บทที่ 9
เป็นมิตรโดยตั้งใจ
ภายใต้การนำของราชาหมาป่าดาราจักรตนนี้ ฝูงของหมาป่าที่เข้ามาเสริมนั้นมีจำนวนมากถึง 5-60 ตัวเลยทีเดียว มันทำให้ไม่เพียงสามารถล้อมกลุ่มของคนหนุ่มสาวได้เท่านั้น แต่ยังสามารถหันเขี้ยวและกระโจนเข้าไปทางฮั่วเฟิงพร้อมๆกันได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของหมาป่าดาราจักรจะไม่สามารถเทียบเท่าฮั่วเฟิงได้เลยก็จริง แต่ด้วยจำนวนที่มากขนาด 50-60 ตัวเช่นนี้ ต่อให้เป็นฮั่วเฟิงเองก็ยากที่จะรับมือ มันทำให้เพียงไม่นานพวกเขาก็โดนล้อมไว้จนหมด
ด้วยขนาดและความที่เป็นหมาป่า ราชาหมาป่าดาราจักรนั้นใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นในการกระโจนเข้าหากลุ่มนักเดินทางเหล่านี้ และเมื่อเทียบขนาดแล้ว คนตัวเล็กๆข้างล่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับอาหารที่วิ่งเข้าไปถวายตัวเองถึงที่เลย
“โฮกกกก!”
ขณะที่ฮั่วเฟิงนั้นกำลังรับมือกับพวกหมาป่าขนาดปกติ แววตาที่สุดแสนจะหิวกระหายเลือดของราชาหมาป่าดาราจักรก็จ้องลงไปยังนักเดินทางที่อยู่ใกล้มันที่สุด 2 คน ปากที่ยื่นยาวอ้ากว้างออกมาพร้อมกับสร้างกลุ่มก้อนของกระแสไฟฟ้าไว้ภายใน
*ตู้ม!*
ก้อนกระแสไฟฟ้านั้นพุ่งเข้าใส่นักเดินทางหนุ่มทั้งสองคนทันทีจนเกิดระเบิดรุนแรงและกลุ่มควันก็พวยพุ่งขึ้นมาปกคลุมบริเวณนั้นไว้จนมองเห็นได้ไม่สะดวก ไม่นานนักหลังจากที่สายลมช่วยพัดพากลุ่มควันระเบิดนี้ออกไป ในตำแหน่งที่นักเดินทางทั้ง 2 คนนั้นยืนอยู่ก็เหลือเพียงแขนและขาที่ขาดออกมาร่วงเรี่ยราดอยู่เท่านั้น
ฉินหมิงเข้าโจมตีราชาหมาป่าดาราจักรจากด้านหลังด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้าถึงตัวของสัตว์ยักษ์นั้น กรงเล็บของหมาป่าที่ควรจะเป็นเป้าหมายของเขากลับตะปบเข้าที่กลางอกของฉินหมิงเสียก่อน
ร่างที่รับแรงปะทะอีกรอบกระเด็นลอยออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเลือดและบาดแผลขนาดใหญ่ที่กลางอก
พรรคพวกของฉินหมิงที่เห็นดังนั้นไม่รอช้าที่จะรีบเข้ามารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อคอยคุ้มกันซึ่งกันและกันทันที!
เพียงพริบตาเดียวพวกพ้องก็โดนกินไป 2 คนแล้ว แถมคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มก็ยังโดนราชาหมาป่าดาราจักรเล่นงานไปอีก สิ่งเหล่านี้มันค่อยๆกัดกินหัวใจของคนเหล่านี้ว่าระดับของพวกเขาและอสุรกายตนนี้มันต่างกันเกินไป และเมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ ความกลัวมันก็เริ่มกัดกินหัวใจของพวกเขาอย่างรวดเร็วจนทั้งหมดถอยหลังมารวมกันโดยไม่รู้ตัว
“เห้ยๆ เป็นสัตว์อสูรก็อยู่ส่วนสัตว์ไปสิ”
ขณะที่ชีวิตของเหล่านักเดินทางนั้นกำลังแขวนอยู่บนความเป็นและความตายนั้นเอง พวกเขาก็เห็นร่างร่างหนึ่งกระโจนลอยขึ้นมาเหนือหัวราชาหมาป่าดาราจักร แต่เพราะความเร็วของร่างนั้นมันเร็วมากๆ กว่าพวกเขาจะรับรู้ได้ก็คือร่างนั้นกำลังลอยอยู่บนอากาศแล้ว
ชายคนนี้คือเย่เย่ ก่อนหน้านี้เขาที่อยู่แถวๆนั้นพอดีเผอิญไปได้ยินบทสนทนาของฉินหมิงและคนอื่นๆ และเขาตัดสินใจแล้วว่าเขานั้นจะต้องผูกมิตรกับอารามแห่งจ้าววรยุทธ์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะแล้วที่เขาจะปรากฏตัวและช่วยทุกๆคนให้รอดพ้นจากภัยร้ายในครั้งนี้
เขาตะโกนขึ้นเสียงดังขณะที่ตนเองลอยอยู่เหนือหัวราชาหมาป่าดาราจักรพอดิบพอดี ในตอนนั้นตัวเขาก็จับจ้องไปยังจุดที่จะทำการโจมตีอย่างบริเวณหัวของมันไปด้วย
“กรรร!!”
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายตนนั้นดังก้องป่า ก่อนที่จังหวะต่อมาหัวของมันจะถูกฟันเข้าไปเต็มแรงด้วยดาบเหล็กดำของ เย่เย่
การโจมตีของเย่เย่ทำให้ราชาหมาป่าดาราจักรถอยไปตั้งหลักอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้เย่เย่สามารถเข้าหาตัวเหล่านักเดินทางที่มีฉินหมิงเป็นผู้นำได้
ฉินหมิงและคนอื่นๆที่ได้เห็นภาพนั้นต่างอยู่ในอาการตกใจไปตามๆกัน พวกเขามองเย่เย่ด้วยหัวใจที่เบิกบาน โดยเฉพาะฮั่วเฟิงที่อยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนั้นด้วย เขาดูมีความสุขและโล่งอกกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
หากไม่ได้เย่เย่เข้ามาช่วยฉินหมิงและคนอื่นๆเอาไว้ล่ะก็ แม้ตัวเขาจะสามารถรอดชีวิตกลับไปยังอารามแห่งจ้าววรยุทธ์ได้ก็จริง แต่ในท้ายที่สุดชะตาชีวิตเขาก็คงไม่วายตายโดยฝีมือของท่านเจ้าประจำอารามแห่งนี้ฆ่าอย่างแน่นอน พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เย่เย่ได้ช่วยชีวิตของทุกๆคนในที่นี่เอาไว้พร้อมๆกัน
“กรร….โฮก!!”
ราชาหมาป่าดาราจักรที่ถอยไปตั้งหลักนั้นเกรี้ยวกราดขึ้นมาแบบสุดๆ มันตั้งท่าและพุ่งทะยานกลับมาหาเย่เย่อย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง ซึ่งที่หัวมันตอนนี้ก็มีเลือดสีแดงไหลพรากออกมาตลอดเวลา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เย่เย่ยังคงใจเย็นอยู่ดังเดิมราวกับว่าอสุรกายตรงหน้าเขานั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไหวติงแต่อย่างใด ดาบเล่มเดิมที่ยังคงมีเลือดของสัตว์ร้ายตรงหน้าติดอยู่ถูกยกขึ้นพร้อมกับการก้าวเท้าไปข้างหน้าเพื่อแทงมันลงไปอีกครั้ง
“โฮกก!!!”
ครั้งนี้ราชาหมาป่าดาราจักรนั้นระมัดระวังตนเองเป็นอย่างดี มันเอี้ยวตัวหลบดาบเหล็กดำของเย่เย่และตะปบลงไปที่เป้าหมายในทันทีเมื่อหลบการโจมตีได้ ทว่าดาบของเย่เย่นั้นก็แค่เหยื่อล่อ การโจมตีของเขาจริงๆนั้นก็คือกำปั้นต่างหาก
*ผั้วะ!*
เย่เย่ง้างหมัดและซัดเข้าไปเต็มแรงที่กลางอกของราชาหมาป่าดาราจักรจนเหมือนกับอุกกาบาตลูกใหญ่พุ่งเข้ากระแทกร่างของอสุรกายตนนั้นจนเจ็บปวดไปหมด ร่างของมันลอยถอยหลังไปไกลจนกระแทกเข้ากับต้นไม้หลายต้นในละแวกนั้นจนป่าแหว่งไปเป็นแถบๆ
ปากที่เคยแยกเขี้ยวดุร้ายของมันในตอนนี้กำลังสำรอกเลือดออกมายกใหญ่ แววตาที่เคยเกรี้ยวกราดเองตอนนี้ก็ได้แต่มองเย่เย่ด้วยความหวาดกลัวที่แฝงอยู่ภายในด้วย
“แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!”
“หล่อบาดตาบาดใจข้าจริงๆ! เทพบุตรมาโปรดงั้นเหรอ?!”
“เอาเลย! ฆ่าเจ้าอสุรกายนั่นเลย!”
เหล่ากลุ่มของนักเดินทางที่อยู่ด้านหลังนั้นต่างพากันตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของเย่เย่ แต่หลังจากที่เริ่มมีสติขึ้นมา ความตกใจนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความโล่งใจแทนแล้ว
ความแข็งแกร่งของเย่เย่น่ะ คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าราชาหมาป่าดาราจักรที่ซึ่งโดนหมัดของเย่เย่ซัดจนลอยไปไกลนี้หรอก
ยามที่มันเห็นเย่เย่พุ่งเข้าไปมันอีกครั้ง ปากที่เกรอะไปด้วยเลือดก็อ้าออกกว้างโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น มันสร้างกลุ่มก้อนกระแสไฟฟ้าระลอกใหม่อย่างรวดเร็วแข่งกับระยะทางที่เย่เย่กำลังเข้าใกล้ตัวมันมามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการทำแบบนี้เองก็ไม่ต่างอะไรกับการปิดทางหนีตน เพราะกระแสไฟฟ้าระลอกนี้ คือสิ่งสุดท้ายที่มันพอจะสร้างไหวในสภาพแบบนี้แล้ว
กลุ่มก้อนกระแสไฟฟ้านั้นพุ่งออกไปหาเย่เย่ด้วยความเร็วที่สูงมากๆ ราวกับว่ามันนั้นคือสายฟ้าที่ฟาดมาในแนวขวางก็ มิปาน ยิ่งไปกว่านั้นจากสัมผัสของพลังที่รับรู้ได้ มันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนๆเป็นยิ่งนัก
“ระวังตัวด้วยนะท่าน สัตว์ร้ายตนนี้มันเตรียมจะใช้แรงฮึดสุดท้ายในการรับมือท่านแล้ว!”
ฉินหมิงเห็นท่าทีของปีศาจตรงหน้าไม่ค่อยดี เขาจึงรีบตะโกนเตือนเย่เย่ไว้ก่อน
“อย่าได้กังวลไปเลย ข้ารอเวลานี้มานานแล้วล่ะ”
น้ำเสียงของเย่เย่ยังคงเยือกเย็นแต่สีหน้าของเขากลับแสดงความโอหังออกมานิดหน่อย ดาบเหล็กดำถูกยกขึ้นแล้วผ่าก้อนกระแสไฟฟ้านั้นออกเป็น 2 ซีกราวกับเป็นเพียงก้อนหินที่พึ่งเข้ามา
*ตู้ม!*
ก้อนกระแสไฟฟ้าที่ถูกผ่าออกนั้นระเบิดรุนแรงหลังจากที่มันรักษาการควบแน่นไว้ต่อไม่ได้ ไอร้อนฟุ้งกระจายไปทั่วป่าจนเหล่านักเดินทางยังต้องถอยหลังออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว ต้นตอของแรงระเบิดนั้นอยู่เพียงด้านหน้าเย่เย่นี่เอง
ทว่าหลังจากที่กลุ่มควันจากแรงระเบิดมันจางลงแล้ว ร่างของเย่เย่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิมเนื่องจากชุดเกราะที่เขาสวมนั้นก็ทำจากเหล็กดำเช่นเดียวกันกับดาบ การยอมปิดทางหนีที่ไล่ของตัวราชาหมาป่าดาราจักรเองนั้นสูญเปล่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เย่ทันที
เมื่อจิตใจเริ่มสงบลงดังเดิมแล้ว เย่เย่ก็ไม่ยืนรอเฉยๆ เขารีบเข้าไปหาร่างของหมาป่ายักษ์ตนนั้นอีกครั้งก่อนจะกำหมัดแน่นและต่อยเข้าไปที่หัวของอีกฝ่ายแรงๆต่อ
ไม่ว่าราชาหมาป่าดาราจักรอยากจะหนีไปจากที่นี่ขนาดไหน แต่เพราะอาการบาดเจ็บที่เย่เย่ทำไว้รวมถึงความเหนื่อยที่ถาโถมเข้ามาหลังจากใช้การโจมตีครั้งสุดท้ายไปนั้นมันทำให้ตอนนี้แม้จะยืนเฉยๆยังยาก ดังนั้นลืมเรื่องเดินไปได้เลย
เย่เย่เริ่มรัวหมัดใส่ส่วนหัวของราชาหมาป่าดาราจักรอีกชุดใหญ่จนกระทั่งได้ยินเสียงของกะโหลกหนาที่แตกออกจากภายใน ครานี้ร่างยักษ์นั้นไร้ซึ่งการขัดขืนและล้มลงไปกองกับพื้นในสภาพไร้วิญญาณเสียแล้ว
“โอ้…”
“อึ๋ย…”
ราชาหมาป่าดาราจักรตายแล้ว และสิ่งนี้มันทำให้หมาป่าตัวอื่นๆไร้ซึ่งผู้นำ เพียงไม่นานพวกมันส่วนใหญ่ก็พากันถอยหนีไปหมด จะเหลือก็แต่พวกที่ยังง่วนอยู่กับการระรานฮั่วเฟิงเท่านั้น
เมื่อครั้นตอนที่พวกมันมารวมกัน จำนวนหมาป่า ณ ที่แห่งนี้มีมากกว่า 50 ตัวเสียอีก แต่ในตอนนี้จะเหลือก็แต่เพียงส่วนที่อยู่กับฮั่วเฟิง ซึ่งจำนวนนั้นมีไม่ถึง 10 ตัวแล้วที่ยังรอดชีวิตอยู่ ภาพแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระดับย่อมเลย
ฮั่วเฟิงที่เห็นหมาป่าเหล่านั้นเริ่มถอยหนีกันแล้วเขาก็ไม่ได้ตามล่าต่อ กลับกันเขาเดินตรงมาหาเย่เย่แทนพร้อมกับตบบ่าเย่เย่เบาๆและเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงขรึม “ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ! พวกข้าเป็นหนี้ชีวิตท่านแล้ว”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฉินหมิงก็เดินเข้ามาหาเย่เย่ด้วย เขาโค้งทำความเคารพให้พร้อมกับกล่าวชื่นชมและเอ่ยขอบคุณ เย่เย่เช่นเดียวกันกับที่ฮั่วเฟิงทำก่อนหน้า “ข้าคือบุตรแห่งผู้ปกครองอารามแห่งจ้าววรยุทธ์! และนี่คือสัญลักษณ์ในนามของอารามจ้าววรยุทธ์ ข้าขอให้คำมั่นสัญญาว่าตราบใดที่ท่านเอ่ยขอสิ่งใดกับข้าแล้ว ข้าจักจัดการสิ่งนั้นให้จงได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม และข้าก็หวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธข้าด้วย!”
จุดประสงค์ของเย่เย่ที่เข้ามาช่วยคนเหล่านี้นั้นก็เพื่อที่จะผูกมิตรกับคนจากอารามจ้าววรยุทธ์อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะปฏิเสธตั้งแต่แรก หลังจากที่รับสัญลักษณ์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์มาแล้ว ตัวเขาเองก็โค้งคำนับให้แก่ฉินหมิงด้วยเช่นกัน “ข้าถือว่าการยอมทำที่ท่านว่านั้นคงจะดีกว่าแค่เคารพเพียงอย่างเดียวเป็นแน่แท้! ข้าชื่อเย่เย่ บางทีในอนาคต ข้าอาจจะเป็น 1 ในคนของอารามจ้าววรยุทธ์ก็ได้”
“ฮ่ะๆๆๆ!” ฉินหมิงหัวเราะชอบใจพร้อมกับตบบ่าเย่เย่และเอ่ยชม
เหล่าสาวกคนอื่นๆของอารามจ้าววรยุทธ์นั้นต่างก็เดินเรียงหน้ากันเข้ามาเพื่อทำความรู้จักกับเย่เย่ด้วยเช่นกัน บรรยากาศในตอนนี้นั้นช่างหวานชื่นกันเสียเหลือกัน
ด้วยความที่พวกเขานั้นสูญเสียผู้ติดตามไปถึง 2 คน ดังนั้นแล้วฉินหมิงจึงตัดสินใจยกเลิกแผนการที่จะฝึกฝนต่อภายในภูเขาหลี่เทียนนี้และตั้งใจจะกลับไปพร้อมกับเย่เย่
เย่เย่ไม่ปฏิเสธและกระโดดขึ้นม้าไป เขาและคนอื่นๆค่อยๆควบม้ากลับไปยังทางที่พวกเขาจากกันมา ทว่าขณะที่กำลังจะผ่านทะเลสาบบนภูเขานั้น ฮั่วเฟิงก็ชิงหยุดขึ้นมาเสียก่อน
คนอื่นๆที่ตามเขามาต่างหันไปมองทางฮั่วเฟิง ทันทีทันใดที่พวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเจออะไร สีหน้าของพวกเขาก็ดูจะตกใจเป็นอย่างมาก
“นั่นมัน จระเข้จักรพรรดิมรกต!”
“ฮ่ะๆๆ งั้นแสดงว่าพวกเราโชคดีกันสินะ!”
“ถ้าไม่ตายเสียก่อน ก็ได้โชคดีแน่ๆ”
อสุรกายรูปร่างคล้ายจระเข้ปีนป่ายขึ้นมาจากทะเลสาบที่เคยเงียบสงบใกล้ๆบริเวณนั้น มันถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นได้ยากมากๆ สำหรับจระเข้จักรพรรดิมรกตที่กำลังแสยะยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวคมอยู่ตอนนี้
เหตุผลที่ทำให้จระเข้จักรพรรดิมรกตนั้นถือเป็นสัตว์หายากและทุกๆครั้งที่โผล่ออกมาจะทำให้ผู้คนต่างพากันตื่นตระหนกก็เพราะดวงตาของมันทั้ง 2 ข้างถือเป็นวัตถุดิบที่หายากมากๆ มีคุณสมบัติในการนำมาสกัดเป็นยาระดับสูง ใครก็ตามที่สามารถนำดวงตาของจระเข้จักรพรรดิมรกตกลับออกไปได้ แม้เขาจะไม่ได้สิ่งอื่นเลยจากการมาภูเขาหลี่เทียน มันก็ไม่ต่างกับได้ขุมทรัพย์ที่ถูกฝังไว้ในภูเขาออกไปด้วยเช่นกัน
“ดวงตาของจระเข้จักรพรรดิมรกตนั้นถือเป็นของที่หายากมากๆ แต่ตัวข้านั้นยังบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ครั้งก่อนอยู่ หากท่านต้องการมันล่ะก็ ท่านคงต้องพึ่งตัวท่านเองแล้วล่ะ ครั้งนี้ข้าไม่บังคับท่านหรอกนะ เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหากท่านคิดว่ามันเป็นปัญหา มันก็จะเป็นปัญหา แล้วทีนี้ท่านก็เลือกเอาว่าท่านจะจัดการกับปัญหานั่นยังไงเอาเอง”
ฮั่วเฟิงนั้นมองไปยังฉินหมิงและคนอื่นๆขณะที่พูดด้วยเสียงเบา
ฉินหมิงและคนอื่นๆในขณะนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับฮั่วเฟิงซักเท่าไหร่ เขาเหมือนถูกห่อไว้ด้วยผ้าที่ชุบน้ำเย็นจนไม่มีไฟที่จะทำอะไรอีก เหตุผลหลักๆนั้นก็เพราะพวกเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บอยู่เช่นกัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ลำพังพวกเขาในสภาพนี้จะสามารถจัดการจระเข้จักรพรรดิมรกตได้ด้วยตนเอง
แต่หลังจากที่หันไปมองเย่เย่ผู้ที่มักจะใจเย็นอยู่ตลอดเวลานั้น ฉินหมิงก็เหมือนเห็นแสงแห่งธรรมที่สาดส่องลงมาชี้ทางสว่างให้แก่เขา ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะหันไปโน้มน้าวเย่เย่ทันที “ท่านพี่เย่ ท่านคิดว่าท่านจัดการจระเข้จักรพรรดิมรกตตนนี้ได้หรือเปล่า? ถ้าท่านมั่นใจล่ะก็ ท่านต้องไม่พลาดนะ! โอกาสที่จะได้เลาะลูกตาของจระเข้จักรพรรดิมรกตน่ะ ไม่ได้โผล่มากันบ่อยๆหรอกนะท่าน!”
เย่เย่หันไปมองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของ ฉินหมิง เขาทำสมาธินิดหน่อยก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป “ข้าจะลองดูก็แล้วกัน! ถ้ายังไงพวกเจาก็คอยช่วยเหลือข้าด้วยนะ น้องฉิน ไว้จบเรื่องนี้แล้วเราค่อยมาแบ่งผลประโยชน์กันอีกทีหนึ่ง”
ได้ยินเช่นนั้นฉินหมิงก็เข้าใจได้ทันทีว่าตัวเขานั้นเป็นหนี้บุญคุณเย่เย่เพิ่มอีกแล้ว
นั่นเพราะว่าการที่จะเข้าไปช่วยเย่เย่เรื่องนี้นั้นมันไม่ใช่อะไรง่ายๆเลย การที่เย่เย่พูดไปแบบนั้นก็เพราะจะใช้เป็นข้อต่อรองเกี่ยวกับผลประโยชน์ของเขาในอนาคตนั่นแหละ
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านพี่เย่มากๆเลยจริงๆ”
ฉินหมิงและคนอื่นๆแสดงความเคารพเย่เย่อีกครั้ง พวกเขานับถือเย่เย่เป็นเสมือนพี่ใหญ่จริงๆของตนเองไปแล้ว
เย่เย่ยิ้มน้อยๆและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม สำหรับเขาถึงแม้ว่าดวงตาของจระเข้จักรพรรดิมรกตจะมีค่ามากขนาดไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้ก็คือการได้เป็นมิตรกับคนจากอารามแห่งจ้าววรยุทธ์เท่านั้น
จระเข้จักรพรรดิมรกตนั้นแข็งแกร่งกว่าราชาหมาป่าดาราจักรเสียอีก หากเย่เย่ไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ พวกฉินหมิงและคนอื่นๆไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแน่ๆ
ขณะที่เย่เย่เดินเข้าไปที่จระเข้จักรพรรดิมรกตตนนั้น คนอื่นๆที่นำทัพโดยฉินหมิงก็ค่อยๆกระจายตัวไปห้อมล้อมสัตว์ร้ายตนนั้นเพื่อคอยสนับสนุนเย่เย่ด้วย
“กรรร!”
แววตาของจระเข้จักรพรรดิมรกตนั้นเห็นการเคลื่อนไหวของคนที่เข้ามาล้อมตัวมันแล้ว ดังนั้นมันจึงคำรามออกมาด้วยความดุร้าย
ตัวมันนั้นมีความสามารถเดียวกับหมาป่าดาราจักร นั่นก็คือการควบคุมสายฟ้าและกระแสไฟฟ้าบนร่างกาย แถมยังมีกำลังกายที่แข็งแกร่งกว่าราชาหมาป่าดาราจักรอีกด้วย ดังนั้นแล้วจ้าววรยุทธ์ระดับทั่วๆไปไม่สามารถรับมือมันได้อย่างแน่นอน แล้วคนเหล่านี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแท้ๆแต่กล้าที่จะหมายชิงดวงตามันไป มีเหรอที่มันจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและดุร้ายได้ขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม เย่เย่ไม่ได้สนใจเลยว่าจระเข้จักรพรรดิมรกตจะขู่พวกเขาขนาดไหน เขาเดินเข้าไปตรงๆท่ามกลางวงล้อมนั้นและใช้ดาบสับลงไปเต็มๆ
แน่นอนว่าการโจมตีหยาบๆแบบนี้ จระเข้ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลานย่อมสามารถหลบได้ง่ายๆอยู่แล้ว และหลังจากหลบมันก็อ้าปากกว้างและพ่นก้อนกระแสไฟฟ้าใส่เย่เย่ที่อยู่ตรงหน้ามันอย่างรวดเร็วอีกด้วย
เสียงของอากาศที่เปี่ยมไปด้วยกระแสไฟฟ้าดังระงมไปทั่ว และเย่เย่ก็รู้สึกได้ถึงไอความร้อนที่มาจากก้อนกระแสไฟฟ้าตรงหน้านั้นเป็นอย่างดี ทว่าสีหน้าเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวหรือวิตกกังวลออกมา เขายังคงโจมตีก้อนพลังงานนั้นไปตรงๆอีกเช่นเดิม
*ตู้ม!*
พลังงานที่ถูกทำให้แตกตัวนั้นระเบิดขึ้นมาทันที ควันจำนวนมหาศาลปกคลุมร่างของเย่เย่อีกครั้งในขณะที่คนอื่นๆที่ล้มเขาไว้ต้องรีบถอยออกก่อนเนื่องจากไอความร้อนจากการโจมตีมันลามเข้าหาพวกเขาแล้ว
ความร้อนนั้นอาจจะมีปัญหากับคนอื่นๆก็จริง แต่ไม่ใช่กับเย่เย่ เพราะทันทีที่เข้าปะทะกับการระเบิด เขาก็กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เกล็ดสีดำมากมายงอกขึ้นมาภายใต้เสื้อผ้าของเขา ดังนั้นแล้วเขาจึงได้ทั้งเกราะเหล็กดำและเกล็ดสีดำเหล่านี้เป็นตัวช่วยป้องกันการโจมตีจากกระแสไฟฟ้าและความร้อนนั้นได้เป็นอย่างดี
ในตอนนี้เย่เย่มีสภาพเหมือนเทพเจ้าสายฟ้าอย่างเทพธอร์ไม่มีผิดเพี้ยน ทั่วทั้งตัวของเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยไฟฟ้าที่วิ่งไปตามจุดต่างๆบนร่างกายราวกับกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญให้แก่เขาไปเสียแล้ว