บทที่ 67
ฆ่าไม่ได้
เพราะในสายตาของเย่เย่ จินหยูนั้นไม่มีทางมาญาติดีกับเขาแน่ๆ รวมถึงศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนทั้ง 4 คนนั้นเองก็ไม่ได้ดูเป็นคนดีกว่าจินหยูเสียเท่าไหร่เลย เช่นนั้นเย่เย่จึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไร
“เจ้าควรจะดีใจที่ได้มีชีวิตอยู่ยืนยาวถึงเพียงนี้! วันนี้ พวกข้ามาในนามของปราการหลิงหยวนเพื่อชำระแค้นที่เจ้าได้ก่อไว้ เพราะงั้นหากเจ้ามีสิ่งใดจะพูดก่อนตาย ก็รีบๆพูดมาซะ!”
ทันทีที่จินหยูโบกมือ เหล่าศิษย์ทั้ง 4 ก็รีบเข้าไปล้อมรถเกวียนของเย่เย่เอาไว้ จินหยูที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเย่เย่นั้นมองตรงมาทางเย่เย่อย่างเกรี้ยวกราด เห็นได้ชัดเลยว่าเขารอเวลานี้มานานแล้ว
ก่อนที่จะเริ่มงานชุมนุมหลิงหยวน ถึงแม้ว่าจินหยูจะรู้สึกจงเกลียดจงชังเย่เย่เข้าเส้นขนาดไหน แต่เขาก็ต้องทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับงานชุมนุมหลิงหยวนก่อน เพราะงั้นเขาจึงอดทนรอมาเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ยินถึงผลการประลองของ เย่เย่ในรอบแรก ไม่เพียงแค่เขาหากแต่เป็นศิษย์ทุกๆคนของปราการหลิงหยวนต่างเห็นตรงกันว่าไม่สามารถนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ได้อีกแล้ว
ดังนั้น แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเพื่อที่จะคว้าชัยชนะในงานชุมนุมหลิงหยวนได้ แต่ศักยภาพของเย่เย่ที่ได้เห็นในรอบแรกมันก็ทำให้พวกเขาคิดว่าหากปล่อยให้ เย่เย่รอดมาได้ในรอบที่สอง ความสูญเสียจะมากกว่าเดิมอีกเยอะ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อยู่เฉยๆอีกต่อไป
ในเมื่อมองเห็นแล้วว่าเย่เย่นั่นแหละที่เป็นปัญหาที่สุดไม่ใช่คู่แข่งคนอื่นๆ แม้จะไม่ได้รับคำสั่งมาจากโจวซง แต่ศิษย์เหล่านี้ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้เย่เย่มีชีวิตอยู่รอดได้อีก
นำทัพโดยจินหยู พวกเขารวมกลุ่มกับศิษย์ผู้ที่มีความสามารถในระดับเทพยุทธ์เหมือนๆกันจากปราการ หลิงหยวนมาเพื่อฆ่าเย่เย่โดยเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเย่เย่นั้นเป็นปัญหาแก่พวกเขาขนาดไหน แม้ว่าจินหยูนั้นจะโกรธแค้นเย่เย่ขนาดไหน แต่เขาก็รู้ดีว่าฝีมือของเย่เย่นั้นไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอย ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะพุ่งเข้าใส่และให้เหล่าศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนล้อมเย่เย่ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เย่เย่หนีไปไหนได้
“ไม่มีคำสุดท้ายอะไรทั้งนั้นแหละ แต่พวกเจ้าแน่ใจแล้วใช่หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าจินหยูและคนอื่นๆแสดงเจตจำนงไม่หวังดีออกมากันหมดแล้วผ่านแววตา เย่เย่จึงไม่คิดจะปิดบังอะไรเช่นกัน “ว่าสรุปคนที่ตายจะเป็นฝั่งข้า หรือ พวกเจ้า?”
สิ้นเสียงเย่เย่ ร่างของเขาก็ลอยลิ่วลงมาจากรถเกวียนและเข้าโจมตีจินหยูในทันที
“หนอยแน่! แม้แต่จะตายแล้วก็ยังไม่วายดื้อด้านอีกงั้นเหรอ!”
จินหยูมองเย่เย่ด้วยความดูถูกก่อนจะรีบขยับตัวและหลบการโจมตีของเย่เย่อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มดำเนินแผนล้อมเข้าโจมตีเป็นค่ายกลมนุษย์ด้วยเหล่าศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนที่ล้อมเย่เย่อยู่อย่างรวดเร็ว
“นี่เตี๊ยมกันมาแล้วเหรอเนี่ย? เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะตายกันแน่”
ในทันทีที่จินหยูเริ่มทำตามแผน เย่เย่ก็มองออกเลยว่านี่คือสมบัติอันล้ำค่าประจำปราการหลิงหยวน กระบวนท่า หลิงหยวนเคลื่อนทัพ!
หลิงหยวนเคลื่อนทัพนั้นถือเป็นกระบวนท่าที่นำทั้งการโจมตีและการเคลื่อนไหวมาผนึกรวมไว้ด้วยกัน ซึ่งเพราะท่านี้ จินหยูจึงสามารถเอี้ยวหลบการโจมตีของเย่เย่ได้อย่างง่ายดาย แต่อย่างไรก็ตาม หลิงหยวนเคลื่อนทัพนั้นจะแข็งแกร่งที่สุดเมื่อใช้ควบคู่กับค่ายกลมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเหล่าเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 5 คนสามารถตั้งค่ายกลมนุษย์ได้ ในหลิงเฉิงแห่งนี้ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยืนหยัดออกจากกระบวนท่านี้ไหว
ทว่าเย่เย่นั้นได้ตำราหลิงหยวนเคลื่อนทัพมาจากชายชุดดำก่อนหน้าแล้ว และเขาเองก็จำเนื้อหาต่างๆในตำราเล่มนั้นไปหมดแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นไพ่ตายของจินหยูน่ะ ก็แค่เรื่องตลกในสายตาเย่เย่ เพียงแค่เขาไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขารับมือไหว ก็เลยทำตัวเหมือนยังไม่รู้อะไรต่อไป
จินหยูและพรรคพวกสลับกันโจมตีเย่เย่อย่างจากรอบด้าน ซึ่งอันที่จริงฝีเท้าของพวกเขานั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆด้วยขณะที่โจมตี ด้วยสิ่งนี้มันเลยทำให้พวกเขาสามารถโจมตีเย่เย่ได้รุนแรงมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
*ผั้วะ! ผั้วะ! ผั้วะ!*
หลังจากที่โจมตีซ้ำๆอยู่พักใหญ่ ที่หน้าผากของเย่เย่ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา อันเนื่องมาจากความเหนื่อย แต่ทางฝั่งของจินหยูและคนอื่นๆนั้นยังคงโจมตีต่อเนื่องเรื่อยๆอย่างลื่นไหล ชัดเจนเลยว่าคนพวกนี้ไม่เพียงทำงานเข้าขากัน แต่ยังมีทักษะมากเป็นพิเศษเพื่อโค่นเย่เย่ด้วย
“ตอนนี้ล่ะ!”
เมื่อเห็นว่าเย่เย่เปิดช่องโหว่แล้ว จินหยูก็รีบสั่งให้เหล่าศิษย์คนอื่นๆของปราการหลิงหยวนเข้าโจมตีเย่เย่พร้อมกันทันที และตัวเขาเองก็เปรียบเสมือนหัวศรที่คอยพุ่งเข้าไปปิดท้ายใส่ เย่เย่ด้วยความเกรี้ยวกราดในแววตา
“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว!”
แต่แล้ว เย่เย่ที่ดูเหมือนจะตกอยู่ในความเสียเปรียบก็กลับเงยหน้ามองขึ้นมาอีกครั้งได้อีกครั้งและพบว่าจินหยูนั้นกำลังเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ
*ตู้ม!*
ในชั่วพริบตา เย่เย่นั้นใช้ฝ่ามือคลื่นพิโรธของเขาอัดสวนเข้าเต็มอกจินหยูก่อนที่อีกฝ้ายจะได้ถึงตัว ซึ่งด้วยแรงปะทะของร่างกายและฝ่ามือนั้นมันทำเอาจินหยูถึงกับกระอักเลือดออกมาทันที
*พรู่ด?!*
ร่างของจินหยูทรุดลงไปกับพื้น ซึ่งเมื่อเหล่าศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็รีบตรงเข้าไปยังจุดที่จินหยูล้มอยูและคอยกันไม่ให้เย่เย่ลงไม้ลงมือไปมากกว่านี้
ทว่าเย่เย่ก็เหมือนรู้อยู่แล้วด้วยสัญชาตญาณว่าคนพวกนี้ต้องมาปกป้องจินหยูแน่ เพราะงั้นเขาจึงจับศิษย์ทั้งสองที่อยู่ใกล้มือเหวี่ยงออกไปข้างๆอย่างรวดเร็วจนทั้งสองคนนั้นปะทะกันกลางอากาศและส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาท่ามกลางความมืดที่ปกปิดร่างของพวกเขาไว้
ทำไมทำมามันกลายเป็นว่าเพียงชั่วอึดใจเดียว เย่เย่ก็สามารถชนะศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนไปได้แล้ว 3 คนรวมไปถึงสามารถทำลายกระบวนท่าอันแข็งแกร่งอย่างหลิงหยวนเคลื่อนทัพที่ใช้ท่ามกลางค่ายกลมนุษย์ด้วย นี่มันเหมือนกับว่า เย่เย่รู้ล่วงหน้าเลยว่าจะต้องเจอกับศัตรูแบบไหนบ้าง
พวกเขาแทบไม่เชื่อกันเลยว่าจะต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่เย่เย่เช่นนี้ เพราะงั้นมันเลยทำให้พวกเขาอยู่ในสภาวะงุนงงกันหมด
“ได้เวลาไปชมนรกแล้ว!”
เย่เย่ใช้จังหวะที่ตนได้เปรียบนั้นเริ่มโจมตีเหล่าศิษย์ของปราการหลิงหยวนด้วยกระบวนท่าฝ่ามือคลื่นพิโรธของเขาทีละคนๆ ซึ่งเพียงกระบวนท่าเดียวเขาก็สร้างความวุ่นวายให้แก่คนพวกนี้ได้มากโขแล้ว ไม่เว้นแม้แต่จินหยูที่เลิกล้มความคิดที่จะล้อมเย่เย่แล้ว
“จะไปไหนน่ะ? คิดว่าวิ่งเล่นอยู่ในฝันหรือไง?”
แม้คนอื่นๆจะหนีไปได้ แต่จินหยูนั้นหมดโอกาสแล้ววันนี้ เหมือนดั่งที่เย่เย่พูดไว้ตั้งแต่ต้นว่า ในเมื่อจินหยูกล้านำคนมาเพื่อฆ่าเขา จินหยูก็ควรจะเตรียมใจให้พร้อมแล้วว่าอาจจะต้องโดนฆ่าเช่นกัน
ด้วยอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ มันทำให้จินหยูไม่สามารถวิ่งหนีเย่เย่ได้เร็วนัก อนึ่งเขาเองก็เสียความมั่นใจในตนเองด้วยมันเลยทำให้เพียงไม่นาน เย่เย่ที่เลิกตามคนอื่นและหันมาวิ่งไล่ตามเขาก็สามารถตามตัวเขามาได้ติดๆราวกับว่าจะไม่ให้เขาได้เห็นแสงแรกของวันถัดไปได้อีกแล้ว
“ย-อย่าคิดนะว่าข้าจะยอมให้เจ้าไล่อยู่ฝ่ายเดียวน่ะ!”
ในเมื่อหนีไม่พ้นก็เลยตัดสินใจเลิกล้มที่จะหนี จินหยูหันกลับไปเผชิญหน้ากับเย่เย่ด้วยแววตาที่โกรธเคืองและไม่พอใจ
เพราะอาการบาดเจ็บของเขามันทำให้เขายิ่งวิ่งก็เหมือนยิ่งเป็นการทำร้ายตนเอง และมองว่ายังไงเสียเย่เย่ก็น่าจะตามทัน ดังนั้นสีหน้าของจินหยูจึงกลับมากระวนกระวายเมื่อพบว่าตนเองหมดทางหนีแล้ว ท้ายสุดเขาก็ตัดสินใจที่จะสู้ให้สุดกับเย่เย่ไปเลยด้วยกระบวนท่าลับของเขาที่สามารถดึงพลังทั้งหมดมาใช้ได้ภายในครั้งเดียว
*ซู่ม!*
ร่างของจินหยูเปล่งประกายแสงสีทอง รวมถึงพลังของเขาเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่คือกระบวนท่าลับอันเลื่องลือซึ่งเคยถูกใช้กับเย่เย่มาแล้วครั้งหนึ่ง ‘เพลิงไพรีท่วมพิภพ!’ และด้วยสถานการณ์ครั้งนี้ จินหยูไม่คิดจะแบ่งพลังเอาไว้ส่วนหนึ่งแต่อย่างใด
*ตู้ม!*
ทั้งสองปะทะเข้าหากันรุนแรงจนเกิดเสียงดังระงมก่อนจะกระจายลอยออกไปล้มลงกับพื้นด้วยปากที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งคู่
แต่อย่างไรก็ตาม การโจมตีของจินหยูนั้นถูกซึมซับความรุนแรงด้วยเกราะมังกรเมฆาไปเสียจนความรุนแรงแทบจะหายไปหมดเลย มันเลยทำให้เย่เย่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก กลับกันกับจินหยูที่หลังจากที่ใช้กระบวนท่าลับไปแล้ว พลังของเขาก็ตกฮวบลงไปอยู่ราวๆบั้นปลายจ้าววรยุทธ์เท่านั้น
สีหน้าของเขามันซีด เช่นเดียวกับร่างกายที่สั่นเทา เมื่อเห็นว่าตนนั้นไม่สามารถฆ่าเย่เย่ได้ แววตาของจินหยูก็แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังแล้วรีบคุกเข่าลงไป
“ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! ข้าจะไม่มาระรานเจ้าอีกแล้ว!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย จินหยูก็ตัดสินใจยอมแพ้และขอความเมตตาจากเย่เย่ด้วยการก้มหัวขอร้องด้วยเกียรติทั้งหมดของเขา
ทว่าเย่เย่เพียงแค่ส่ายหน้าและตบเข้าไปที่หัวของจินหยูเท่านั้น
*โผล่ะ!*
หัวของจินหยูแตกกระจายคล้ายลูกแตงโม ของเหลวทั้งขาวทั้งแดงกระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณนั้นจนเกิดเป็นภาพที่น่าสยดสยองขึ้นมา
“ช้าไปแล้วน่า!”
เย่เย่พูดด้วยน้ำเสียงและแววตาอันเยือกเย็น และก่อนที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาจะสูญสลายไป เย่เย่ก็รีบเข้าไปกลืนกินมันด้วยกระบวนท่ากลืนสวรรค์เสียก่อน
ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้เย่เย่จะแทบไม่ได้กินจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มากซักเท่าไหร่ แต่ทุกๆดวงที่ถูกกินนั้นก็ล้วนแต่มีคุณภาพสูงมากๆ เพราะเหตุนี้เองมันเลยทำให้อสรพิษตัวน้อยในกายเขาไม่ได้เติบโตช้าลงเลยแต่อย่างใด จากตอนแรกตัวเท่านิ้ว ตอนนี้มันตัวขนาดพอๆกับท่อนแขนของผู้ชายแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นเลยว่ามันเองก็แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมากเช่นกัน
นอกจากนั้นเย่เย่ยังได้พลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ช่วยสนับสนุนการฝึกเขาด้วย ดังนั้นแล้วตอนนี้เย่เย่อยู่ห่างจากการเป็นจุดสูงสุดของเทพยุทธ์เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
หลังจากที่ฆ่าจินหยูได้แล้ว เย่เย่ก็กลับไปยังรถเกวียนของเขาและกลับไปยังหอการค้าหยูเย่ตามแผนเดิมราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาทั้งสิ้น ต่อจากนี้เขาจำเป็นต้องเก็บเนื้อเก็บตัวฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในรอบที่สองต่อไป
ทางด้านของศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนที่หนีรอดกลับไปได้นั้น พวกเขาก็รีบรายงานความล้มเหลวในการเข้าโจมตีเย่เย่ให้แก่เบื้องบนของปราการหลิงหยวนฟัง ซึ่งปราการ หลิงหยวนก็รีบส่งคนเพื่อไปช่วยเหลือจินหยู ทว่าเมื่อพวกเขาไป สิ่งเดียวที่พบก็คือศพไร้หัวเท่านั้น
เช้าวันต่อมา ทั่วทั้งหลิงเฉิงต่างก็ต้องตกอกตกใจกับข่าวที่แพร่สะพัดนี้ เมื่อเทียบกับเรื่องเมื่อตอนที่หลินหยูฉีถูกฆ่าตายนั้นเรียกได้ว่าคนละระดับกันเลย อิทธิพลของจินหยูนั้นกระจายไปครอบคลุมทั้งเมือง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติหากการตายของเขาจะมีผู้ให้ความสนใจมากกว่า ซึ่งทางด้านฝ่ายใหญ่ๆอีก 4 ฝ่ายเองต่างก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ว่าทางปราการหลิงหยวนจะดำเนินการอย่างไรต่อ แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ระดับนี้พวกลูกศิษย์ลูกหาในปราการแห่งนี้ไม่กล้าทำอะไรเองแน่ๆ
ทันทีที่เรื่องนี้เข้าถึงหูโจวซง เขาก็โกรธเคืองเป็นอย่างมาก แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรทันทีได้เช่นกัน ทำไม่ได้แม้จะส่งคนไปจัดการหอการค้าหยูเย่เพื่อล้างแค้นให้จินหยู เพราะดูเหมือนว่าตัวเขาจะยังพัวพันกับปัญหาใหญ่หลายๆอย่างอยู่ ซึ่งปัญหานี้มันใหญ่มากพอที่จะทำให้งานชุมนุมหลิงหยวนล่มได้เลยหากไม่คอยดูแลเอาไว้ แต่เพราะที่นี่คือปราการหลิงหยวน ถึงเจ้าปราการจะไม่ว่าง แต่ก็ยังมีคนอื่นพอให้ใช้งานได้อยู่ โจวซงสั่งให้เฉินเทียนหนาน ผู้ที่ซึ่งเป็นหัวหน้าของเหล่าศิษย์ทั้งปวงในปราการหลิงหยวน ที่ในตอนนี้คอยเฝ้าดูการประลองต่างๆในงานชุมนุมหลิงหยวน ให้ไปฆ่าเย่เย่ได้อย่างเปิดเผยเพื่อที่จะได้กอบกู้ชื่อเสียงของปราการหลิงหยวนกลับคืนมา
เฉินเทียนหนานนัน้ไม่ใช่แค่เพียงหัวหน้าศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนเท่านั้น แต่เขายังมีหน้าที่เป็นรองเจ้าแห่งปราการหลิงหยวนอีกด้วย เมื่อ 2 ปีก่อน เขานั้นได้ประกาศออกไปแล้วว่าจะเลิกออกมายุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก เพราะงั้นเหล่าศิษย์รุ่นหลังๆที่เข้ามาภายในปราการหลิงหยวนจึงไม่ได้เจอเขาอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อกังขาหากจะบอกว่าเฉินเทียนหนานนั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่คอยเชิดหน้าชูตาให้ปราการหลิงหยวนได้ เพราะแม้แต่จินหยูหรือซูฉีเจี่ยที่เข้ามาก่อนเขาก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับเฉินเทียนหนาน
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่อยู่ในระดับสูงมากๆเสียด้วย ซึ่งเป็นที่อิจฉาของเหล่าศิษย์ภายในปราการหลิงหยวน นั่นคือ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาคือรูปแบบพิเศษ มันเป็นเสือขาวตัวใหญ่ที่อยู่เหนือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เป็นสัตว์ตัวอื่นๆ และด้วยความเกรี้ยวกราดของมันนี้ เวลาเฉินเทียนหนานต้องต่อสู้ มันจะช่วยเพิ่มพลังในการโจมตีให้แก่เขาเป็นอย่างมาก
แม้แต่โจวชงเองที่ได้เลื่อนขึ้นเป็นมหาเทพยุทธ์แล้วก็ยังไม่สามารถทัดเทียมกับเฉินเทียนหนานได้ในแง่ของพลังโจมตีนี้เลย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สถานะของเฉินเทียนหนานในปราการ หลิงหยวนไม่ธรรมดาดังที่เขาเป็นมาตลอด
โจวชงตัดสินใจส่งเฉินเทียนหนานเพื่อไปขัดขวางเย่เย่ เขานั้นรู้ดีถึงสิ่งที่ควรต้องทำ เพราะงั้นตราบใดที่ปราการ หลิงหยวนไม่สามารถประกาศสงครามกับหอการค้าหยูเย่ได้โดยตรง แม้คนอื่นๆจะมองว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นไม่ค่อยจะดีกันหมดแล้วก็ตาม การกำจัดเย่เย่จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้หอการค้าหยูเย่ไม่สามารถต้านทานปราการหลิงหยวนได้อีก และเมื่อไหร่ที่ตอนนั้นมาถึง ปราการหลิงหยวนก็จะลงมือขยี้หอการค้าหยูเย่เมื่อไหร่ก็ได้