บทที่36: ช่วยเธอบริจาคเงิน
พอนึกถึงท่าทางที่ฉู่หลินเฉินเย็นชากับตัวเองในเมื่อคืน หวังอี้หลินก็รู้สึกฉินซูต้องทำอะไรไปแน่ๆ!
ฉู่หยุนซีมองไปตามสายตาของหวังอี้หลิน ก็เห็นฉินซู
เธอกำลังโมโหเดือดพล่านที่ฉินซูฟ้องพี่ชายเธอ ทำให้โปรเจ็คของบริษัทเพื่อนเธอถูกสั่งหยุด
พอดีหวังอี้หลินก็อยู่ด้วย ฉู่หยุนซีกลอกตาไปมา แล้วเดินไปที่ตรงหน้าของฉินซู: “ทำไมตัวปลอมเจอตัวจริงก็ไม่ไปทักทายหน่อย? อ๋อ เพราะปลอมตัวเป็นเพื่อนรักของตัวเอง เลยไม่กล้าเผชิญหน้าใช่มั้ย?”
ฉินซูเห็นเธอ ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นได้หันไปเห็นหลิ่วเหวยลู่กับหวังอี้หลินที่อยู่ข้างๆ สายตาของเธอหยุดอยู่ที่หวังอี้หลินครู่นึงก็ได้ดึงสายตากลับ และเตรียมตัวจากไป
ฉู่หยุนซีกลับไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
เธอมองห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลทีนึง โดยธรรมชาตินึกว่าฉินซูเพิ่งช้อปปิ้งมาจากในห้าง
“นังตัวปลอม พี่ชายฉันไม่ได้ให้เงินเธอ คาดไม่ถึงว่าเธอจะมีเงินมาซื้อของที่สถานที่แบบนี้ด้วย?”
หวังอี้หลินได้ยินคำนี้ นึกถึงเงินแปดแสนที่ตัวเองโอนไปทันที ฉินซูคงไม่ได้เอาเงินออกมาใช้แล้วมั้ง?
หางตามองหลิ่วเหวยลู่ที่อยู่ข้างกายทีนึง เธอเกิดความคิดและยืนออกมาพูด: “ฉินซู เธอเอาเงินที่ฉันให้เธอมาช้อปปิ้งใช่มั้ย? นั่นเป็นเงินที่เอาให้ย่าของเธอรักษาตัวเชียวนะ เธอใช้ซี้ซั้วได้ยังไง? นี่เธอไม่ใช่หลอกฉันเหรอ?”
สีหน้าเธอแฝงด้วยความผิดหวัง เหมือนกับว่าฉินซูได้หลอกเงินเธอจริงๆอย่างงั้นแหละ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นคนหลอกลวงทั้งบ้าน อี้หลิน เธอเอาเงินให้นังนี่ได้ยังไง?”ฉู่หยุนซีเชิดใส่ฉินซู
หวังอี้หลินพูดอย่างเสแสร้ง: “ยังไงซะก็เคยเป็นเพื่อนกัน ฉันเห็นเธอลำบากมาก อดไม่ได้ที่อยากช่วยเหลือ เลยให้เธอไปแปดแสนจ้า”
“แปดแสน? ผู้หญิงอย่างหล่อนพอเอาเงินแล้วก็เสพสุขคนเดียว เธอนึกว่าหล่อนจะเอาไปรักษาย่าของหล่อนจริงๆเหรอ! เธอนี่โง่จริงๆเลย”ฉู่หยุนซีพูดด้วยความดูถูก ภายนอกบอกหวังอี้หลินโง่ แต่แท้จริงแล้วอยากกระทบกระแทกว่าฉินซูโกงเงิน
หวังอี้หลินถามฉินซูอย่างยากที่จะเชื่อ: “เธอใช้เงินไปหมดแล้วจริงๆเหรอ?”
พอเธอถามแบบนี้ปุ๊บ สายตาของฉู่หยุนซีและแม่ก็หล่นอยู่ที่บนตัวของฉินซู
แววตาของหลิ่วเหวยลู่แฝงด้วยการสำรวจ
ฉินซูดูหวังอี้หลินแสร้งเป็นคนจิตใจดีอยู่ตรงหน้าตัวเอง ไม่ได้เปิดโปงเธอ
รู้ว่าเธอเป็นคนยังไง เช่นเดียวกัน ตัวเองก็ไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะปล่อยให้เธอรังแกยังไงก็ได้
ฉินซูยิ้มและพูดอย่างเรียบเฉย: “เงินก้อนนั้น ฉันเอาไปบริจาคแล้ว”
“บริจาคแล้ว?” หวังอี้หลินอึ้ง
ฉินซูตอบอืมเบาๆเสียงนึง: “การรักษาของย่าฉันแก้ไขได้แล้ว เงินก้อนนั้นเลยไม่ต้องใช้”
ฉู่หยุนซีเยาะเย้ยขึ้นมาก่อน: “เหอะๆ พูดจาเหลวไหลจริงๆ เธอที่เป็นบ้านนอกมาจากชนบท ใครไม่รู้ว่าเธอเข้ามาครอบครัวฉันก็เพราะเงิน! สำหรับเธอแล้วเงินแปดแสนน่าจะไม่น้อยแล้วมั้ง? ใครจะรังเกียจว่าไม่มีที่ใช้เงินแล้วเอาไปบริจาค!”
ฉินซูเหลือบมองเธอทีนึง แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ: “แต่นี่เป็นความต้องการของหวังอี้หลินนะ ตอนที่เธอโอนเงินให้ฉัน ยังได้กำชับบอกว่าเงินก้อนนั้น เอามาช่วยเหลือคนยากไร้!”
พอพูดจบ เธอได้หันไปมองหวังอี้หลิน และถามอย่างจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม: “หวังอี้หลิน เธอพูดแบบนี้หรือเปล่า?”
ทันใดนั้นสีหน้าของหวังอี้หลินทั้งแดงทั้งซีด คำพูดนี้ เดิมทีเธอเพื่อโชว์ความรู้สึกที่เหนือกว่า และเยาะเย้ยฉินซู คิดไม่ถึงเธอจะ………
นาทีนี้เห็นสายตาของหลิ่วเหวยลู่มองมาที่ตัวเอง หวังอี้หลินเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง ได้แต่กัดฟันพูด: “ใช่ ฉันเคยพูดแบบนี้”
“แต่ฉินซู เธอเอาเงินไปบริจาคแล้วจริงๆเหรอ?” เธออายัดบัตรแล้วแท้ๆ ตามหลักแล้วเงินก้อนนั้นไม่สามารถใช้ได้หนิ บางที ฉินซูอาจจะแค่พูดมั่วไม่มีข้อพิสูจน์ก็ได้!
ฉินซูเอาใบรับรองการบริจาคออกมาจากกระเป๋าอย่างใจเย็น กางออกและยื่นไปที่ตรงหน้าเธอ
“เอา อันนี้ให้เธอ”
บนใบรับรองการบริจาค ตัวหนังสือใหญ่ๆแถวนึงสะดุดตามาก: คุณหวังอี้หลินได้บริจาคเงินแปดแสนหยวนถ้วนให้กับทางสถานรับเลี้ยงเด็กหนานไห่ ขอขอบคุณจากใจจริงครับ!
คาดไม่ถึงว่าฉินซูจะบริจาคเงินก้อนนั้นออกไปจริงๆ แถมยังลงในนามของเธอด้วย……
แปดแสน…….เงินของเธอ
เดิมทีกะว่าผ่านไปสักช่วงค่อยหาโอกาสเอาคืนมา เงืนก้อนนั้นสามารถซื้อกระเป๋าแบรนด์ดังได้หลายใบเลยนะ
ถูกบริจาคออกไปแบบนี้นี่นะ
ฉินซูต้องจงใจแน่ๆ!
หวังอี้หลินได้แต่กัดฟัน แต่เนื่องจากฉู่หยุนซีกับหลิ่วเหวยลู่อยู่ในเหตุการณ์ เธอได้แต่ฝืนยิ้มและรับมา: “ขอบใจนะ ฉันเข้าใจเธอผิดไป”
ฉินซูยิ้มอ่อนๆ: “ไม่เป็นไร”
พอพูดจบ ฉินซูก็หันหลังจากไป
ครั้งนี้ฉู่หยุนซีไม่ได้ขวางเธออีก แต่ได้มองไปที่หวังอี้หลินทีนึง รู้สึกลางๆว่าตรงไหนผิดปกติ
แต่เธอไม่ได้ลังเล ไม่ว่าระหว่างหวังอี้หลินกับฉินซูมันยังไงกันแน่ แต่เธอคงจะยืนข้างตัวปลอมอย่างฉินซูไม่ได้มั้ง
ฉู่หยุนซีเอาใบรับรองการบริจาค และพูดด้วยรอยยิ้ม: “อี้หลิน ที่แท้เธอก็ชอบทำการกุศลเหรอ? ถึงว่าล่ะเธอถึงได้จิตใจดีงามขนาดนี้ แม่ฉันก็ชอบทำการกุศลอยู่เป็นประจำ ต่อไปเธอกับแม่ฉันต้องเข้ากันได้อย่างรื่นรมย์มากแน่ๆเลย! ถูกมั้ยคะแม่?”
สายตาของหลิ่วเหวยลู่ดึงกลับมาจากเงาของฉินซูที่เดินไปไกล แล้วพูด: “วันหลังว่างๆก็มาทานข้าวที่บ้านสักมื้อนะ”
หวังอี้หลินเซอร์ไพรส์แทบแย่ เธอรีบพูดว่า: “ขอบคุณค่ะ คุณหญิงฉู่”
หลิ่วเหวยลู่เป็นฝ่ายเรียนเชิญเธอ เท่ากับปล่อยสัญญาณที่เป็นมิตรให้กับเธอ
ในใจลึกๆของเธอนั้นค่อนข้างได้ใจ ดูท่าแปดแสนหยวนนั่นแลกกับใบรับรองการบริจาคใบนึง ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์
แต่แค่เสียดาย เดิมทีเมื่อครู่อยากให้ฉินซูขายหน้า ไม่คาดว่าเธอจะจากไปอย่างง่ายๆ
ฉินซูกลับถึงบ้านของพ่อเลี้ยง
โจวซือฉินและอีกสองคนต่างก็อยู่บ้าน เพราะฉู่หลินเฉินเคยส่งคนมาตักเตือนพวกเขา เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อฟังมาก
พวกเขาไม่ได้ทำให้ฉินซูลำบากใจ เพียงแค่มีแววตาที่มองเธอเหมือนคนแปลกหน้ายังไงอย่างงั้น เย็นชาและรังเกียจ
ฉินซูเอาเข็มได้แล้วออกมาจากห้องนอน ตอนที่เดินผ่านจงจื้อหย่วน เธอได้หยุดฝีเท้าลง
“ทำอะไร? ยังไม่รีบเอาของแล้วกลับไปปรนนิบัติคุณชายฉู่ดีๆอีก ต่อไปพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับแกอีก!”โจวซือฉินพูดด้วยความหงุดหงิด
ฉินซูไม่ได้มองเธอเลย แต่ได้พูดกับจงจื้อหย่วน: “หนูอยากรู้ว่า ก่อนหน้านั้นคุณเคยพูดถึงหลักฐานยืนยันฐานะของหนู ตกลงมันจริงหรือเปล่าคะ?”
จงจื้อหย่วนได้ทิ้งภาพลักษณ์พ่อแสนดีมีเมตตาไปตั้งนานแล้ว จุดบุหรี่ขึ้นมามวนนึงต่อหน้าฉินซู กลืนเมฆคายหมอก และพูดอย่างเกียจคร้าน: “แกมีปัญญาขนาดนี้ รักษาย่าของแกให้หายดีแล้วไปถามเธอเองสิ! เพราะเรื่องนี้ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง”
คุณย่า?
สีหน้าของฉินซูสงบนิ่งมาก: “รู้แล้วค่ะ”
เธอหันหลังเดินออกไป เดินได้ไม่กี่ก้าว เธอก็ได้หยุดฝีเท้าแล้วพูด: “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่หนูจะเหยียบเข้ามาบ้านหลังนี้ ต่อไปนอกจากย่าแล้ว เรื่องของพวกคุณไม่เกี่ยวข้องกับหนูอีกต่อไป”
พอพูดจบ เธอได้ไปจาก“บ้าน”ที่เคยใช้ชีวิตมาห้าปีอย่างไม่หันกลับมามองอีก
จงจื้อหย่วนมองหน้าประตูที่ว่างเปล่า ขมวดคิ้วแล้วดับก้นบุหรี่ลงที่เขี่ยวบุหรี่
ยามดึก
ออฟฟิศของประธานบริษัทเครือฉู่ เว่ยเหอมองผู้ชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ในที่สุดก็อดเดินเข้าไปหาไม่ได้
“คุณชายฉู่ครับ เรื่องงานก็เคลียร์จบแล้ว คุณชายไม่คิดจะกลับไปเหรอครับ?”