บทที่ 92
ลบล้างมลทิน
“ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ! สัญญาระหว่างตระกูลเจิ้งของพวกเราและหอการค้าหยูเย่นั้นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวเมืองหลิงเฉิงแล้ว หากพวกเราไม่ทำตามข้อตกลงเราจะเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเยาวชนคนรุ่นหลังได้อย่างไร? พวกท่านไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความแล้วล่ะ ถึงอย่างไรข้าจะไม่มีวันหักหลังหอการค้าหยูเย่เด็ดขาด!”
แม้ว่าเจิ้งซูจะถูกสองผู้อาวุโสท้วงติงแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจแต่อย่างใด ผู้อาวุโสทั้งสามที่เหลือนั้นยังคงนิ่งเงียบ พวกเขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรสนับสนุนฝ่ายไหน ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงเลือกสนับสนุนข้างเจิ้งเฉิง และเจิ้งกงไปแล้ว สิ่งที่ผู้บริหารตระกูลคำนึงถึงมากที่สุดไม่ใช่คำสัญญา หรือเกียรติยศ หากแต่เป็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่เจิ้งซูขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลและตัดสินใจสนับสนุนหอการค้าหยูเย่ในครั้งนั้นทำให้พวกเขากอบโกยผลประโยชน์มหาศาลเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาทั้งสามยังคิดไม่ตก
“เฮ้อ ดูเหมือนว่าท่านเจ้าตระกูลจะไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่เสียทีนะ! ดังนั้นจากนี้ต่อไปพวกเราขอแยกตัวออกจากตระกูลเจิ้ง และใครก็ตามที่ประสงค์จะออกจากตระกูลก็ให้ตามพวกข้ามา! หวังว่าท่านเจิ้งซูคงจะไม่ว่ากันนะ!”
เจิ้งเฉิง และเจิ้งกงต่างถอนหายใจ ก่อนที่จะถอดใจไม่โน้มน้าวเจิ้งซูอีกต่อไป และตัดสินใจขอตัดขาดจากตระกูลเจิ้งที่มีผู้นำไร้วุฒิภาวะเช่นนี้
แม้ว่าเจิ้งซูจะรู้สึกเสียดายที่ผู้อาวุโสทั้งสองจะออกจากตระกูลไป แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด
“ย่อมได้! ท่านพวกท่านทั้งสองประสงค์ที่จะออกจากตระกูลก็ไปเสียเถอะ แต่ข้าไม่อนุญาตให้ท่านพาคนอื่นๆในตระกูลไปด้วยแม้แต่คนเดียว!” เจิ้งซูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจิ้งเฉิงและเจิ้งกงที่รู้จักนิสัยใจคอของเจิ้งซูเป็นอย่างดีก็ตอบกลับไปด้วยความใจเย็น และปราศจากความเกรงกลัวใดๆ
“ท่านเจ้าตระกูล! ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านเย่ให้ของดีอะไรไว้กับท่านบ้าง แต่ด้วยระดับวรยุทธ์ของท่านน่ะสู้พวกข้าพร้อมกันสองคนไม่ได้หรอก!”
“พวกท่านคงลืมไปแล้วว่าที่นี่คือตระกูลเจิ้ง และข้าเจิ้งซูคือผู้นำสูงสุดของที่นี่ นอกเหนือจากข้าแล้วยังมีท่านเทพยุทธ์อีกสามท่านที่ไม่เห็นด้วยกับพวกท่าน หากพวกท่านยังต้องการสู้รบตบมืออีกละก็ เชิญ!” เจิ้งซูผายมือไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามที่ยังคงนิ่งเงียบกันอยู่ และข่มขู่เจิ้งเฉิงเจิ้งกงอย่างไร้เยื่อใย
ทันทีที่เจิ้งซูพูดจบ เจิ้งไคเจี่ยที่อดทนอดกลั้นฟังบทสนทนาอยู่นานก็ลุกขึ้นและเดินดิ่งมาหาเจิ้งซูอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตบไปที่หน้าของเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง
ผั๊วะ!
แม้ว่าเจิ้งซูจะสวมเกราะทะลวงสวรรค์อยู่ แต่เขาก็ยังคงได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก และล้มลงจากแรงตบมหาศาลของ เจิ้งไคเจี่ย
เจิ้งซูที่ไม่ทันได้ตั้งตัว สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดจากความตกใจในทันที เขามองไปที่ผู้อาวุโสที่โจมตีเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านเจิ้งไคเจี่ย ท่านทำแบบนี้ทำไม!?”
“ท่านเจ้าตระกูล ผู้ที่รู้ขีดจำกัดของตนเองและพวกพ้องคือผู้ประเสริฐ ท่านเจิ้งเฉิง และท่านเจิ้งกงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่รับฟังพวกเขา!? หากท่านยังดื้อด้านยืนกรานคำเดิมอยู่ละก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีท่านก็แล้วกัน!”
หลังจากที่ผู้อาวุโสที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเช่นเขามอบบทเรียนให้แก่เด็กน้อย เขาก็เดินไปยืนรวมกับเจิ้งเฉิงและเจิ้งกง เห็นได้ชัดว่าเจิ้งไคเจี่ยนั้นตัดสินใจแนวทางของตนเองแล้ว เจิ้งเฉิงและเจิ้งกงเห็นดังนั้นจึงฉีกยิ้มออกมาด้วยความสะใจ และเหลือบตามองเจิ้งซูที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างเลือดเย็น
“เจิ้งไคเจี่ย นี่เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายท่านเจ้าตระกูล!?”
“เจิ้งเฉิง เจิ้งกง พวกเจ้าด้วย นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
เจิ้งชิว และเจิ้งชวนผู้เป็นสองความหวังสุดท้ายของเจิ้งซู พวกเขาช่วยกันพยุงเจิ้งซูขึ้นมาจากพื้น และด่าทอผู้อาวุโสคนอื่นๆด้วยความโกรธ
เจิ้งซูที่โดนโจมตีอย่างฉับพลันก็หมดสภาพไม่สามารถลุกขึ้นสู้ได้อีก อีกทั้งเจิ้งชิวและเจิ้งชวนนั้นต่างมีระดับวรยุทธ์ที่ต่างจากเจิ้งไคเจี่ยอยู่มาก พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าคอยพยุงร่างของเจ้าตระกูลที่บาดเจ็บ สถานการณ์ตอนนี้ช่างไม่เป็นใจกับเจิ้งซูยิ่งนัก
“ที่พวกเจ้าบอกว่าจะออกจากตระกูลนี่ ล้อกันเล่นรึเปล่า!? จริงๆแล้วพวกเจ้าแค่ต้องการเล่นงานข้าล่ะสิ?”
เจิ้งซูที่ถูกประคองขึ้นก็ค่อยๆยืนขึ้นได้ด้วยขาทั้งสองของตนเอง เขามองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสามที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับตนด้วยความโกรธแค้น แต่ในขณะเดียวกันเจิ้งซูเองก็รู้สึกผิดที่เขาไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น และโทษตัวเองที่ไม่เคยสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงภายในของตระกูลเลยแม้แต่น้อย
แปะ แปะ แปะ
เสียงตบมืออย่างเป็นจังหวะก็ดังขึ้นอย่างช้าๆ
“น่าประทับใจจริงๆ ในที่สุดท่านก็รู้ตัว แต่มันก็สายเกินไปแล้ว! ตระกูลเจิ้งจะไม่ยอมเสียค่าโง่ให้กับความเอาแต่ใจของท่านอีก! พวกเราจะส่งตัวท่านไปให้โจวไท่เพื่อเป็นการลบล้างมลทินซะ! ใครก็ตามที่คิดจะขัดขวางข้า อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน!”
หลังจากที่เจิ้งเฉิงสำรอกแผนชั่วของเขาออกมา เขาก็เหลือบมองเจิ้งชิว และเจิ้งชวนที่มีท่าทีจะขัดขวางแผนการของเขาด้วยสายตาที่ดุร้าย
“น่ะ นี่เจ้าจะขายตระกูลเราหรือไงกัน!? เจ้าไม่อายฟ้าดินบ้างเลยรึ?” เจิ้งชิวพูดขึ้น
“เจ้าโง่! ข้าเจิ้งชวนไม่ยอมให้เจ้านำท่านเจิ้งซูไปขายแน่!” เจิ้งชวนเริ่มทนพฤติกรรมอันหยาบช้าของเจิ้งเฉิงไม่ได้ เขาจึงเดินเข้าไปหาเฒ่าเจ้าเล่ห์
“ช้าก่อน! ท่านเจิ้งชวน ฟังข้านะ”
ก่อนที่จะเกิดการปะทะขนาดย่อม เจิ้งซูได้ห้ามปราบเจิ้งชวนเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่เขาจะพูดกับผู้อาวุโสทั้งสองอย่างใจเย็น
“ข้ารู้สึกซาบซึ้งที่พวกท่านทั้งสองไม่ทอดทิ้งข้า! แต่ข้าไม่อยากเห็นตระกูลเจิ้งทะเลาะกันเองอีกแล้ว พวกท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ถึงเวลาที่ตัวข้าเองต้องเสียสละเพื่อวงศ์ตระกูลบ้างแล้ว”
ถึงแม้เจิ้งซูจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่เขาก็คำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมของตระกูลเป็นสำคัญ ข้อเสนอของเจิ้งเฉิงอาจเป็นทางออกเดียวที่ทำให้ตัวเขาไม่ต้องหักหลังเย่เย่ และยังทำให้ตระกูลเจิ้งรอดพ้นจากเงื้อมมือของศัตรูอีกด้วย อย่างไรก็ตามการทรยศด้วยเสียงข้างมากของผู้อาวุโสทำให้เขาสูญเสียอำนาจในการควบคุมตระกูล
“ท่านเจ้าตระกูล!”
เจิ้งชิว และเจิ้งชวนตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน สีหน้าของพวกเขาไม่อยากยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้ของเจิ้งซูเลยแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งสองนั้นเห็นเจิ้งซูมาตั้งแต่ยังเล็ก และเห็นเขาเติบโตจนกลับมาทวงตำแหน่งผู้นำตระกูลได้สำเร็จ ทั้งสองที่อยู่ข้างของแม่ของเจิ้งซูมาโดยตลอดจึงมีความรู้สึกผูกพันกับเด็กหนุ่มเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินเจิ้งซูตัดสินใจดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงรู้สึกอับอายที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
“ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ตระกูลเจิ้งต้องหวังพึ่งท่านทั้งสองแล้วล่ะ!”
ผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนหยัดข้างเขาก็ซาบซึ้งจนน้ำปริ่มออกมาจากเบ้า เมื่อเห็นผู้นำของพวกเขายืนกรานเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องคัดค้านอีกต่อไป ทั้งสองจึงเริ่มให้คำสัญญากับเด็กหนุ่ม
“ไม่ต้องห่วง พวกข้าจะปกป้องตระกูลเจิ้งเอง!”
ผู้อาวุโสทั้งสามที่ก่อการกบฏก็ประหลาดใจกับการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของเจิ้งซู และแม้ว่าเจิ้งชิวและเจิ้งชวนจะไม่ทำตามคำสั่งของพวกเขา แต่ทั้งผู้อาวุโสเพียงสองคนนั้นก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจมากพอที่จะคัดค้านสามเสียงของพวกเขาได้
“ข้าจะบอกโจวไท่ให้ปรานีเจ้าเท่าที่ข้าจะทำได้”
เจิ้งเฉิงพูดพร้อมกับยิ้มชั่วร้ายให้เด็กหนุ่ม ทันทีที่ตระกูลเจิ้งได้ข้อสรุป ผู้ทรยศทั้งสามจึงรีบพาเจิ้งซูไปหาโจวไท่ที่ปราการ หลิงหยวนในทันที
ในขณะเดียวกันที่ปราการหลิงหยวน ขุมกำลังน้อยใหญ่ และตระกูลต่างๆในหลิงเฉิงต่างพากันมาสวามิภักดิ์แก่โจวไท่ด้วยความนอบน้อม
“เรียนนายน้อย มีผู้อาวุโสแห่งตระกูลเจิ้งต้องการเข้าพบท่านขอรับ พวกเขายังบอกอีกว่าพวกเขาได้นำเจิ้งซู ผู้นำตระกูลมาเพื่อไถ่บาปขอรับ”
โจวไท่ที่นั่งบนบัลลังก์ของพ่อบุญธรรมของตนได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนจะสั่งลูกน้องของเขา
“ให้มันเข้ามา!”
ปราการหลิงหยวนที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนก็เงียบสงัดลงในทันที ตัวแทนจากหอการค้า ตระกูลต่างๆที่เข้ามาผูกมิตรกับโจวไท่ก็นั่งลงบนเก้าอี้ของพวกเขา และรอดูสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ผู้คนในหลิงเฉิงนั้นทราบกันดีว่าตระกูลเจิ้งคือตระกูลที่จงรักภักดีต่อหอการค้าหยูเย่มาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่จากการมาของโจวไท่แม้แต่พวกเขาก็ยอมถอนตัวจากหอการค้าที่พวกเขาเชื่อมั่น เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าหอการค้าหยูเย่นั้นไม่ใช่คู่ต่อกรของโจวไท่เลย
ชาวเมืองหลิงเฉิงที่เคยสงสัยว่าระหว่างเย่เย่ และโจวไท่นั้นใครแข็งแกร่งกว่าใครก็พากันวางเดิมพันข้างโจวไท่หมดหน้าตัก และไม่มีผู้ใดกล้าวางข้างเย่เย่เลยแม้แต่คนเดียว