บทที่ 43
วิเศษ
“เรื่องนั้นจะจริงหรือไม่จริงเดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า ที่หลิงเฉิงแห่งนี้น่ะ ไม่ว่าจะเป็นหอการค้าที่เล็กขนาดไหน พวกเขาต่างมีวิธีรับมือกับแรงกดดันมหาศาลจากพวกหอการค้าใหญ่ๆกันทั้งนั้น และ 1 ในหลายๆร้านที่เป็นตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดก็คือ หอการค้าตงหยวน ไม่มีใครรู้ว่าหอการค้าแห่งนี้ได้โสมราชาแก่มาจากไหน แต่ราคาของมันก็สูงถึง 500,000 เหรียญทองในการประมูล ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ชื่อเสียงของหอการค้านี้เองแพร่กระจายไปอย่างมาก พวกเขาน่ะ เติบโตเร็วกว่าหอการค้าระดับกลางเสียอีกนะ”
ขณะที่เฉินเชียนซิงและซุนเชียนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เจ้าของโรงเตี๊ยมเหรินซิงคนสวยที่นั่งข้างๆเองก็ไม่ได้อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่กระนั้นนางก็มีมุมมองกับเรื่องนี้ต่างออกไปจากคนอื่นๆ
ซุนเชียนหันไปมองนางด้วยความสงสัยก่อนที่สีหน้าของเขาจะแสดงถึงความไม่พอใจออกมา “ผู้จัดการหลิวดูจะมองหอการค้าหยูเย่นี่ในแง่ดีไปหน่อยหรือเปล่าน่ะ? ข้าน่ะไม่เชื่อหรอกนะว่างานประมูลจะมีอะไรที่มีมูลค่าสูงกว่าโสมราชาน่ะ ส่วนหอการค้าตงหยวนนั่นก็แค่โชคดี เจ้าคิดว่าหอการค้าเล็กๆจะเติบใหญ่กันได้ง่ายๆทุกร้านหรืออย่างไร?”
จริงๆแล้วหลิวชิงซู ผู้จัดการของโรงเตี๊ยมเหรินซิง ก็ไม่ได้เชื่ออยู่แล้วว่าหอการค้าหยูเย่นี้จะมีอะไรที่เทียบเท่ากับหอการค้าตงหยวนได้ นางแค่ไม่อยากให้เฉินเชียงซิงหลงไปกับถ้อยคำ โน้มน้าวของซุนเชียนไปเสียหมด
เฉินเชียนซิงที่เห็นว่าทั้ง 2 กำลังเริ่มทะเลาะกันพวกเขาก็รีบห้ามปรามเอาไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ “เอาน่าๆ พวกท่านเองก็อย่าเพิ่มมีปากเสียงกันเพราะเรื่องเช่นนี้เลย ยังไงเสียหอการค้าหยูเย่จะดีจริงอย่างที่กล่าวว่าเอาไว้หรือไม่ เดี๋ยวเราค่อยวัดเอาจากของที่นำมาประมูลก็ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ช่วยนั่งรอกันก่อนจนกว่างานประมูลจะเริ่มดีกว่านะ”
หลังจากที่ซุนเชียนและหลิวชิงซูมองหน้าซึ่งกันและกัน ในที่สุดทั้งสองก็นั่งลงไปที่เก้าอี้ของตนและหยุดพูดต่อ ในตอนที่เหล่าแขกที่เข้าร่วมงานมากันเกือบจะครบแล้วและงานประมูลก็เกือบจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงเอะอะก็เกิดขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าหอการค้าหยูเย่
ทั้งสามหันไปยังต้นเสียงและมองคนเหล่านั้น จากนั้นสีหน้าของพวกเขาทั้งสามก็เปลี่ยนไปทีละนิดหลังจากที่เห็นผู้มาเยือนแล้ว
“เจ้านั่นก็มาด้วยงั้นเหรอ? ดูท่างานประมูลนี้คงจะน่าสนใจขึ้นมาซะแล้วสิ!”
ซุนเชียนเผยอปากขั้นและหันกลับไปมองยังทิศทางที่จัดงานประมูลต่อทันที
เฉินเชียนซิงและหลิวชิงซูยังคงประหลาดใจอยู่ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มระมัดระวังตัวกันมากขึ้นเพราะไม่อยากที่จะโดนโกรธใส่เพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
เมื่อชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเข้ามาภายในโถงประมูลเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศวุ่นวายก่อนหน้าก็นิ่งสงัดขึ้นมาทันที ชายหน้าบากที่เข้ามาใหม่ก็เพียงพยักหน้าให้ เฉินเชียนซิงเท่านั้นและไม่ได้ใส่ใจใครอีกก่อนจะไปหาที่งนั่งเงียบๆ
แม้ว่าเขาจะอยากเปลี่ยนแปลงสีหน้าบ้าง แต่เจอเข้ากับสถานการณ์แบบนี้คิดๆดูแล้วทำหน้านิ่งๆไว้ก่อนดีกว่า
“ช่างน่าสงสาร ทั้งๆที่เคยเป็นอัจฉริยะแห่งปราการ หลิงหยวนแท้ๆ อุตส่าห์โด่งดังได้ขนาดนั้น ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะตกต่ำลงมาได้ขนาดนี้”
เฉินเชียนซิงมองชายหน้าบากคนนั้นนั่งลงและหลับตาช้าๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆเขาพร้อมพูดด้วยเสียงที่เบา
ซุนเชียนและหลิวชิงซูเองต่างก็เห็นด้วยเหมือนกัน พวกเขาพยักหน้าพลันความทรงจำวันเก่าๆก็ไหลย้อนออกมา
กว่า 10 ปีมาแล้ว ครั้งที่ชายหน้าบากนามว่า ซูฉีเจี่ยคนนั้นไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับตอนนี้ เขานั้นถือเป็นศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนที่มีความสามารถมากมาย และปราการ หลิงหยวนเองก็ถือเป็น 1 ใน 5 สำนักที่แข็งแกร่งมากๆในหลิงเฉิงด้วย ที่แห่งนี้รวบรวมเหล่าผู้มีความสามารถไว้ด้วยกันมากมาย ช่วงนั้นชื่อเสียงของซูฉีเจี่ยโด่งดังกว่าศิษย์คนอื่นๆเป็นอย่างมากและกลายเป็นผู้ที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้นำศิษย์ของปราการ หลิงหยวน
แต่ปราการหลิงหยวนแห่งนี้แตกต่างออกไปจากสำนักอื่นๆ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ให้ค่าอะไรกับศิษย์ที่หมดศักยภาพไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะฉะนั้นถึงแม้จะเป็นสำนักที่ไม่เป็นสองรองใคร แต่ความสามัคคีของพวกเขาก็ยังห่างไกลกับสำนักอื่นๆยิ่งนัก
หลังจากที่ซูฉีเจี่ยถูกตัดสินว่าไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้กลับเป็นปกติได้ เขาก็ถูกขับไล่ออกมาจากปราการ หลิงหยวนแม้ว่าเขาจะเคยนำพาชัยชนะมาให้แก่ที่แห่งนี้มากมายก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงมากล้นในหลิงเฉิงผู้นี้ต้องกลายเป็นเพียงจ้าววรยุทธ์วัยกลางคนที่อาศัยรวมอยู่กับคนอื่นในย่านนี้
เพราะการถดถอยของวรยุทธ์ที่เคยฝึก มันทำให้ซูฉีเจี่ยในตอนนี้นั้น ย่ำแย่ลงกว่าจุดที่เขาเคยอยู่สูงที่สุดอยู่เยอะ รวมถึงจิตใจของเขามันก็ถูกหล่อหลอมจนกลายเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวไปเสียแล้ว ทว่าในย่านนี้ มันก็มีจ้าววรยุทธ์อยู่ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นแล้วคนที่เคยแข็งแกร่งมากๆอย่างเขาและผู้ฝึกวรยุทธ์หน้าใหม่อย่างเฉินเชียนซิงล้วนต่างไม่อยากมีความสัมพันธ์กันในแบบแย่ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ก้าวก่ายกันไปโดยปริยาย
ขณะที่แขกที่เชิญมานั้นต่างกำลังคิดนู่นคิดนี่กันต่างๆนานา เย่เย่และคนอื่นๆเองต่างก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปหลังจากที่ซูฉีเจี่ยมาถึง ท่ามกลางพวกเขา เสี่ยวหยูดูท่าจะเป็นคนที่กังวลมากที่สุด เพราะนางต้องเจอปัญหาต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บค่าคุ้มครองของแก๊งสายน้ำหลั่งไหล หรือการถูกขู่กรรโชกทรัพย์จากเฉินเทียนเฉิง เพราะเหตุนี้นางจึงตื่นตัวมากๆที่มีคนที่อาจจะก่อปัญหาโผล่เข้ามาในหอการค้าของตนเช่นนี้
แต่หลังจากที่สังเกตสถานการณ์อยู่และพบว่าซูฉีเจี่ยไม่ได้จะมาสร้างปัญหาใดๆหลังจากนั่งลงไปแล้ว เสี่ยวหยูก็ค่อยๆโล่งใจขึ้นมาซึ่งประจบเหมาะกับตอนนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้วที่แขกทุกคนได้มากถึง เพราะฉะนั้นเย่เย่จคงได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีและเดินเข้าไปหาคนเหล่านี้
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานประมูลครั้งแรกของหอการค้าหยูเย่! เพราะงานนี้นั้นจัดขึ้นมาเพื่อให้เพื่อนบ้านในย่านนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นแล้วพวกท่านเองก็จะไม่มีคู่แข่งมากมายนัก ข้าหวังว่าพวกท่านคงจะสามารถใช้โอกาสนี้ในการแย่งชิงสมบัติที่ท่านอยากได้มาไว้ในครอบครองกันได้นะ!”
หลังจากที่เย่เย่พูดเปิดงานแล้ว เสียงปรบมือจากภายในโถงนั้นก็ดังระงมขึ้นมา ถึงแม้ว่าแขกที่มาในวันนี้ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อว่างานประมูลนี้จะทำให้พวกเขาประหลาดใจได้ก็จริง แต่พวกเขาก็พอจะได้ยินข่าวมาว่าเย่เย่นั้นเป็นยอดนักรบในระดับเทพยุทธ์ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีใครตะโกนข่มขู่ขณะที่เย่เย่กำลังเปิดงานเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศของงานเริ่มกลับมาครึกครื้นแล้ว เย่เย่ก็ไม่พูดไร้สาระต่อ เขาหยิบเอาผ้าคลุมล่องหนออกมาและคลุมมือของเขาเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มแนะนำมันให้กับเหล่าแขกผู้มาเยือนงานในวันนี้ “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน! ของชิ้นแรกที่เรานำมาประมูลในวันนี้ก็คือผ้าคลุมล่องหนที่ข้าได้กล่าวถึงไปแล้วในจดหมายเชิญที่ส่งให้พวกท่าน! ข้าขอเปิดราคาที่ 100,000 เหรียญทอง เช่นนั้นแล้ว ข้าจะขอเปิดประมูล ณ บัดนี้!”
ทันทีที่ผ้าคลุมล่องหนถูกนำขึ้นมา พวกเขาล้วนเห็นเหมือนกันว่ามือของเย่เย่นั้นหายไป ราวกับว่าหลุดไปอยู่ในมิติอื่น ซึ่งมันทำให้บรรยากาศที่เคยเงียบสงัดต้องเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงอีกครั้ง
“นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย?! มีของที่วิเศษแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ!”
“มือของเขาหายไปเลย! ผ้าคลุมล่องหนของจริงงั้นเหรอ?!”
“ท่านเย่ ผ้าคลุมนั่นมันใหญ่ขนาดไหน พอจะแสดงให้พวกเราเห็นได้ไหม?”
แม้แต่เฉินเชียนซิงและซูฉีเจี่ยเองก็ยังสนใจของชิ้นนี้มากๆ ชัดเจนเลยว่าคุณสมบัติในการล่องหนของมันนั้นเกินกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากเลยทีเดียว
แม้เย่เย่จะไม่เคยมีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำการประมูลเช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนหรือร้อนรนอะไรนัก
ในเมื่อเหล่าผู้เข้าประมูลเอ่ยถามถึงวิธีการใช้งานของผ้าคลุมล่องหน เขาก็หยุดการประมูลลงไปชั่วคราวและเอ่ยเชิญชวนแขกที่มางานแทน “สิ่งที่ข้าพูดได้นั่นก็คือ 10 ปากว่าไม่เท่า 2 ตาเห็น และ 2 ตาเห็นไม่เท่า 2 มือของท่านมาสัมผัสมันเอง เช่นนั้นแล้วข้าขอให้พวกท่านส่งตัวแทนออกมาคนหนึ่งเพื่อที่จะได้ทดสอบคุณสมบัติของผ้าคลุมผืนนี้ ข้าเชื่อว่าผลลัพธ์นั้นจะต้องตอบคำถามในใจพวกท่านได้มากกว่าคำพูดของข้าเป็นแน่!”
หลังจากที่สิ้นเสียงเย่เย่ หลิวชิงซู สาวงามผู้เป็นผู้จัดการโรงเตี๊ยมเหรินซิงก็เดินออกมา
นางทำความเคารพเย่เย่ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลิวชิงซู ในฐานะผู้จัดการโรงเตี๊ยมเหรินซิงขอขอบคุณพวกท่านมากๆที่ให้ข้าได้เป็นผู้ทดสอบผ้าคลุมล่องหนผืนนี้ ขอความกรุณาด้วยนะ ท่านเย่!”
เย่เย่ผายมือและกางผ้าคลุมล่องหนออก เมื่อกล่าวบอกนางให้เตรียมพร้อมแล้ว เย่เย่ก็คลุมผ้าผืนนี้ลงไปที่ตัวของนางทันที
ร่างของหลิวชิงซูหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน มีเพียงซูฉีเจี่ยเท่านั้นที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของหลิวชิงซูในที่แห่งนี้แต่นี่ก็ทำให้สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเป็นอย่างมากแล้ว
“หวังว่าสิ่งที่เห็นนี้จะนำพาความเชื่อแก่พวกท่าน และในเมื่อพวกท่านเห็นถึงวิธีใช้งานของผ้าคลุมล่องหนนี้แล้ว ข้าก็จะขอเริ่มงานประมูลต่อเลยก็แล้วกัน!”
ในฐานะที่เป็นจ้าววรยุทธ์ ซูฉีเจี่ยรู้สึกได้ถึงตำแหน่งที่หลิวชิงซูอยู่ได้ และเย่เย่ที่เป็นคนดำเนินงานเองก็ยิ่งรู้ดีเพราะตัวเขานั้นอยู่ในระดับเทพยุทธ์แล้ว นอกจากนั้นหลิวชิงซูเองก็ยังอยู่ใกล้ๆเข้าด้วย ดังนั้นเย่เย่จึงดึงผ้าคลุมล่องหนที่ปกปิดร่างของนางออกและเผยร่างของนางแก่สายตาสาธารณชนอีกครั้ง
หลิวชิงซูที่ได้เข้าไปทดสอบความวิเศษของผ้าคลุมล่องหนด้วยตนเองนั้นแสดงสีหน้าตกใจออกมา นั่นเพราะก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะหายไปต่อหน้าทุกคนเอง ประสบการณ์เช่นนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้เพียงครู่เดียวภายในใจของนางนั้นคิดโลภอยากจะหายไปทั้งอย่างนี้เลย แต่เพราะนางกลัวเย่เย่ที่อยู่ในระดับเทพยุทธ์ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะหนีไปพร้อมกับผ้าคลุมล่องหนผืนนี้
อย่างไรก็ตาม หลิวชิงซูเองก็รู้ว่าหลังจากที่ก้าวขึ้นเป็นจ้าววรยุทธ์ได้นั้น พวกเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของโลกและสวรรค์ที่หลั่งไหลอยู่โดยรอบนี้ ซึ่งมันทำให้นางต้องข่มความโลภเอาไว้อย่างน่าผิดหวังรวมถึงปิดความตื่นเต้นจนเหงื่อแตกนี่ไว้ด้วย บางครั้งสิ่งที่ดูจะอันตราย มันก็ชวนให้น่าหลงใหลเหมือนกัน ยิ่งอันตรายก็ยิ่งน่าสนใจ นี่คือสิ่งที่หลิวชิงซูรู้สึกได้ถึงผ้าคลุมล่องหนผืนนี้
“ข้าให้ 150,000 เหรียญทองเลยท่านเย่! ขายผ้าคลุมนี่ให้ข้าเถอะ!”
“150,000 นั่นเอาไว้เลี้ยงดูตัวเองตอนแก่เฒ่าไป! ข้าจ่าย 180,000 เลย!”
“ข้าซื้อ 200,000 เหรียญทองเลย เอ้า!”
หลังจากที่ได้เห็นความวิเศษของผ้าคลุมผืนนี้กันแล้ว เหล่าแขกทุกคนในที่นี้ต่างก็กลายเป็นบ้ากันไปหมด พวกเขาต่างพากันเสนอราคาที่ตนเองจ่ายไหวเพื่อให้ได้สมบัติชิ้นนี้มาครอง
ทว่าในบรรดาคนเหล่านี้ เฉินเชียนซิงและคนอีกบางส่วนกลับดูจะคาดหวังอย่างอื่นอยู่มากกว่า เขาเห็นข้อจำกัดการใช้งานของผ้าคลุมล่องหนผืนนี้ และถึงแม้มันจะทำให้พวกเขาตื่นเต้นแต่ก็ไม่ได้ระดับคนอื่นๆ
“เราได้ผู้ชนะการประมูลแล้ว! ผ้าคลุมล่องหนถูกขายในราคา 250,000 เหรียญทอง! และผู้ที่ได้มันไปคือ ผู้จัดการ หลิวชิงซู!”
เมื่อการต่อสู้ที่ดุเดือดจบลง เฉินเชียนซิงและซุนเชียนรวมไปถึงหลิวชิงซูผู้เป็น 3 ยักษ์ใหญ่ในย่านนี้ต่างร่วมประมูลด้วยเช่นนกัน แต่ทั้งเฉินเชียนซิงกับซุนเชียนนั้นยอมแพ้ไปก่อน มีเพียงหลิวชิงซูเท่านั้นที่หลงใหลในคุณสมบัติอันน่าเหลือเชื่อของผ้าคลุมผืนนี้เพราะนางได้ทดลองด้วยตนเอง นางจึงไม่ยอมปล่อยมันให้แก่ใครและประมูลมันมาได้ในราคา 250,000 เหรียญทอง
ท่ามกลางสายตาของเหล่าผู้อิจฉา หลิวชิงซูเองรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจน แม้นางจะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจนิดหน่อยที่ต้องควักเงินถึง 250,000 เหรียญทองกับของชิ้นเดียว แต่ยังไงเสียเมื่อคิดย้อนกลับไปถึงคุณสมบัติของมันนางก็รู้สึกว่าเงินจำนวนนี้คุ้มแล้ว ส่วนเย่เย่เองก็พึงพอใจที่ได้เห็นภาพบรรยากาศเช่นนี้ในงานประมูลของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป รีบหยิบของชิ้นต่อไปขึ้นมาประมูลทันที
“เอาล่ะท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย! เรากำลังจะเริ่มประมูลสินค้าชิ้นที่ 2 กันแล้ว! ซึ่งนั่นคือ ยาโคตรแกร่ง! จำนวน 100 เม็ด ในราคาเริ่มต้นที่ 70,000 เหรียญทอง! เริ่มประมูลได้เลย!”
สิ้นเสียงเย่เย่ ทั่วทั้งโถงก็เงียบกริบลงไป ในขณะที่ เฉินเชียนซิงและคนอื่นๆต่างส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ต่างกับผ้าคลุมล่องหนก่อนหน้านี้
นั่นเพราะยาเสริมความแข็งแกร่งพวกนี้ถือเป็น 1 ในของที่ราคาถูกที่สุดสำหรับจ้าววรยุทธ์ เรียกได้ว่าเป็นของที่หาได้ทั่วๆไปทั้งเฟิงเจิ้นและหลิงเฉิง แขกเหล่านี้ต่างก็คิดว่าของประมูลชิ้นต่อไปที่หอการค้าหยูเย่นำออกมานั้นจะเป็นอะไรที่ใหม่กว่านี้เสียอีก หรือต่อให้ไม่ใช่ของอะไรสดใหม่ แต่ก็อยากให้เป็นของที่ดีเทียบเท่าผ้าคลุมล่องหนก็ได้ ดูเหมือนพวกเขาจะประเมินเย่เย่ไว้สูงเกินไป
บรรยากาศในที่จัดงานนั้นกร่อยลงทันตาเห็น รวมถึงบางส่วนก็เริ่มอยากจะออกจากที่นี่กันแล้ว
เย่เย่ที่เห็นบรรยากาศเริ่มไม่ดีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกมากนัก ทุกสิ่งอย่างยังอยู่ในการควบคุมของเขา ดังนั้นเขาจึงค่อยๆเหลือบมองอย่างใจเย็นไปยังแขกทุกๆคนด้านหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “มีใครพอจะขึ้นมาพิสูจน์ยานี่ให้ข้าได้หรือไม่? ข้าอยากให้พวกท่านได้เห็น ถึงความแตกต่างระหว่างยาของข้าและยาที่ขายด้านนอก”
คำเอ่ยของเย่เย่นั้นดูเหมือนจะกระตุ้นให้คนรอบๆเกิดความสนใจ และซุนเชียน เจ้าของร้านอาหารจางเฟิงก็เสนอตัวเป็นคนอาสาพิสูจน์ยาอายุวัฒนะของเย่เย่ด้วยตัวเขาเองพร้อมกับพูดด้วยความเคารพ “ซุนเชียน ในฐานะที่เป็นเจ้าของร้านอาหารชางเฟิงผู้มีประสบการณ์ในการพิสูจน์เม็ดยามาบ้าง จะขอเป็นคนตรวจสอบยาเม็ดของท่านเอง”