั้นเขาก็เดินตรงมาตบหน้าเด็กหนุ่มไปด้วย
*เพี๊ยะ!*
เด็กหนุ่มโดนชายสูงวัยตบจนปวดฟันไปทั้งปาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้สนใจตนเองและรีบลุกไปดูภายในรถเกวียนของตนเองซึ่งแม้แต่เขาเองก็ไม่พบใครอยู่ในนั้นเช่นกัน
“เป็นไปได้ยังไงกันน่ะ?!”
ภายในนั้นควรจะมีเย่เย่ที่ยังคงหลับอยู่แท้ๆ แต่พอมาดูตอนนี้เย่เย่กลับหายไปราวกับเป็นเพียงอากาศ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้จริงๆ และการที่ไม่สามารถหาทางออกได้นั้นนั่นหมายถึงเขากำลังจะต้องเผชิญกับจุดจบเป็นแน่แท้
“ฮึ่ม! ข้ารู้นะว่าเจ้าน่ะไม่พอใจที่ข้าสั่งให้ทำใช่ไหม! แต่จำไว้เลยนะว่าเจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่ ถ้าเจ้าไม่อยากตายคามือข้าก็เลิกเล่นตุกติกแล้วออกไปหาคนมาให้ข้าซะตอนนี้เลย! ไม่งั้นจะได้เห็นดีกัน!”
ชายสูงวัยคนนั้นถีบเข้าไปที่กลางอกของเด็กหนุ่มจนเขาล้มลงไป จากนั้นด้วยท่าทีที่โกรธเกรี้ยว เขาก็ชี้ออกไปทางซอยที่เด็กหนุ่มเข้ามาในนี้พร้อมทั้งตะโกนไล่อีกฝ่ายให้ออกไปหาเหยื่อมาใหม่ถ้ายังไม่อยากตาย
“บ้าเอ๊ย!”
แววตาของเด็กหนุ่มนั้นเปี่ยมไปด้วยความอัปยศ ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะมีชีวิตรอดและเติมเต็มความฝันของผู้เป็นแม่แล้วล่ะก็ บางทีเด็กหนุ่มคงเลือกที่จะฆ่าชายสูงวัยผู้นี้คามือไปแล้วก็ได้
ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็ยังครุ่นคิดถึงเรื่องที่เย่เย่หายตัวไปเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดยังไงเขาก็ไม่เห็นหนทางที่เย่เย่ใช้หนีเลย เด็กหนุ่มคิดมากขนาดที่เข้าใจว่าตนเองอาจจะเจอผีหลอกเข้าจริงๆแล้วก็ได้จึงได้เริ่มหน้าซีดขึ้นมา
ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะมีคำพูดที่ชาวเมืองบอกต่อกันไว้ว่า “อย่าทำบาปในตอนกลางวัน เพราะเดี๋ยวกลางคืนผีจะมาหา” พอยิ่งคิดแบบนี้ได้มันก็ยิ่งเข้าเค้า นั่นเพราะเขานั้นยังคงรู้สึกผิดกับการหลอกลวงผู้อื่นอยู่ อนึ่งก็เพราะกลัวว่าจะมีผีหรือไม่ก็ปีศาจมาพาตัวเขาไปในตอนกลางคืนด้วย
หลังจากที่ตัดสินใจขับเกวียนออกจากซอยดังกล่าวแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังคงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อดีเพื่อที่จะสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายจากชายสูงวัยคนนั้นได้สำเร็จ หรือจริงๆแล้วเขาควรจะล้มเลิกความคิดแล้วหนีออกจากหลิงเฉิงไปซะตอนนี้เลยนะ? ในขณะที่ตัวเขากำลังลังเลอยู่นั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างกำลังขยับอยู่ภายในรถเกวียนด้านหลังเขา
“ใครน่ะ?!”
ความกลัวบังเกิดขึ้นมาในใจของเด็กหนุ่มทันที เขารีบยึดบังเหียนไว้แล้วกระโดดออกจากรถเกวียน จากนั้นก็หันมองไปยังห้องโดยสารด้วยความตื่นตระหนก
ทันใดนั้นม่านของห้องโดยสารก็ถูกยกขึ้น พร้อมกับเย่เย่ที่ค่อยๆยืดแข้งยืดขาบิดขี้เกียจอยู่ภายใน
“ฮ้าว~ ช่างเป็นการนอนที่อิ่มเอมใจจริงๆ! เอาล่ะ พวกเราถึงไหนกันแล้วนะ?”
เย่เย่เอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ท่านเป็นใครกันแน่?! หรือว่าเป็นผีเหรอ!”
ความกลัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นทวีคูณความกลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าเย่เย่นั้นกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ขาทั้งสองของเขามันสั่นเทาไปหมด หากไม่ติดว่าต้องพารถเกวียนนี่ไปไหนมาไหนด้วย เขาอาจจะวิ่งหนีไปไกลแล้วก็ได้
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มได้ทำการตรวจสอบทั่วทั้งเกวียนเล่มนี้แล้วว่าเย่เย่ไม่อยู่แน่ แต่จู่ๆเย่เย่กลับปรากฏตัวอยู่ในรถโดยที่ไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยเช่นนี้ มันเลยทำให้ความคิดที่ว่าเขาอาจจะเจอผีอยู่นั้นเริ่มมีน้ำหนักขึ้นมา
สีหน้าของเย่เย่นั้นมีรอยยิ้มขี้เล่นประดับอยู่ แต่กระนั้นเขากลับเลือกที่จะไม่หยอกล้ออีกฝ่ายต่อและเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยความสนอกสนใจกับเด็กหนุ่ม “ทำไมเจ้าไม่ซัดตาแก่นั่นกลับไปตอนที่มันทำเจ้าล่ะ?”
ตั้งแต่ที่เย่เย่รู้ว่าในน้ำที่เด็กหนุ่มให้มานั้นมายาผสมอยู่ เขาก็แอบเดินคลื่นพลังชีวิตเพื่อขับยาเหล่านี้ออกมาให้เร็วที่สุด และด้วยวรยุทธ์และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาในระดับนี้มันจึงไม่ยากถ้าจะขับยาเหล่านี้ออกมาหลังจากที่ลงไปในร่างกายแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้จะขับพิษยาหมดแล้วแต่เย่เย่ก็ไม่ได้หยุดการกระทำของเด็กหนุ่มนี้ในทันที เขาเลือกที่จะแสร้งทำเป็นสลบและคอยดูว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะพาเขาไปที่ไหน
เมื่อรู้สึกได้ว่ารถเกวียนนี้จอดนิ่ง เย่เย่จึงดึงเอาผ้าคลุมล่องหนออกมาห่มคลุมร่างกายตนเองเอาไว้ ดังนั้นแล้วทั้ง 2 คนที่มาเปิดม่านดูจึงไม่พบเขาแต่อย่างใด
ยึดตามสิ่งที่เย่เย่สังเกตเห็นจนถึงตอนนี้ ชายสูงวัยที่อยู่ในซอยนั้นน่าจะยังปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไม่ได้ ดังนั้นถ้าเด็กหนุ่มคิดจะขัดขืนล่ะก็ มันคงไม่ได้ยากอะไรถ้าจะล้มชายสูงวัยผู้นี้ ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงค่อนข้างสนใจว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงไม่มีทีท่าที่จะต่อต้านอีกฝ่ายเช่นนี้
“ท่านรู้ได้อย่างไร? ท่านอยู่ในนี้ตลอดเลยงั้นเหรอ?!”
ยิ่งได้ฟังเย่เย่พูดและคิดตาม ความงุนงงก็ยิ่งเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าเย่เย่รู้เรื่องนี้ นั่นหมายถึงเขาต้องอยู่ในเกวียนนี่ตลอด อนึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่มีความสามารถในการล่องหนได้อีกด้วย เช่นนั้นแล้วความสามารถของเย่เย่นั้นถือว่าเหนือจินตนาการของเขาเองอยู่มากๆ
นอกจากความงุนงงในใจ เมื่อเด็กหนุ่มได้ฟังคำถามเย่เย่ เขาก็แสดงสีหน้าหนักใจออกมาพร้อมกำหมัดแน่นราวกับว่าเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่ขมขื่นใจมากๆ
“ถ้ามันหนักอกหนักใจนักก็ไม่ต้องตอบ ข้าไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น”
ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เย่เย่เปลี่ยนท่าทีของเขาเองกลายเป็นขี้เกียจในทันทีราวกับไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในปัญหาของผู้อื่น
จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากเกวียนเล่มนั้นและเดินไปยังท้ายเกวียนโดยไม่พูดอะไรพร้อมๆกับนำม้าลงมาราวกับจะเดินทางต่อด้วยตนเอง