บทที่ 7
การพัฒนาร่างจากการกลืนกิน
จางฮ่าวนั้นคิดว่าเย่เย่ไม่สามารถยืนหยัดได้อย่างแน่นอนถึงได้เอาแต่ถอยเข้าป่าตลอดแบบนี้ และเมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงตามเย่เย่ไปโดยไม่ได้สงสัยอะไร
“ไอ้หนู จะหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”
สีหน้าของจางฮ่าวผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักกระบี่จรัสแสงแสดงออกถึงความภาคภูมิใจที่สามารถไล่ต้อนอีกฝ่ายได้ หากไม่ติดว่าเขาดำรงตำแหน่งอะไรอยู่ ณ ตอนนี้ ป่านนี้เขาคงแสดงสีหน้าเหยียดหยามเย่เย่ไปแล้ว
สิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดภายในหัวจางฮ่าวตอนนี้ก็คือ เขาต้องฆ่าเย่เย่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็กลับไปจัดการกับพวกสำนักอัคคีที่ด้านนอกป่านั้นให้เสร็จๆไป
“เฮ้ เจ้าว่าใครกำลังหนีนะ?”
หลังจากที่เห็นว่าล่อพวกกระบี่จรัสแสงเข้ามาในป่าลึกมากจนไม่เห็นพวกเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆแล้ว ใบหน้าของเย่เย่ก็คลี่ยิ้มน้อยๆออกมา จากนั้นร่างของเขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาจางฮ่าวและพรรคพวกทันที
“อ๊ะ?!”
เหล่าผู้คนจากสำนักกระบี่จรัสแสงต่างพากันตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า จากนั้นไม่นานที่ท้ายขบวนของผู้ที่หลงเข้ามาในป่าแห่งนี้ก็เกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้น ซึ่งเมื่อพวกเขาหันไปมองก็พบว่าเย่เย่ที่หายไปนั้นได้ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของแถวแทนพร้อมกับเริ่มที่จะเข่นฆ่าศิษย์สำนักทีละคนคน
เศษผ้าที่เย่เย่ซื้อมาจากหมวดของชำก่อนหน้านั้นมีความสามารถในการพรางกาย แต่เพราะมันเล็กเกินไปจึงไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงในคราแรก ทว่าเย่เย่ยอมจ่ายเพิ่มอีก 5 เหรียญจักรวาลเพื่อที่จะซื้อมันเพิ่มอีก 5 ชิ้น ในตอนนี้เศษผ้าดังกล่าวมันกลายเป็นผ้าคลุมล่องหนที่มีขนาดพอดีที่จะพรางตัวเขาทั้งตัวแล้ว
ยามที่ผ้าคลุมล่องหนนี้ถูกใช้งาน ใครก็ตามที่ไม่ได้แข็งแกร่งเกินกว่าเย่เย่มากนักก็จะไม่สามารถจับสัมผัสกลิ่นอายอันเจือจางลงเย่เย่ได้เลย พวกเขากลายเป็นเพียงหมูในอวยให้ เย่เย่ไล่ฆ่าได้อย่างสบายใจ
ตอนนี้มีศิษย์สำนักกระบี่จรัสแสงหลายคนที่พลาดท่าให้เย่เย่และล้มตายลงไปหลังส่งเสียงร้องออกมาเหมือนแมลง ทุกๆครั้งที่พวกเขาตาย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาก็จะถูกเย่เย่กลืนกินไปตามลำดับด้วยจนตอนนี้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เย่ที่แต่เดิมเป็นงูตัวน้อยนั้นกำลังเติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่น่ากลัวด้วย
“อ๊ากกกก!”
“ช-ช่วยข้าด้วย!!”
“เจ้านั่นเป็นผีเหรอ! หนีเร็ว!”
“ก-เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่น่ะ!!”
เย่เย่กลายเป็นยมทูตในสายตาคนเหล่านี้ไปเสียแล้ว เขาคอยคร่าชีวิตของศิษย์สำนักกระบี่จรัสแสงทีละคนคนและทิ้งไว้เพียงเสียงร้องสุดท้ายของผู้คนให้ระงมอยู่บนผืนป่า
ไม่ว่าเย่เย่จะทำอะไรก็ตาม การกระทำทุกอย่างของเขานั้นไม่ทิ้งไว้ซึ่งกลิ่นอายอย่างสมบูรณ์ และทุกๆครั้งที่เขาปรากฏตัว มันจะเป็นด้านหลังของใครสักคนหนึ่งที่สามารถเข้าประชิดได้ จนในที่สุดก็เหลือเพียงจางฮ่าวแล้วเท่านั้น
“จ-เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือเปล่าน่ะ…”
น้ำเสียงของจางฮ่าวนั้นแสดงออกถึงความหวาดกลัวออกมาชัดเจน แววตาของเขายามที่เห็นเย่เย่นั้นไม่ต่างอะไรกับเห็นผีตอนกลางวันเลย แต่เพราะทางฝั่งเย่เย่นั้นขี้เกียจที่จะอธิบายอะไรให้มันมากความ ดาบเล่มยาวของเย่เย่ที่เป็นเหล็กสีดำสนิทจึงถูกยกขึ้นและฟาดฟันลงมาทันที
“อย่าดูถูกกันนะเว้ย!”
ด้วยความกลัวตายแบบสุดๆขีด จางฮ่าวไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขารีบเค้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาออกมาจนทำให้ผิวของเขาแข็งแกร่งดุจหิน ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าโจมตีเย่เย่ด้วยมีดดาบในมือเช่นกัน
เพราะจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาคือหินผา ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับปกติที่เป็นสัตว์ต่างๆนานา ดังนั้นแล้วการกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสมที่จะช่วยให้เขารับมือเย่เย่ได้
ทว่ามันยังไม่เพียงพอ นั่นก็เพราะดาบเหล็กดำในมือของเย่เย่นั้นมันอยู่ในระดับที่เหนือกว่าสรรพาวุธใดๆในยุคนี้ไปแล้ว หากจะบอกว่ามันสามารถผ่าจางฮ่าวที่กระตุ้นพลังออกมาแล้วได้อย่างง่ายดายก็ไม่ใช่อะไรที่เกินจริงไปเสียทีเดียว
*ตู้มมม!*
ยามที่ดาบสองเล่มปะทะซึ่งกันและกัน มวลอากาศรุนแรงก็ระเบิดออกมาทำให้ทั่วทั้งป่าใหญ่แห่งนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นมา
เย่เย่ถอยกลับและคราวนี้จางฮ่าวไม่กล้าไล่เขาอีก แต่เพราะการที่อีกฝ่ายไม่ยอมไล่มันเลยกลายเป็นว่าร่างกายของเขานั้นถูกตัดขาดราวกับเป็นต้นไม้เสียอย่างนั้น
“เอ๊ะ?”
ทั้งๆที่ด้านหลังของเขาไม่มีใครอยู่แท้ๆ แต่ดาบเหล็กดำของเย่เย่ก็ยังสามารถเข้ามาผ่าช่วงเอวของเขาจนขาดสะบั้นจากด้านหลังได้ ครั้นเมื่อหันกลับมายังเย่เย่ที่ยืนอยู่ เขาก็พบเพียงสีหน้าที่ไร้เยื่อใยของเย่เย่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่แสนเยือกเย็นเท่านั้น
*ตึง!*
ส่วนบนของจางฮ่าวที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวนั้นค่อยๆร่วงลงไปกองกับพื้น จากนั้นจิตวิญญาณแห่งหินผาก็ถูก เย่เย่กลืนกินตามไปอีกทีหนึ่ง
หลังจากที่งูน้อยในร่างกายของเขาได้กลืนกินจิตวิญญาณของคนอื่นๆไปจนหมดแล้ว เย่เย่ที่สีหน้าไร้ซึ่งความสงสารใดๆทั้งสิ้นนั้นก้มลงไปปลดทรัพย์เหล่าซากศพตรงหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกจากป่าแห่งนี้ไป
ที่ด้านนอกป่านั้น เมื่อเหล่าลูกศิษย์ที่เหลือของสำนักกระบี่จรัสแสงเห็นเย่เย่ปรากฏตัวขึ้นมาโดยไร้วี่แววของคนอื่นๆที่วิ่งตามเข้าไปโดยเฉพาะจางฮ่าว พวกเขาก็เข้าใจได้ทันทีแล้วว่าคนเหล่านั้นถูกฆ่าไปหมดแล้ว!
“ป-เป็นไปไม่ได้?!”
“หนีเร็ว! หนีจากที่นี่! เจ้าหนูนี่ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว!”
“ใช่แล้ว! รีบหนีเร็วเข้า!”
พวกเขาไม่สนใจพวกสำนักอัคคีที่เหลือแล้วว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจก็คือชีวิตของตนเองเท่านั้น
ทว่าเฉินเทียนเฟิงและพรรคพวกของเขาเองก็ไม่ยอมให้คนเหล่านี้สามารถทำได้ดั่งใจฝัน ทุกๆคนร่วมกันจัดการลูกศิษย์ของสำนักกระบี่จรัสแสงทั้งหมดในขณะที่เย่เย่เข้ามาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ในเวลาไม่นานนัก ในตอนนี้ไม่เหลือศิษย์สำนักกระบี่จรัสแสง ณ ที่นี้อีกต่อไปแล้ว
นักสู้ฝีมือดีมากมายของกระบี่จรัสแสงนั้นล้วนถูกฆ่าตายด้วยเงื้อมมือของเย่เย่ไปจนหมด และระหว่างที่เย่เย่กำลังบอกให้เฉินเทียนเฟิงกับพรรคพวกฟังว่าพวกกระบี่จรัสแสงรวมถึงตัว จางฮ่าวถูกฆ่าตายไปแล้วนั้น เขาก็ค่อยๆกลืนกินจิตวิญญาณของศัตรูที่ล้มตายอยู่ใกล้ๆไปด้วย
เหตุผลที่เย่เย่ต้องล่อให้จางฮ่าวและลูกน้องตามเข้าไปในป่าก็เพราะตัวเขาไม่อยากให้เฉินเทียนเฟิงรู้ถึงความลับของเขา ซึ่งเฉินเทียนเฟิงก็ฉลาดที่จะไม่ถามอะไรซอกแซกให้เย่เย่รู้สึกหงุดหงิด
“ฮ่ะๆๆๆ ข้าไม่คาดฝันเลยว่าท่านผู้เจริญจะเป็นผู้ช่ำชองในวรยุทธ์ถึงเพียงนี้ ข้าขอคารวะ! ถ้ายังไงข้าอยากจะสอบถามท่านได้หรือเปล่าว่าท่านร่ำเรียนวิชามาจากที่แห่งใดกัน? แล้วท่านเริ่มเรียนมันตั้งแต่เมื่อใด?”
เฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆต่างอยู่ในอาการยินดีแบบสุดๆที่พวกเขาสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้ พวกเขากล่าวชมเชยก่อนจะเอ่ยถามถึงสำนักที่เย่เย่ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ไว้
“พวกเจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าน่ะก็แค่คนธรรมดาที่ฝึกฝนสิ่งต่างๆด้วยตนเอง ไม่มีสำนักหรือปรมาจารย์คนไหนมาสั่งสอนข้าหรอก”
เย่เย่ไม่อยากจะพูดถึงความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้ และทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากเรื่องไม่คาดฝันหากมีคนล่วงรู้ถึงสิ่งที่ทำให้เขาแข็งแกร่งระดับนี้ไปในตัว การไม่บอกถึงที่มาของพลังจึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกตอบแก่เฉินเทียนเฟิง
“ว-ว่าอย่างไรนะ?! ท่านฝึกมันด้วยตัวท่านเองงั้นเหรอ?!”
ดูเหมือนว่าทุกๆคนจะตกตะลึงกับคำตอบของเย่เย่เป็นอันมากและยิ่งทวีคูณความตะลึงมากขึ้นไปอีกหลังจากสังเกตวัยของเย่เย่ที่ยังเยาว์วัยนัก
“เอาล่ะ งานของข้าที่นี่จบแล้ว ถ้ายังไงข้าคงต้องขอตัว ลาก่อนพวกเจ้าทั้งหลาย”
ด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ เย่เย่จึงรีบกล่าวคำลาเพื่อที่จะเดินเข้าไปยังภูเขาหลี่เทียนต่อ
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเตรียมจะจากพวกเขาไป เฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆที่เพิ่งจะแสดงสีหน้ามีความสุขไปนั้นรีบสลัดสีหน้าเหล่านั้นทิ้งไปทันทีราวกับต้องการจะใช้สีหน้าอันน่าหนักใจรั้งให้เย่เย่อยู่กับพวกเขาต่อก่อน
“ท่านตั้งใจจะเข้าไปในส่วนลึกของเขาหลี่เทียนงั้นหรือ? ถ้ายังไงข้าแนะนำว่าให้ท่านกลับไปกับพวกเราจะดีกว่า เพราะส่วนลึกของภูเขาหลี่เทียนน่ะ ยิ่งลึกมันก็ยิ่งยากที่จะเดินเข้าไปด้วยตัวคนเดียวนะ”
ชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเฉินเทียนเฟิงเอ่ยขึ้นห้วนๆ เขามองเย่เย่ที่ดูไร้ซึ่งความกลัวขณะที่ปากก็พูดออกมาด้วยถ้อยคำที่เหมือนจะดูถูกในฝีมือเย่เย่อยู่
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นความแข็งแกร่งของเย่เย่กันไปแล้วก็จริง แต่สำหรับสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของภูเขาหลี่เทียนนั่นน่ะ น่ากลัวกว่าจางฮ่าวและพวกกระบี่จรัสแสงชนิดที่เทียบกันไม่ติดเลย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคิดว่าเย่เย่ไม่ควรจะเข้าไปลึกกว่านี้ด้วยตัวคนเดียว
“ขอบคุณพวกเจ้ามากๆ แต่ข้ามีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากๆต้องเข้าไปทำ เพราะฉะนั้นข้าจะหันหลังกลับตอนนี้ไม่ได้”
เย่เย่มองไปยังชายร่างใหญ่คนนั้นและเอ่ยตอบด้วยความใจเย็น
“ฮึ่ม! เจ้าคนไม่รู้จักประมาณตน! ถ้าหากเจ้าโดนสัตว์ประหลาดภายในนั้นฆ่าตายล่ะก็ จะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ…”
ชายร่างใหญ่ที่พูดห้วนๆคนนั้นเหมือนจะมีอะไรพูดต่อหากแต่เฉินเทียนเฟิงห้ามเขาไว้ก่อน
“ในเมื่อท่านตั้งใจเช่นนั้นแล้วพวกข้าก็จะไม่ขัดท่านหรอก ถ้ายังไงข้าขอให้ท่านได้ในสิ่งที่ท่านหวังไว้ หากมีโอกาส พวกเราคงได้พบกันอีก”
หลังจากที่เฉินเทียนเฟิงโค้งคำนับให้แก่เย่เย่แล้ว เขาก็หันหน้าแล้วเดินออกจากภูเขาแห่งนี้ไปโดยมีเหล่าลูกศิษย์เดินตามไปกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักกลุ่มคนทั้งหมดก็หายไปจากสายตาของเย่เย่
เย่เย่มองจนกระทั่งคนเหล่านั้นไปกันจนหมดแล้วเขาจึงได้หันกลับไปและเดินตรงเข้าไปยังภูเขาหลี่เทียนต่อดังใจหวัง
“ท่านพี่เฟิง จะปล่อยเจ้านั่นไปจริงๆเหรอ? เห็นๆกันอยู่ว่ามันฆ่าจางฮ่าวกับพวกกระบี่จรัสแสงนั่นได้ด้วยตัวคนเดียวเลยนะ แถมมันยังเสแสร้งแกล้งทำเป็นหลบหน้าพวกเราอีก ข้าว่ามันต้องเก็บซ่อนความลับอะไรไว้แน่ๆเลยพี่เฟิง ยิ่งไปกว่านั้น อัญมณีสีม่วงของพวกเราก็ยังอยู่ในมือมันด้วยนะ!”
ชายที่อยู่ข้างๆเฉินเทียนเฟิงผู้มีร่างกายแข็งแกร่งเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง
“เจ้าเด็กนั่นเอาอัญมณีของฉันไปโดยที่ไม่จ่ายอะไรมาเลย คิดว่าราคาของสิ่งนั้นมันถูกนักหรือไง? ตอนนี้ปล่อยให้มันเหลิงไปก่อน รอพวกเราหายเหนื่อยดีแล้วค่อยคิดบัญชีเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย!”
แววตาของเฉินเทียนเฟิงนั้นดูล้ำลึกเช่นเดียวกับอารมณ์ที่เยือกเย็นไม่ไหวติง ยามที่เหล่าลูกศิษย์คนอื่นๆได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าที่รู้ทันผู้เป็นศิษย์พี่คนนี้ได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่เย่เย่กำลังเดินลึกเข้าไปในเขาหลี่เทียนและพวกเฉินเทียนเฟิงก็กำลังเดินทางกลับไปยังสำนักของตน ชายผู้หนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีดำและมีใบหน้าแสยะยิ้มก็ค่อยๆปรากฏตัวออกมาจากป่าที่เย่เย่เพิ่งจะฆ่าจางฮ่าวและคนอื่นๆไป
“ข-แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้นน่ะ?! เด็กคนนั้นต้องมีความลับอะไรซ่อนไว้แน่ๆ! ถ้าข้าได้มันมา ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกมากแน่ๆเลย!”
ชายในชุดคลุมสีดำนั้นก็คือทรราชหลงหยุน ผู้ที่ล่อลวงเหล่าคนจากสำนักอัคคีให้หลงเข้ามา ณ ที่แห่งนี้เพื่อที่จะฆ่าทิ้ง เขาเป็นต้นเรื่องที่ทำให้เฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆเข้ามาอยู่ในเขาแห่งนี้
ดูเหมือนว่าหลังจากที่หนีรอดแล้วตัวหลงหยุนเองก็จะไม่ได้ไปไหนไกลนัก เพราะเขาร่วมมือกับสำนักกระบี่จรัสแสง เขาจึงไม่โดนคนเหล่านี้ตามล่าและสามารถหลบอยู่ใกล้ๆเพื่อคอยดูสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายได้
ที่เขาซุ่มดูเหตุการณ์ทางฝั่งเย่เย่นั่นก็เพราะตั้งใจจะหาจังหวะหรือโอกาสลอบกัดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทว่าเขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะสังหารจางฮ่าวและเหล่าศิษย์คนอื่นๆด้วยผ้าคลุมล่องหนนั่น
แม้ว่าเรื่องนี้มันจะคาดไม่ถึงเอาเสียมากๆ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไล่ตามเย่เย่ไป โดยหวังจะลอบโจมตีหากมีโอกาส
ทางฝั่งเย่เย่นั้นมุ่งตรงเข้าไปยังภูเขาหลี่เทียนเรื่อยๆแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสนใจของเขากลับอยู่ที่จิตวิญญาณแห่งงูที่อยู่ในร่างกายตอนนี้เสียมากกว่า
หลังจากที่กลืนกินจิตวิญญาณแห่งหินของจางฮ่าวไปแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณแห่งงูของเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้างแล้ว สังเกตได้จากที่ลำตัวของมันนั้นมีเกล็ดปรากฏขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจน
เย่เย่ลองเค้นจินตนาการในการดึงพลังของเขาออกมาใช้ และทันใดนั้นพลังของจิตวิญญาณแห่งหินก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขาผ่านเกล็ดสีดำที่งอกขึ้นมาตามผิวหนัง
เกล็ดเหล่านี้ทนทานเอาเสียมากๆ แม้เย่เย่จะใช้ดาบเหล็กดำฟันเข้าไป มันยังไม่ทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยของการฟันแต่อย่างใด
“ฮ่าๆๆๆ! ความแข็งแกร่งของไอ้เกล็ดพวกนี้มันสุดยอดไปเลยแฮะ! น่ากลัวยิ่งกว่าเกราะสีนิลนี่เสียอีก! หากถ้ามันงอกเต็มเหมือนงูขึ้นมาจริงๆ ความแข็งแกร่งด้านพลังป้องกันของข้าคงจะสูงขึ้นอีกสินะ!”
หัวใจของเย่เย่มันเบิกบานเป็นอย่างมาก เขาอดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปยังส่วนที่ลึกขึ้นเรื่อยๆของภูเขาหลี่เทียนนี้แล้ว เพื่อที่เขาจะได้ทดสอบพลังรวมถึงกลืนกินจิตวิญญาณของคนอื่นๆเพื่อให้มาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเขาต่อเร็วๆ
แต่ยิ่งลึกเข้าไปในหุบเขา เย่เย่ก็ยิ่งพบผู้คนได้น้อยลงไปจริงๆตามที่คนอื่นว่าไว้ และต่อให้เขาเจอคนอื่นระหว่างทางจริงๆล่ะก็ เขาก็คงทำใจฆ่าเพื่อชิงเอาจิตวิญญาณของคนคนนั้นมาไม่ได้ เพราะไม่เคยบาดหมางกันมาก่อน ดังนั้นแล้วตลอดทางที่ผ่านมา เย่เย่จึงไม่ได้คู่ซ้อมที่ตรงตามความเสียที
เสียงถอนหายใจของเย่เย่ดังขึ้นก่อนที่เขาจะหาที่นั่งภายในเขานั้นเพื่อที่จะคิดทบทวนว่าตนนั้นควรจะพักสักหน่อยแล้วเดินต่อ หรือกลับเฟิงเจิ้นเสียตอนนี้เลยเพื่อนำของที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้ไปขาย
และในขณะที่เย่เย่กำลังผ่อนคลายความระมัดระวังตัวอยู่นั้นเอง กระบี่ยาวอีก 1 เล่มก็พุ่งเข้ามาแทงเขาจากด้านหลัง
การตอบสนองของเย่เย่นั้นฉับไวกว่าดาบนั้นอีกหลายเท่า เขาไม่รอช้าที่จะชักดาบของตนขึ้นมาและปะทะกับดาบนั้นอย่างทันท่วงที
*เคร้ง!*
เสียงของดาบทั้งสองเล่มปะทะกันนั้นดังกังวานจนกระแสลมที่ไหลเอื่อยส่งเสียงคำรามออกไปทั่วหุบเขา ไม่เว้นแม้แต่แม่น้ำใกล้ๆเองก็ยังโดนคลื่นอากาศที่กระจายตัวออกนั้นซัดเสียจนกลายเป็นคลื่นน้ำขนาดใหญ่ขึ้นมา!