บทที่ 6
ช่วยเหลือ
เฉินเฟิงเทียนนำเหล่าลูกศิษย์สำนักอัคคีที่เหลือหาทางออกจากภูเขาหลี่เทียนด้วยแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด ทว่าในที่สุดพวกเขาก็โดนศัตรูล้อมจนได้
ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องห้ำหั่นกันอีกครั้ง และใครก็ตามที่เพลี่ยงพล้ำศพก็จะกระเด็นลอยตกเขาไป
“โอ๊ะ?”
เย่เย่นั้นไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเลย เขาเพียงแค่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่ปกคลุมภูเขาลูกนี้อยู่เท่านั้น และยามที่ได้มองไปรอบๆถึงได้พบว่าสำนักอัคคีและกระบี่จรัสแสงกำลังต่อสู้กันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
เขารู้สึกได้ถึงความโชคดีที่มีอยู่น้อยนิด ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงหาที่หลบในทันทีเพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหาตัวเขาเจอ
กระนั้นแล้วเฉินเทียนเฟิง ศิษย์รุ่นพี่แห่งสำนักอัคคีก็พบเย่เย่ก่อนที่เย่เย่จะหลบพ้น ด้วยความที่สถานการณ์ปัจจุบันนั้นเรียกว่าเข้าตาจนมากๆ ดังนั้นเขาจึงไม่อายที่จะตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อนเช่นนี้ “ท่านผู้เจริญ! ข้าชื่อเฉินเทียนเฟิง เป็นศิษย์สำนักอัคคี ได้โปรด ช่วยคนของข้าด้วย ด้วยเกียรติของข้า หากได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ข้าจะทดแทนพระคุณให้สาสมเลยทีเดียว!”
“เกียรติของคนใกล้ตายเช่นเจ้ามันจะไปมีค่าอะไรกันน่ะ! เจ้าหนูที่อยู่ตรงนั้น ข้าจะแนะนำอะไรดีๆให้นะ ชีวิตเจ้าน่ะยังอีกยาวไกลกว่าที่จะเอามาทิ้งเพื่อคนพวกนี้ เพราะงั้นจงไปซะ แต่ถ้าไม่ไปพวกข้าก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเจ้าด้วยหรอกนะ!”
น้ำเสียงหยาบช้าดังขึ้นมาจากกลุ่มคนของสำนักกระบี่จรัสแสง เขาคือศิษย์พี่แห่งสำนักกระบี่จรัสแสงเช่นเดียวกับ เฉินเทียนเฟิงนามว่า จางฮ่าว
จางฮ่าวดูแล้วน่าจะเข้าสู่วัย 30 ปีแล้ว เขาดูมีอายุมากกว่าทุกๆคนในที่นี้ และด้วยอายุที่มากกว่ามันทำให้ประสบการณ์กับความแข็งแกร่งของเขานั้นย่อมมากกว่าคนอื่นๆด้วย ในครานี้เขานำเหล่าศิษย์สำนักกระบี่จรัสแสงมาเพื่อจัดการเฉินเทียนเฟิงและลูกศิษย์ของสำนักอัคคีโดยเฉพาะ ดังนั้นตัวเขาจึงไม่อยากจะให้คนนอกอย่างเย่เย่เข้ามาขัดขวาง
แม้ว่าศิษย์สำนักกระบี่จรัสแสงนั้นจะดูกระหายเลือดถึงปานใด แต่คนเหล่านี้ก็หมกมุ่นอยู่กับสงครามของพวกเขาเองอย่างการไล่ล่าสำนักอัคคีมาพักใหญ่ๆแล้ว ดังนั้นถ้าไม่ติดว่าเป้าหมายยังไม่สำเร็จ คนพวกนี้คงได้ล้มลงไปกองบนพื้นเป็นผักปลากันหมดเป็นแน่แท้
อย่าว่าแต่ทางกระบี่จรัสแสงเลย เพราะทางเฉินเทียนเฟิงเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักหรอก เพราะฉะนั้นการมาของเย่เย่ในครั้งนี้ จึงกลายเป็นเหมือนศูนย์รวมความหวังของคนค่อนสำนักไปเลย
เมื่อเห็นว่าเย่เย่ลังเล เฉินเทียนเฟิงก็รีบหยิบบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนเหรียญออกมาจากเกราะของเขาและส่งมันให้เย่เย่ “ท่านผู้เจริญ ข้าได้เศษอัญมณีสีม่วงชิ้นนี้มาโดยบังเอิญ มันคือสิ่งล้ำค่าที่มีมูลค่าสูงมากๆและหาได้ไม่ง่ายเลยในตลาด ณ ตอนนี้ เพราะงั้นแล้วได้โปรด ช่วยพวกข้าด้วยเถิดท่านผู้เจริญ!”
อัญมณีสีม่วงนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการหล่อหลอมอาวุธหรือเสริมความแข็งแกร่งให้อาวุธ เศษเสี้ยวของมันแม้เพียงแค่น้อยนิดก็มีราคาสูงจนน่าเหลือเชื่อในสมาคมพ่อค้า และด้วยความที่มันเลอค่าและพบเจอได้ไม่มาก ปัจจุบันมันจึงถือเป็นสิ่งที่หายากสุดๆไปโดยปริยาย
ดังนั้น ด้วยความเลอค่าของอัญมณีสีม่วงเช่นนี้ ขณะที่มันถูกส่งต่อมาให้เย่เย่ ในแววตาของเฉินเทียนเฟิงจึงมีร่องรอยของความเจ็บปวดเหลือไว้อยู่ สิ่งนี้น่ะ ถือเป็นความภาคภูมิใจที่ได้จากการออกเดินทางเข้ามายังภูเขาลูกนี้ของเขาเลย ไม่คิดเลยว่าจะต้องจำใจยกให้คนอื่นในสถานการณ์เช่นนี้ สถานการณ์ที่ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิต
เย่เย่ฟังถ้อยคำของเฉินเทียนเฟิงแล้วก็แสดงสีหน้าลังเลขึ้นมาอีก
แต่หลังจากที่ยืนสังเกตท่าทีของทั้งสองฝ่ายอยู่อีกครู่หนึ่ง เย่เย่ก็พบว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่เหนื่อยหอบกันหมดแล้ว
เพราะฉะนั้น ต่อให้เขาจะมาที่นี่ตัวคนเดียว เขาคงจะไม่สามารถปล่อยให้พวกสำนักกระบี่จรัสแสงทำอะไรกับอีกฝ่ายหนึ่งไปมากกว่านี้
“ยังไงซะจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะพัฒนาจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อยู่แล้วนี่…โอกาสมาถึงหน้าขนาดนี้ไม่ได้มีบ่อยๆหรอกนะ!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่เย่ก็ตัดสินใจเก็บอัญมณีสีม่วงก้อนนั้นลงไปในกระเป๋าและรีบวิ่งเข้าไปยังกลุ่มคนของสำนักกระบี่จรัสแสงพร้อมกับดาบเหล็กดำในมือของเขาทันที
ขณะที่วิ่งนั้นปากของเขาก็ส่งเสียงตะโกนออกมาตลอดทาง “เห้ย! ไอ้พวกบ้านป่าเมืองเถื่อน พวกเจ้ากล้าดียังไงมาฆ่าแกงผู้อื่นกลางวันแสกๆแบบนี้น่ะ หา! พวกเจ้าจะไม่ได้ตายดีแน่!”
แม้ว่าจิตวิญญาณในการต่อสู้ของเย่เย่นั้นมีเพียงน้อยนิด แต่การที่เขาสวมชุดเกราะที่ดีกว่าเกราะทั่วๆไปเช่นนี้พร้อมกับถือดาบที่ทำจากเหล็กกล้า มันทำให้เขาไม่เกรงกลัวปัญหาเรื่องการเข้าตีและตั้งกันแต่อย่างใด หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเหนื่อยจากการไล่ล่ามากขนาดนี้ ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงไม่มีความเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น
“เจ้าพวกบ้า!”
“ข้ามาหาที่ตายแล้ว มาสู้กับข้านี่เซ่!”
“ไอ้พวกขี้ขลาดเอ๊ย ข้าจะไล่ฆ่าพวกเจ้าเรียงตัวเลย!”
สิ่งที่เย่เย่ตะโกนโหวกเหวกออกมานั้นทำให้พวกสำนักกระบี่จรัสแสงโกรธกันมากๆ ในสายตาของคนเหล่านี้ เขามองว่าเย่เย่กล้าหันดาบใส่ก็เพราะมีอัญมณีสีม่วงนั่นเป็นสิ่งล่อตาล่อใจ ช่างเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงและตรงไปตรงมาเสียจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธของพวกเขาลดลงหรอกนะ
“ไปฆ่ามันซะ!”
จางฮ่าวผู้ที่เป็นหัวหอกให้แก่กระบี่จรัสแสงในตอนนี้เผยความโหดร้ายออกมาผ่านสีหน้าและแววตาพร้อมกับสั่งให้คนของเขา 2 คนเข้าไปจัดการกับเย่เย่ด้วย
ชายสองคนผู้มีท่าทีที่ดูจะร้ายกาจเข้าไปหาเย่เย่พร้อมกับเงื้อมดาบฟันพร้อมๆกันทั้งซ้ายและขวา
สายลมรุนแรงที่ออกมาจากการฟาดฟันดาบลงมาทั้งสองเล่มนั้น แม้ตัวดาบจะยังไม่ปะทะกับตัวของเย่เย่ แต่พื้นดินด้านล่างก็เกิดรอยบากเหมือนโดนผ่าขึ้นมาเสียแล้ว
เย่เย่ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำดังใจคิดแต่อย่างใด เขาเองก็ชักเอาดาบยาวที่ตีขึ้นจากเหล็กกล้าขึ้นมาขวางวิถีฟาดฟันของทั้งสองเอาไว้อย่างทันท่วงทีด้วย
ประกายไฟเกิดขึ้นตามจังหวะที่ดาบทั้ง 3 เล่มปะทะกัน แต่เพราะอีกฝ่ายมีถึง 2 คน ดังนั้นแม้ดาบของเย่เย่จะยาวแต่มันก็ทำให้เขาต้องรับภาระแรงกดทับจากดาบทั้งสองเล่มที่มากกว่าปกติด้วย ซึ่งยิ่งบ่อยครั้งมันก็ยิ่งทำให้มือไม้ของเย่เย่สั่นเทาและชาไปหมดทั้งมือ
แต่ขณะเดียวกัน ทุกครั้งที่เย่เย่แกว่งดาบขึ้นปัดป้อง แรงลมมหาศาลอันเกิดจากการกวัดแกว่งดาบก็จะพัดหวนเข้าจนทำให้พวกเขาทั้งสองต้องถอยกลับเป็นครั้งคราว ศิษย์สำนักกระบี่จรัสแสงทั้งสองแสดงสีหน้าตกใจออกมา พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าคนธรรมดาๆเช่นนี้จะสามารถสร้างคลื่นอัดกระแทกได้รุนแรงถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสิ่งนี้มันจะน่าตกใจถึงเพียงไร แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ละสายตาจากเย่เย่เลยแม้แต่นิด ในฐานะที่พวกเขาเป็นศิษย์แห่งสำนักกระบี่จรัสแสงแล้ว หากต้องอยู่ต่อหน้าศัตรู ไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็จะไม่ถอยหนีเป็นอันขาด
ถึงตอนนี้กำลังของพวกเขาทั้งสองจะลดลงไปมากจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกว่าเสียเปรียบแต่อย่างใด อย่างน้อยๆก็เพราะว่ามีกัน 2 คน ย่อมต้องเหนือกว่าเย่เย่อยู่แล้ว
เฉินเทียนเฟิงที่มองสถานการณ์อยู่ด้านหลังของเย่เย่ตลอดนั้นตัดสินใจกลับเข้ามาช่วยเย่เย่ในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยแสงแห่งความหวังในการมีชีวิตรอดที่ส่องประกายออกมาจากตัวเย่เย่ ซึ่งเหล่าศิษย์ในสำนักอัคคีเองก็ให้ความสนใจกับเย่เย่อยู่เช่นกันแม้ว่าตนเองจะกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะความแข็งแกร่งของเย่เย่เองยังดังความสนใจของสำนักกระบี่จรัสแสงอีกหลายคนให้มารวมที่เขา ไม่ว่าการต่อสู้ทางฝั่งเย่เย่จะจบลงเช่นไร แต่มันกลับกลายเป็นการต่อสู้ที่น่าติดตามไปเสียแล้ว
เย่เย่สามารถรับมือนักสู้ฝีมือดีของสำนักกระบี่จรัสแสงได้ถึง 2 คนพร้อมๆกันด้วยดาบเล่มเดียว ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ดาบยาวที่ตีจากเหล็กกล้าถูกตวัดไปข้างหน้า และทันใดนั้นเองสายลมที่รุนแรงดุจศรที่ถูกยิงออกมาด้วยแรงเหนี่ยวมหาศาลก็พุ่งเข้าทิ่มแทงร่างของทั้งสองอย่างรวดเร็ว สายลมเหล่านั้นแหลมคมเหมือนปลายศรจริงๆ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคลื่นการโจมตีเท่านั้น หาใช่การฟาดฟัดด้วยปลายดาบไม่!
*เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!*
เสียงของใบดาบเหล็กที่ถูกยกขึ้นปกป้องตนเองจากการโจมตีที่ไร้ซึ่งรูปร่างนี้ดังเหมือนกับสายลมที่พัดเข้ามาเป็นเหล็กไปแล้วเสียจริงๆ แม้การโจมตีกว่าครึ่งจะถูกปัดป้องไว้ได้ แต่หากสิ่งที่พลาดมานั้นถูกเรียกว่าการโจมตี นั่นหมายถึงแม้จะแค่ครั้งเดียวก็ทำให้เกิดบาดแผลได้แล้ว ดังนั้นในตอนนี้ร่างกายของพวกเขาทั้งสองจึงเปี่ยมไปด้วยบาดแผลที่ถูกอากาศบาดเต็มไปหมดจนเลือดท่วมไปทั้งตัว
“เจ้าบ้านี่! ไปตายซะเถอะ!”
1 ในชาย 2 คนนั้นตัดสินใจสวนกลับการโจมตี เขาตั้งใจจะฆ่าเย่เย่ด้วยมีดของเขาในขณะที่ชายอีกคนก็รับหน้าที่เป็นผู้ตาม พวกเขานั้นไม่ยอมเป็นฝ่ายรับการโจมตีเพียงฝ่ายเดียวแน่!
ด้วยความที่ทั้งสองนั้นได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเนิ่นนาน มันทำให้พวกเขารู้ใจกันดี ทว่าในครานี้ร่างกายของพวกเขามันบอบช้ำกว่าปกติอยู่ไม่น้อยเลย มันจึงทำให้ความเร็วของพวกเขาลดลงไปอย่างมาก มากในระดับที่เย่เย่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวสอดประสานนี่ได้
เห็นดังนั้นเย่เย่ก็ไม่ลังเลหรือเกรงกลัวที่จะแกว่งดาบลงมาใส่ทั้งสองอย่างรุนแรงอีกครั้ง และครั้งนี้มันแรงจนแขนขวาที่ถือดาบไว้ยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน
ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์มันจะเลวร้ายลงเรื่อยๆเช่นนี้ โดยเฉพาะทางฝั่งของสำนักกระบี่จรัสแสง ดูเหมือนว่าหากพวกเขายังดึงดันให้สถานการณ์มันทอดยาวต่อไปเช่นนี้ ฝ่ายที่จะเพลี่ยงพล้ำก่อนจะต้องเป็นพวกเขาแน่ๆ ดังนั้นต้องมีใครสักคนที่เข้าไปจัดการกับเรื่องนี้โดยเร็ว
ขณะที่ศิษย์สำนักกระบี่จรัสแสงทั้งสองคนกำลังปะทะกับเย่เย่อยู่นั้น ตัวพวกเขาก็เกิดพลาดท่าเพราะพิษบาดแผลที่เกิดก่อนหน้าและถูกเย่เย่ฆ่าตายไปในที่สุด
แรงปะทะครั้งสุดท้ายทำเอาดาบของทั้งคู่หลุดลอยออกไปบนอากาศ เท่านั้นยังไม่พอ คลื่นดาบที่เกิดจากการปะทะนั้นยังทำเอาพื้นที่โดยรอบเกิดความยุ่งเหยิงไปหมดอีกด้วย
ผืนปฐพีที่หนาแน่นเบื้องล่างเกิดรอยแตกร้าวมากมาย ต้นไม้ใบหญ้าเองก็ถูกลูกหลงจากการโจมตีหักโค่นไม่ชิ้นดีอีกต่างหาก การล้มระเนระนาดของต้นไม้เหล่านั้น ยามที่มันตกลงไปบนผืนดินมันก็ก่อให้เกิดกลุ่มฝุ่นควันลอยคลุ้งไปในอากาศราวกับพายุทรายกำลังก่อตัวขึ้นมา
สิ่งสุดท้ายที่ค่อยๆล้มลงไปบนพื้นต่อจากต้นไม้ก็คือชายทั้ง 2 ที่ประมือกับเย่เย่ แววตาของเขาดูไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไปขณะที่ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยร่างไร้วิญญาณ
“ตอนนี้ล่ะ!”
เย่เย่ไม่ลังเลที่จะใช้กระบวนท่ากลืนสวรรค์ในทันที และวินาทีที่ใช้นั้นเขาก็เห็นพยัคฆ์ตัวใหญ่กับหมาป่ากระโจนออกมาจากร่างของคนทั้งสองที่เพิ่งจะล้มลงไปเข้ามายังปากของเขาเอง
หนอนที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของ เย่เย่นั้นดูเหมือนจะกำลังดีใจหลังจากที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอันหอมหวานของจิตวิญญาณอื่นๆที่หลั่งไหลเข้ามาและมันไม่ลังเลหรือรอช้าที่จะเข้าไปกลืนกินราวกับเป็นอาหารอันโอชะเลย
หนอนตัวกระจิดเริ่มเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าตัวมันในตอนนี้มีขนาดเท่าๆกับงูตัวหนึ่งแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นร่างกายของเขายังรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่มันไหลเวียนเข้มข้นมากขึ้นอีกด้วย ราวกับว่าความแข็งแกร่งมันกำลังเอ่อล้นออกมา มันต้องแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่าปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แล้ว!
ความรู้สึกที่เหมือนถูกห่วงรัดตรึงพลังไว้นั้น ในตอนนี้ห่วงดังกล่าวได้ถูกทลายลงแล้ว และด้วยความที่นี่มันเป็นร่างกายของเขา เขาย่อมรู้ดีที่สุดว่ามันรู้สึกอย่างไร เย่เย่รู้สึกได้ว่า หากเขารีบกลับไปฝึกฝนวรยุทธ์ต่อในตอนนี้ล่ะก็ เขาต้องพัฒนาฝีมือไปได้อีกมากเลยแน่ๆ
“แข็งแกร่งจริงๆ! ไม่คิดเลยว่าผลของมันจะทำได้ถึงขนาดนี้!”
พลังที่เอ่อล้นนี้ทำเอาหัวใจของเย่เย่มันพองโตไปด้วยความสุข รวมถึงผลลัพธ์ที่เกินกว่าที่คาดของกระบวนท่ากลืนสวรรค์นี่อีก ดูเหมือนว่าเย่เย่จะค้นพบเส้นทางที่จะทำให้เขาสามารถมีวรยุทธ์เก่งกาจเหนือคนอื่นได้ในเวลาอันสั้นแล้ว ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่นี้มันเหมือนเครื่องชักจูงอันหอมหวานเสียจนเขาไม่รู้ตัวเลยว่าที่มุมปากนั้นกำลังมีหยดน้ำสีใสไหลออกมาอยู่
ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนักสู้ทั้งสองที่เขาเพิ่งจะฆ่าไปนั้นจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากนัก เป็นเพียงสัตว์วิญญาณระดับทั่วๆไป แต่ถ้าหมั่นฝึกฝนจนจิตวิญญาณเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นและก้าวเข้าสู่ระดับจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้แล้วล่ะก็ เย่เย่คงไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายดายแบบนี้
เมื่อตอนที่กำลังกลืนกินจิตวิญญาณของนักสู้ทั้งสองอยู่นั้น มีเพียงเย่เย่คนเดียวเท่านั้นที่จะเห็นภาพของเสือตัวใหญ่และหมาป่าตัวนั้น
คนอื่นๆจะไม่สามารถเห็นได้ว่าจิตวิญญาณของชายทั้งสองกำลังถูกกลืนกินอยู่ สิ่งที่พวกเขาเห็นจะเป็นเพียงเย่เย่ที่กำลังแสดงสีหน้ามีความสุขสุดๆออกมาอยู่หลังจากที่ได้กำจัดศัตรูไป
ไม่ไกลจากเย่เย่นัก จางฮ่าวผู้ที่เป็นหัวหอกให้กระบี่จรัสแสงก็กำลังแสดงสีหน้าย่อยยับออกมาอยู่ ซึ่งผิดกับเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆในสำนักอัคคีที่กำลังกล่าวสรรเสริญเย่เย่
“โอ้ ท่านผู้เจริญ! ได้โปรดช่วยพวกข้าจนกว่าจะรอดพ้นจากอันตรายด้วยนะขอรับ!”
เฉินเทียนเฟิงตะโกนบอกเย่เย่จากที่ไกลๆ น้ำเสียงของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้ารับของจากเจ้ามาแล้ว ข้าก็จะช่วยเจ้าจนกว่าจะจบงานนั่นแหละ!”
เย่เย่นั้นไม่สามารถลืมรสอันหอมหวานของจิตวิญญาณของผู้อื่นได้ลงเสียแล้ว เขาส่งเสียงหัวเราะเบาๆขณะที่ทะยานเข้าใส่พวกสำนักกระบี่จรัสแสงอย่างรวดเร็ว คราวนี้มันเป็นทีของเย่เย่แล้วที่จะแสดงสีหน้าเหี้ยมโหดออกมาบ้าง
จางฮ่าวที่กำลังต่อสู้กับเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆรีบคิดหาทางรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ในทันที ไม่นานนักเขาก็เอ่ยขึ้นกับเหล่าคนของเขา “เจ้า คอยรับมือเจ้าพวกอัคคีนี่ไว้ ห้ามปล่อยให้พวกมันหนีรอดไปได้เด็ดขาด! ส่วนที่เหลือตามข้ามา พวกเราจะไปจัดการไอ้เด็กนั่นกันก่อน!”
แม้ว่าเฉินเทียนเฟิงจะพยายามหยุดคนเหล่านี้ไว้แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะตัวเขานั้นเหนื่อยเกินไป ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เขาและพรรคพวกต้องตกระกำลำบากจากกับดักอันแสนแยบยลของพวกกระบี่จรัสแสงมานาน มันเลยทำให้ในตอนนี้เขาไม่เหลือแรงที่จะช่วยเหลือเย่เย่แล้ว
เหล่ากระบี่จรัสแสงที่นำโดยจางฮ่าวพุ่งเข้าหาเย่เย่อย่างรวดเร็วด้วยปฏิญาณที่จะฆ่าเย่เย่ให้ได้
“เลือกวันตายได้ดีนี่! ข้าจะฆ่าเจ้าให้สมใจอยากเอง!”
แววตาของเย่เย่ไม่ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเขาขณะที่รับมือกับจางฮ่าวและพรรคพวกนั้น มันคือการที่เขาค่อยๆชักนำคนเหล่านี้ให้เข้าไปในป่าลึกมากขึ้นเรื่อยๆ