บทที่ 8
กำไรที่ไม่คาดคิด
ผู้ที่ลอบเข้ามาโจมตีเย่เย่ก็คือหลงหยุนที่ห่มคลุมอาภรณ์สีดำปกปิดร่างกายเอาไว้ เขาเข้าโจมตีผสานกับการหลบหลีกเพื่อกันไม่ให้เย่เย่สามารถโต้ตอบได้เต็มที่
หลงหยุนก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใช้วรยุทธ์มาแรมปีแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจึงมากกว่าเย่เย่เป็นเรื่องธรรมดา
ก่อนที่เขาจะโดนเฉินเทียนเฟิงและพลพรรคคนอื่นๆไล่ล่านั้น ตัวเขาบาดเจ็บมาก่อนหน้าแล้ว ซึ่งมันทำให้ความแข็งแกร่งของเขาและเย่เย่ในตอนนี้จะเรียกว่าสูสีกันก็ได้อยู่
แต่แม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าสถานการณ์ทางฝั่งตนก็ไม่ได้ได้เปรียบอะไรอีกฝ่ายเยอะ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะซุ่มโจมตีเช่นนี้ มันแสดงให้เห็นเลยว่าในใจของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความโลภในโอกาสขนาดไหน
ในการที่จะหาโอกาสเหมาะเช่นนี้นั้น หลงหยุนคอยแอบตามเย่เย่มาตลอดทั้งวัน และนี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าทักษะการลบกลิ่นอายของตัวเขานั้นอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ เพราะตลอดการสะกดรอยตาม เย่เย่ไม่รู้ตัวเลยว่าหลงหยุนอยู่ใกล้ๆเขาตลอด
เขารอจนกระทั่งเย่เย่เลิกระวังตนเอง แล้วจึงเริ่มเข้าโจมตีโดยหมายจะปลิดชีพอีกฝ่ายในครั้งเดียว!
แต่เพราะว่าจิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเย่เย่มันได้พัฒนาขึ้นไปแล้ว มันเลยทำให้ทักษะในการรับรู้ของเย่เย่เพิ่มสูงขึ้นไปด้วยแม้จะแค่นิดหน่อยก็ตาม เอาจริงๆต่อให้เย่เย่ไม่ได้รับรู้ถึงหลงหยุนในตอนที่เขาโดนโจมตี ยังไงเสียร่างกายของเขาก็ยังพอมีเวลาที่จะตอบสนองอีกฝ่ายได้ทันอยู่ดี
การโต้ตอบของเย่เย่ทำเอาหลงหยุนตกใจมากๆ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจอยู่แล้วว่า แม้จะไม่สามารถลอบฆ่าได้สำเร็จ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาก็จะต้องฆ่าเย่เย่ได้แน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเปิดฉากนำหน้าอยู่ด้วย โอกาสมันย่อมต้องเป็นของเขาอยู่แล้ว!
เย่เย่ยกดาบขึ้นรับการโจมตีของหลงหยุนเอาไว้ เขาไม่คาดคิดเลยว่ากำลังของหลงหยุนจะยังมีมากระดับนี้จนเขาต้องเป็นฝ่ายถอย หนำซ้ำความเร็วของหลงหยุนยังสูงกว่าเขาอีกด้วย มันทำให้ยามที่ทั้งสองดีดตัวออกห่างกันเพราะแรงปะทะ หลงหยุนก็สามารถกลับเข้าประชิดตัวเย่เย่ได้ทันทีอีก
“ไปลงนรกซะ!”
ดาบของหลงหยุนพุ่งเข้าแทงมาทางอกของเย่เย่ และแม้ว่าเย่เย่จะเอี้ยวหลบได้ แต่คมดาบก็ยังถากหัวไหล่เขาไปจนเกิดบาดแแผลให้มีเลือดไหลนองอยู่ดี
“ฮ่าๆๆๆๆ! ถึงเจ้าจะไม่ใช่หมูหมาที่ข้าสามารถปลิดชีพได้ง่ายๆ แต่ด้วยความสามารถที่มันห่างชั้นกันแบบนี้ ดูเหมือนว่าต่อให้เจ้าจะมีลูกเล่นอะไรก็คงจะไม่มีโอกาสใช้ล่ะสินะ! เอาล่ะ งั้นเจ้าก็คงหนีข้าไม่พ้นแล้ว!”
เมื่อเห็นเย่เย่บาดเจ็บ หลงหยุนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขานั้นปรารถนาที่จะได้ความลับแห่งขุมพลังที่เย่เย่ครอบครองอยู่เป็นอย่างมาก และด้วยความอยากนี้มันเลยทำให้เย่เย่ยากที่จะหนีอีกฝ่ายไปได้
“เจ้าอยากจะฆ่าข้าสินะ? แยกความฝันกับความจริงออกหรือยังน่ะ หา?”
ยามที่เห็นว่าหลงหยุนเริ่มที่จะไล่ต้อนเขาเข้ามาอีกครั้ง สีหน้าของเย่เย่ก็แสดงความเหี้ยมโหดขึ้นมา แม้เขาจะยังมีโอกาสที่จะหนีหลงหยุนได้อยู่ด้วยผ้าคลุมล่องหนของเขา แต่เย่เย่เองก็ไม่อยากจะปล่อยให้คนอย่างหลงหยุนหลุดรอดจากมือเขาเช่นกัน
หลังจากที่เข้าห้ำหั่นกับหลงหยุนเพื่อลดทอนเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายอีกสักระยะหนึ่ง เย่เย่ก็โยนประคำอสนีบาตเข้าไปตรงๆใส่อีกฝ่าย
*เปรี้ยง!*
ทันทีที่ประคำอสนีบาตระเบิดออก เสียงสายฟ้าฟาดก็ดังกระหึ่มภูเขาราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาจริงๆ ความรุนแรงของสายฟ้าที่ถูกเก็บอยู่ในประคำดังกล่าวมันรุนแรงเสียจนแม้แต่ผืนดินยังสะเทือน นับประสาอะไรกับแก้วหูของผู้ที่อยู่ใกล้ๆ
“อั่ก!”
ร่างกายที่ถูกสายฟ้าเล่นงานไปกว่าครึ่งของหลงหยุนนั้นโชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังรอดมาได้ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นอะไรเลยเพราะทันทีที่สายฟ้าเหล่านั้นแล่นเข้ามาปะทะ ริมฝีปากที่เคยหยิ่งผยองก็สำรอกเอาเลือดออกมาทันที
หลงหยุนน่ะรู้ด้วยสัญชาตญาณอยู่แล้วว่าเย่เย่ต้องซ่อนอาวุธลับเอาไว้ในร่างกาย ดังนั้นเขาจึงพยายามระมัดระวังตัวเอาไว้ตลอด แต่สิ่งที่เย่เย่ซ่อนไว้นั้นกลับเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้ไปมากๆ นี่มันไม่ใช่อาวุธลับแล้ว เข้าข่ายวิชามารเลยก็ได้!
“เอาล่ะ เจ้าเป็นใคร? แล้วจะมาฆ่าข้าทำไม? บอกมาให้หมดเร็วๆเลย”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรุดลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับสภาพที่ขยับไปไหนไม่ได้แล้ว เย่เย่ก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้าที่ดูเยือกเย็น ทันทีที่เขาเดินไปถึงอีกฝ่ายเย่เย่ก็ถีบร่างนั้นให้ล้มลงแล้วเหยียบอกเอาไว้ด้วยความทระนงตน
การโจมตีเมื่อครู่นี้ หากเย่เย่ไม่กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งอสรพิษขึ้นมาและเสริมความแข็งแกร่งด้วยจิตวิญญาณแห่งหินผาผ่านเกล็ดแล้วล่ะก็ บางทีเขาเองอาจจะได้รับลูกหลงจากการโจมตีของตนเองหนักหนาสาหัสเลยก็ได้ และเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยถ้าหลงหยุนไม่ไล่ต้อนเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงเกลียดหลงหยุนเข้าเส้นสุดๆเลยตอนนี้
ในตอนแรกก็มีแค่เหล่าสำนักอัคคีเท่านั้นที่ต้องมาปวดหัวกับทรราชอย่างหลงหยุน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่าหลงหยุนถูกบรรจุอยู่ในบัญชีแค้นของเย่เย่ไปแล้วด้วยอีกคน สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนองก็ว่าได้ เพียงเพราะเขาคำนวณผิดพลาดเกี่ยวกับไม้ตายที่ถูกเก็บซ่อนไว้ของเย่เย่เท่านั้น มันจึงทำให้ชีวิตเขาดิ่งลงมาถึงจุดนี้ หากนี่เป็นเกมกระดาน เขาอาจจะพลาดตั้งแต่เลือกเดินหมากเช่นนี้แล้วก็ได้
“แค่ก—! ข้ากำลังจะตายก็จริง…ส่วนเจ้าก็จะได้ภูมิใจกับชัยชนะครั้งนี้ได้เพียงไม่นานหรอก! เพราะยังไงซะเดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายตามข้ามาแล้ว!”
หลงหยุนรู้ตัวดีว่าตนกำลังจะตาย ดังนั้นเขาจึงไม่ร้องขอความเมตตาใดๆ และเลือกที่จะทิ้งคำพูดไว้ให้เย่เย่ก่อนจะสิ้นใจตายด้วยตนเองทันที
แววตาของเย่เย่ดูเหมือนจะครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ยามที่เห็นอีกฝ่ายยอมตายด้วยตัวเอง เย่เย่ก็รีบกลืนกินจิตวิญญาณของเขาไปในทันที
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของหลงหยุนคือเสือชีต้า ด้วยเหตุนี้เขาถึงสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไวยามที่จิตวิญญาณนั้นถูกกระตุ้นขึ้นมาเช่นนี้ รวมถึงเมื่อตอนที่พยายามจะหลบการระเบิดของประคำอสนีบาตครั้งนั้นด้วย หลังจากที่จิตวิญญาณแห่งอสรพิษดูดกลืนชีต้าตัวนั้นเข้าไปแล้ว เกล็ดบนตัวของมันก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นไปอีก
เย่เย่ระมัดระวังรอบๆตัวเป็นอย่างดีในคราวนี้ ความระแวงนั้นส่งผลให้เหงื่อมันไหลซึมออกมาจนร่างของเขามีแต่เหงื่อเต็มไปหมด การลอบสังหารของหลงหยุนนี้ทำให้เขาตื่นตัวว่าอันตรายมีอยู่ทุกที เย่เย่อยู่ในสภาพระมัดระวังตัวสุดๆอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่ารอบๆตัวไม่มีใครเขาจึงคลายความกังวลนั้นลง
เขาก้มลงไปจัดการกับศพของหลงหยุนเช่นเดียวกับที่ทำกับศพของเหล่าสำนักกระบี่จรัสแสงนั่นคือ รูดทรัพย์ สิ่งที่เขาได้มาจากหลงหยุนนั้นนับว่าถือเป็นความโชคดีของเขาเลยจริงๆเพราะสิ่งที่หลงหยุนเก็บไว้นั้นคือตั๋วทองหลายใบเลย
“เจ้านี่ร่ำรวยขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ!”
สีหน้าของเย่เย่นั้นบอกได้ดีเลยว่าเขาตกใจขนาดไหน เมื่อครั้นตอนที่ฆ่าจางฮ่าวและศิษย์ของกระบี่จรัสแสง เย่เย่นั้นได้ของจากคนเหล่านั้นมาก็จริง แต่มันก็นับว่าเล็กน้อยมากๆ ยังห่างไกลกับคำว่าร่ำรวยอยู่หลายขุมนัก
แต่สำหรับหลงหยุนนี้ไม่ใช่ น่าจะเป็นเพราะเจ้าตัวอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งมาหลายปี และอยู่ในสถานะโดนไล่ล่ามาโดยตลอด มันเลยทำให้เขาต้องเก็บของมีค่าไว้กับตัวเวลาเดินทางไปไหนมาไหนเช่นนี้
จากการรูดทรัพย์หลงหยุน เย่เย่ได้ตั๋วทองของอีกฝ่ายไปถึง 5000 เหรียญทอง ซึ่งด้วยสถานที่เช่นนี้ มันทำให้เย่เย่ไม่ต้องหาที่ลับตาอีก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วรีบใช้ระบบรีไซเคิลทันที
‘ตรวจพบตั๋วทอง มีมูลค่า 5,000 เหรียญทอง! ปรับค่าตามอัตราการแลกเปลี่ยน มีมูลค่าเท่ากับ 50 เหรียญจักรวาล! ท่านต้องการจะแลกเปลี่ยนหรือไม่?’
เมื่อหน้าต่างยืนยันภายในแอปพลิเคชั่นนั้นปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เย่เย่ก็ไม่ลังเลที่จะกดยืนยันในทันที
ตั๋วทองมูลค่า 5,000 เหรียญทองถูกระบบรีไซเคิลนี้ดูดซึมเข้าไปภายในโทรศัพท์และหายไปจากมือเย่เย่ในเวลาไม่นาน จากนั้นค่าเงินในระบบก็เพิ่มขึ้นมาอีก 50 เหรียญจักวานตามที่ระบบได้ว่าไว้
ครั้งนี้ไม่มีของแถมอะไรจากการแลกเปลี่ยน บางทีอาจจะเป็นเพราะมูลค่ามันไม่เยอะเท่ากับครั้งก่อน เจ้าระบบนี่จึงไม่มีของขวัญให้รวมถึงขี้เกียจที่จะพูดซ้ำซากด้วยว่าตัวเขานั้นยากจนระดับไหน
ฉายานามด้านล่างที่หดถอยกลับไปเป็น “ยากจนเสียยิ่งกว่าแสงสว่างที่รอดผ่านรูกุญแจ” ในตอนนี้ได้กลับไปเป็น “ยากจนเหมือนเดิมแต่เริ่มมีเงินบ้างแล้วนะ!” ดังเดิมแล้ว
แม้ว่าฉายาพวกนี้จะทำให้เย่เย่รู้สึกหนักอกหนักใจในบางครั้งก็จริง แต่อย่างน้อยๆการที่มีเงินอยู่ในระบบถึง 50 เหรียญจักรวาลมันก็ทำให้เย่เย่มีความสุขขึ้นมาได้บ้าง
“ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในพื้นที่ของภูเขาหลี่เทียนแห่งนี้ ข้าต้องระวังตัวเองให้มากๆ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าคงได้ตามเจ้านั่นไปจริงๆแน่…ถ้าไม่รีบพัฒนาความแข็งแกร่ง ก็จะกลายเป็นบันไดให้ผู้อื่นก้าวขึ้นไป…”
เย่เย่ตัดสินใจเด็ดขาดโดยไม่รู้สึกเสียดายเหรียญจักรวาลที่มีอยู่ในตอนนี้ เขาใช้มันจำนวน 10 เหรียญเพื่อที่จะซื้อยาโลหิตหวนคืนสำหรับรักษาร่างกายระดับล่างสุดจากหมวดหมู่ยาเพื่อมารักษาแผลที่โดนฝีดาบของหลงหยุนในทันที
ถึงยาโลหิตหวนคืนนั้นจะเป็นยาสำหรับฟื้นฟูสภาพร่างกายที่ระดับต่ำที่สุดในระบบ แต่มันก็ยังถือเป็นสมบัติระดับสูงสำหรับโลกนี้อยู่ดี เย่เย่เองสามารถรับรองได้ด้วยตัวเองเลยว่าเขารู้สึกดีขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่ได้กินยานี่เยอะมากๆ ราวกับว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเพิ่มสูงถึง 200% เลยทีเดียว
จากนั้น เย่เย่ก็นั่งสอดส่องมองหาวิธีที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาต่อในระบบนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นยาหรือกระบวนท่า ทุกสิ่งอย่างล้วนแต่ใช้เงินเป็นจำนวนมากทั้งสิ้น
เหรียญจักรวาลที่เย่เย่เหลืออยู่นั้นก็มีแค่ 40 เหรียญเท่านั้น เขาเลือกที่จะซื้อชุดสำหรับต่อยมวยจากหมวดหมู่อาวุธและยุทธพันธ์ออกมา
“เอาล่ะ! อย่างน้อยๆมีชุดนี่ข้าก็ยังพอจะวางใจได้กว่าไม่มีอะไรเลยล่ะนะ!”
หลังจากที่กดซื้อชุดต่อยมวยดังกล่าวไป เงินคงเหลือก็กลับกลายเป็น 0 อีกครั้งในทันที
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยชุดผ้าขาดๆมอมแมมที่ซื้อมาก็ยังมีอะไรให้เขาประหลาดใจได้บ้าง เพราะขนาดดาบที่คมมากๆอย่างดาบเหล็กดำยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนบนผิวของมันได้เลย
“ฮ่ะฮ่า! ดูเหมือนว่าข้าจะได้ไพ่ตายเพิ่มแล้วสินะ!”
เย่เย่สวมใส่ชุดต่อยมวยนั้นไว้บนตัวและหันหลังเพื่อที่จะเดินกลับไปยังทิศทางที่เขาเดินจากมา
ถึงจุดประสงค์ที่มายังภูเขาหลี่เทียนแห่งนี้จะยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ก็จริง แต่เขาก็ได้ผลตอบแทนมามากพอแล้ว เย่เย่ตัดสินใจที่จะนำของที่ได้มาเหล่านี้ไปขายทำทุนที่เมืองก่อน โดยเฉพาะอัญมณีสีม่วงก้อนนี้ หากมันเป็นของจริงและราคาไม่ถูกกดต่ำ เขาเชื่อว่ามันจะต้องสร้างเม็ดเงินให้แก่เข้าอย่างมหาศาลแน่ๆ
ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกภูเขาหลี่เทียน กลุ่มของนักเดินทางกลุ่มหนึ่งก็กำลังผ่านมาโดยที่นั่งอยู่บนหลังม้าราวกับกำลังขี่ม้าชมเมืองก็มิปาน
คนเหล่านี้ยังวัยเยาว์กันอยู่ การแต่งตัวก็ดูแล้วบ่งบอกได้เลยว่ามาจากชนชั้นที่ร่ำรวย พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของชายวัยกลางคนนามว่า ฮั่วเฟิง และเพราะเหตุนี้เหล่าคนหนุ่มสาวพวกนี้จึงไม่ได้ระวังตัวจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากเข้าใกล้ภูเขาหลี่เทียน
“ท่านสุภาพบุรุษและสตรีทั้งหลาย ถึงแม้ว่าพวกท่านจะอยู่ระดับสูงของอารามแห่งจ้าววรยุทธ์ แต่ตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางผ่านภูเขาหลี่เทียนอยู่ ซึ่งที่แห่งนี้มีทั้งสัตว์ร้ายและอสุรกายอยู่มากมาย ข้าว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกท่านคอยระวังตัวเองไว้ เพราะถ้าหากพวกท่านต้องเจอกับอสุรกายที่ข้าไม่สามารถรับมือได้จริงๆ ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครในหมู่พวกเราที่จะรอดไปได้แม้แต่คนเดียวเลยนะ”
ชายกลางคนที่ชื่อฮั่วเฟิงคนนั้นอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจและกังวลเมื่อเห็นว่าเหล่าคนหนุ่มสาวที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขานั้นทำตัวหละหลวมปราศจากการระมัดระวังตัวมากเกินไปเช่นนี้ คนหนุ่มสาวเหล่านี้ชัดเจนเลยว่าพวกเขานั้นเชื่อฟังฮั่วเฟิงกันในระดับหนึ่งเลยเช่นกัน เพราะหลังจากที่ฟังคำเตือนเหล่านั้น พวกเขาก็เริ่มที่จะระมัดระวังตัวขึ้นมาทันที
“หากท่านพี่ฮั่วว่ากระนั้น พวกข้าก็จักระวังตัวให้มากขึ้น”
ฉินหมิง บุตรชายของจ้าวแห่งอารามแห่งจ้าววรยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มคนหนุ่มสาวในครานี้ หลังจากที่เขาปรับความคิดตนเองได้ เขาก็ยกมือขึ้นและแสดงความเคารพให้ฮั่วเฟิงอย่างซื่อสัตย์
ฮั่วเฟิงเพียงแค่พยักหน้ารับและพาพวกเขาฝ่าเขตภูเขา หลี่เทียนรอบนอกนั้นไปด้วยความระมัดระวัง ไม่นานนัก พวกเขาทั้งหมดก็ค่อยๆเดินทางเข้าสู่จุดที่ลึกขึ้นๆของภูเขาหลี่เทียนเรื่อยๆ
กลุ่มนักเดินทางเหล่านี้จู่ๆก็ต้องเคลื่อนไหวช้าลงและค่อยๆเงียบเสียงลงไปตามคำสั่งที่บอกให้พวกเขาค่อยๆซ่อนตัวของฮั่วเฟิงยามที่อยู่ในป่าใหญ่เช่นนี้
“โฮก!”
ทันใดนั้นเองเสียงคำรามก็ดังขึ้นมาจากในป่าพร้อมๆกับการปรากฏตัวของหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่าม้าตรงหน้าพวกเขา มันคือหมาป่าแห่งกลุ่มดาวซิริอัส (กลุ่มดาวหมา) บนร่างกายของมันนั้นมีสายฟ้าวิ่งไปมาตามผิวที่มีขนปกคลุม สายตาที่โกรธเกรี้ยวของมันกำลังจ้องมองมายังกลุ่มคนเหล่านี้โดยไม่วางตาเลย และในยามที่มันคำรามออกมา แสงไฟดวงกลมที่บรรจุสายฟ้าจากลำตัวมันไว้ลูกเล็กๆก็พุ่งออกมาและเข้าโจมตีกลุ่มนักเดินทางทันที
“มันมาแล้ว หนีเร็ว!”
ยามที่ฮั่วเฟิงเห็นหมาป่าตนนั้นคำรามก้อง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก และด้วยความไม่ลังเล เขารีบออกคำสั่งทันใด
ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามายังภูเขาหลี่เทียนแห่งนี้ ฮั่วเฟิงได้ศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของสิ่งต่างๆภายในนี้ไว้ล่วงหน้าบ้างแล้ว นอกจากนั้นเขายังพอจะเข้าใจถึงพฤติกรรมของหมาป่าและวิธีการรับมือหมาป่าเวลามันออกมาปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์อีกด้วย
แต่ตลอดมาคนหนุ่มสาวที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาเหล่านี้ล้วนไม่ได้เชื่อฟังคำแนะนำของฮั่วเฟิงมากนักเพราะพวกเขาไม่สามารถจับสัมผัสของลมหายใจหมาป่าตนนี้ได้
*ตู้ม!*
ฉินหมิงผู้ที่ขี่ม้านำทีมอยู่กระเด็นลอยออกมาไกลหลังจากที่ปะทะเข้ากับกลุ่มก้อนของกระแสไฟฟ้าที่ถูกปล่อยมาจากหมาป่าดาราจักร ความรุนแรงจากการปะทะนั้นทำเอาคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆไม่สามารถลืมตามองอย่างเต็มตาได้ เพราะแสงที่สว่างจ้าและกระแสไฟฟ้าที่กระจายออกไปตามอากาศที่ลอยอยู่บริเวณรอบๆนั้น
“เข้าไปรุมมันเลย!”
หลังจากที่ลงมากองกับพื้นแล้ว ฉินหมิงก็รีบลุกขึ้นและตะโกนบอกพรรคพวกของเขาโดยที่ตัวเขาเองก็เป็นฝ่ายวิ่งกลับไปยังจุดที่หมาป่าดาราจักรตนนั้นอยู่ด้วย
เพราะไร้ซึ่งประสบการณ์ ฮั่วเฟิงจึงคอยพร่ำสอนมาตลอดทางเพื่อให้พวกเขาคอยระวังตัวไว้หากเจอเรื่องไม่คาดคิดขึ้น แต่พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในวัยดื้อรั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ถามความคิดเห็นจากฮั่วเฟิงและรีบกระโจนเข้าไปหาเป้าหมายตามที่ฉินหมิงสั่งการทันที
เมื่อเห็นว่าฉินหมิงเข้าไปแล้ว คนอื่นๆในกลุ่มก็รีบลงจากม้าแล้ววิ่งตามเข้าไปติดๆเพื่อไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องเสี่ยงอันตรายคนเดียว
“กลับมาเดี๋ยวนี้! แบบนั้นจะตายกันหมดเอานะ!”
ฮั่วเฟิงนั้นตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาพยายามจะห้ามคนเหล่านี้ไว้ทว่าดูเหมือนเขาจะสายเกินไป เพราะทันทีทันใดที่ฉินหมิงและพรรคพวกเข้าประชิดตัวหมาป่าดาราจักร ฝูงหมาป่าอีกหนึ่งฝูงก็ปรากฏตัวขึ้นมาและล้อมหน้าล้อมหลังพวกเขาไว้ทั้งคนทั้งม้า