บทที่40: ขอโทษเธอ
หวังอี้หลินเกิดไหวพริบและพูดว่า: “ที่จริงนั่นก็ไม่ใช่ครั้งที่หนูเจอหลินเฉินหรอกค่ะ ปีที่แล้วตอนที่หนูไปต่างประเทศ ก็เคยเจอคุณชายฉู่ค่ะ”
ปีที่แล้วเธอไปเที่ยวต่างประเทศจริงๆ อีกอย่างรู้พอดีว่าช่วงนั้นฉู่หลินเฉินก็อยู่ต่างประเทศ
ซ่งจิ่นหรงถูกเบี่ยงเบนประเด็นจริงๆซะด้วย เธอพูดอย่างเซอร์ไพรส์: “ที่แท้หนูกับอาเฉินมีวาสนากันตั้งนานแล้ว ดีเลย! ดีจริงๆ!”
“ก็คงใช่มั้งคะ”หวังอี้หลินก้มหน้าด้วยความเก้อเขิน หางตากลับมองไปที่ฉินซู
เห็นฉินซูดึงสายตากลับอย่างไม่มีความสงสัยสักนิดเลย เธอแอบดีใจอยู่ลับๆ และรู้สึกโล่งอก
ทั้งสองได้คุยกันอีกสักพัก
เพราะฉินซูก็อยู่ด้วย หวังอี้หลินพูดจาจึงระมัดระวังขึ้นเยอะมาก ไม่พูดคำพูดใดๆที่ทำให้ฉินซูเกิดการคิดเชื่อมโยง
แต่แท้จริงแล้ว ฉินซูที่ได้ยินหวังอี้หลินพบเจอกับฉู่หลินเฉินในตอนแรกนั้น ก็ค่อนข้างแปลกใจ แต่ไม่อยากจะสนใจเรื่องระหว่างเขาสองคน
เธอเหมือนคนนอกอย่างไงอย่างงั้น นั่งรอหลินเฟิงพวกเขากลับมา
ซ่งจิ่นหรงพูดกับหวังอี้หลินด้วยความรู้สึกผิด: “ต้องโทษที่ย่าเลอะเลือนเอง เห็นหลักฐานยืนยันฐานะที่สองสามีภรรยาอย่างจงจื้อหย่วนส่งมาให้ ก็ดูคนผิด ทำให้งานแต่งของหนูกับอาเฉินต้องล่าช้า…….เฮ้อ!”
หวังอี้หลินส่งเสียงฮื้ออย่างเห็นด้วยอยู่ในใจลับๆ: ใครบอกไม่ใช่ล่ะ เป็นความผิดของแกเนี่ยแหละ!
แต่เธอไม่ได้เผยออกมาเลยสักนิด พูดอย่างเข้าอกเข้าใจ: “คุณผู้หญิง จะโทษคุณท่านได้ยังไงคะ? หนูเข้าใจค่ะ ที่ทำไปนี้เพราะหน้าตาของตระกูลฉู่ ถึงแม้หนูไม่ได้แต่งเข้าตระกูลฉู่อย่างเป็นทางการ แต่ได้เห็นตัวเองเป็นคนของตระกูลฉู่ตั้งนานแล้วค่ะ รู้ว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญค่ะ”
ความใจกว้างและรู้เหตุรู้ผลที่เธอแสดงออกมา หลอกลวงซ่งจิ่นหรงได้จริงๆซะด้วย
ทีนี้ซ่งจิ่นหรงยิ่งละอายใจเข้าไปใหญ่ ตัดสินใจอยู่ลับๆ จะต้องให้หลานสะใภ้ตัวเองแต่งเข้าบ้านโดยเร็วให้ได้!
“อย่าเรียกย่าว่าคุณผู้หญิงเลย หนูกับหยุนซีอายุห่างกันไม่เกินสองสามปี ต่อไปถึงอยู่ต่อหน้าคนอื่น ก็เรียกย่าว่าย่านะ!”
หวังอี้หลินดีใจ ความหมายของยัยแก่คนนี้คือ……..ยอมรับตัวเองแล้ว?
เธอเก็บความดีใจไว้ และเรียกด้วยความเขินคำนึง : “คุณย่า!”
เวลานี้ ในที่สุดเธอก็สามารถมองไปที่ฉินซูอย่างมีความมั่นใจ ในมุมที่ซ่งจิ่นหรงมองไม่เห็น ทำสายตาท้าทายให้ฝ่ายตรงข้าม: เห็นหรือยัง ฉันถึงจะเป็นคุณนายหญิงของตระกูลฉู่!
ฉินซูเห็นแล้วยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย
ซ่งจิ่นหรงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินซูพอดี เธอขมวดคิ้วอย่างห้ามใจไม่ได้
ที่จริงเธอชอบฉินซูเด็กผู้หญิงคนนี้มาก ไม่ใช่เพราะอย่างอื่นใด ได้แต่ชื่นชมบุคลิกที่เงียบสงบในตัวเธอ ดังนั้นสำหรับเรื่องที่คนทั้งบ้านของฉินซูทำ เธอจึงไม่ได้ไปสืบสาวราวเรื่อง
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน หลานสะใภ้แท้ๆของเธอหวังอี้หลินอยู่ในเหตุการณ์ ฉินซูปลอมฐานะคนอื่น ต่อหน้าเจ้าของตัวจริงยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก
นั่นไม่ได้เรียกว่าเรียบเฉย แต่เรียกว่ากำเริบเสิบสานไร้มารยาท ไม่รู้จักขอบเขต
เธอเพิ่งให้หวังอี้หลินเปลี่ยนมาเรียกคุณย่า ก็ต้องปกป้องหลานสะใภ้ตัวเองอยู่แล้ว
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจิ่นหรงเปิดปากพูด: “ฉินซู หนูมานี่”
ฉินซูกำลังคิดเรื่องราวอยู่ จู่ๆถูกเรียกชื่อ เธอลังเลไปครู่นึงก็ได้ลุกไปที่ตรงหน้าของซ่งจิ่นหรง
“คุณผู้หญิง ท่านเรียกหนูเหรอคะ?”
ซ่งจิ่นหรงเก็บความเมตตาของใบหน้าไว้ และทำหน้าเคร่งขรึมแล้วพูด: “ตั้งแต่หนูเข้ามาก็นั่งเหม่อลอยอยู่ที่นั่นตลอด ฉันอยากถามหนูคำนึง หนูไม่มีอะไรจะพูดกับอี้หลินเลยเหรอ?”
ฉินซูมองหวังอี้หลินทีนึง ค่อนข้างลังเล: “หนูกับเธอ น่าจะไม่มีอะไรต้องพูดมั้งคะ?”
คำพูดนี้ทำให้ซ่งจิ่นหรงยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ เธอพูดตรงๆ: “ถึงจะเป็นแค่เพื่อนธรรมดา เจอหน้ากันก็ยังต้องทักทายกัน ยิ่งไปกว่านั้น อี้หลินไม่เพียงเป็นเพื่อนสนิทของหนู หนูยิ่งได้ปลอมตัวเป็นเธอ หรือว่าไม่ควรกล่าวคำขอโทษสักคำเลย?”
ไม่ว่าจะด้วยความสัมพันธ์หรือด้วยเหตุผล เธอล้วนรู้สึกว่าฉินซูติดค้างคำขอโทษกับหวังอี้หลิน
เดิมทีหวังอี้หลินเห็นท่าทีอ่อนโยนที่ซ่งจิ่นหรงมีให้ฉินซู ลึกๆรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เห็นเธอมีท่าทีเปลี่ยนไป เป็นฝ่ายพูดออกมาว่าให้ฉินซูขอโทษตัวเอง ย่อมค่อนข้างได้ใจอยู่แล้ว
แต่ปากกลับพูดว่า: “คุณย่าคะ หนูว่าฉินซูก็คงไม่ได้จงใจปลอมตัวเป็นหนูหรอกค่ะ และอีกอย่าง เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว มาถือสาเรื่องพวกนี้อีกก็ไม่มีประโยชน์ สู้ช่างมันเถอะค่ะ”
ซ่งจิ่นหรงมองเธอด้วยความชื่นชม ชื่นใจมากที่หลานสะใภ้ตัวเองเป็นคนที่จิตใจดีงามและใจกว้างขนาดนี้
แต่ย้อนกลับมาดูฉินซู……..
ซ่งจิ่นหรงอึ้งครู่นึงอย่างห้ามใจไม่ได้ เห็นแค่หลังจากเธอฟังคำพูดของหวังอี้หลินเสร็จ สีหน้ากลับเผยรอยยิ้มที่เยาะเย้ยออกมา
“ตอนที่ตบหน้าฉันทีนึง เธอไม่ได้พูดแบบนี้นะ”ฉินซูพูดอย่างน่าขำ
ซ่งจิ่นหรงมองไปที่หวังอี้หลินด้วยจิตใต้สำนึก เห็นใบหน้าเธอมีอาการกินปูนร้อนท้องแว๊บผ่าน ทันใดนั้นก็เกิดความสงสัย
“นี่…….”
กำลังเตรียมถามให้ชัดเจนว่ามันยังไงกันแน่ จู่ๆรู้สึกแน่นหน้าอก ในหัวเสียงดังหึ่งๆ
เธอกุมหน้าอกไว้ จู่ๆหายใจเร่งรีบขึ้นมา ร่างกายอ่อนยวบยาบล้มฟุบลงไปที่พื้น
หวังอี้หลินตะโกนด้วยความตื่นตระหนก: “คุณย่า! นี่…..นี่มันอะไรกันคะ?”
“คุณผู้หญิง!”ฉินซูสีหน้าตกใจ รีบเดินไปข้างหน้าอยากเช็คดูอาการ ก่อนหน้านี้เธอเห็นคุณผู้หญิงโรคลมบ้าหมูกำเริบ แต่ครั้งนี้เหมือนสถานการณ์ไม่ค่อยเหมือนกัน?
หวังอี้หลินเห็นฉินซูมาข้างหน้า เดิมทีเธออยากวิ่งไปเรียกคน แต่หางตาเหลือบไปเห็นเงาสองเงาเดินเข้ามา
เธอเปลี่ยนความคิด ผลักฉินซูออกทันที และรีบพูด: “คุณย่าก็เป็นแบบนี้แล้ว เธอยังอยากทำอะไรอีก? !”
หลิ่วเหวยลู่กับฉู่หยุนซีที่เพิ่งกลับมาจากป้ายบูชาบรรพบุรุษได้เดินมาข้างหน้าอย่างไว เห็นอาการของซ่งจิ่นหรงและสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ฉู่หยุนซีกุมปากแล้วพูด: “ทำไมคุณย่าถึงเลือดกำเดาไหล? !”
หลิ่วเหวยลู่เห็นสถานการณ์แล้วตัดสินใจเด็ดขาดไปเรียกให้คนเตรียมรถ ส่งคุณผู้หญิงไปโรงพยาบาล
หลินเฟิงกำลังอำลากับฉู่หลินเฉิน
“คุณผู้หญิงไม่ยอมเจอผม ผมก็ไม่รบกวนแล้วครับ ครั้งหน้าค่อยมาเยี่ยมเยียนใหม่ครับ”
“คุณอาหลิน ผมไปส่งครับ”
กำลังจะเดินออกไปข้างนอก ฉู่หยุนซีวิ่งมาด้วยความเร่งรีบ: “พี่หลินเฉิน คุณย่าไม่ไหวแล้ว รีบ..เรียกคุณหมอมา!”
ฉู่หลินเฉินกับหลินเฟิงฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนในเวลาเดียวกัน
ฉู่หลินเฉินไม่พูดจาสักคำก็พุ่งไปที่ห้องรับแขก หลินเฟิงไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น ได้แต่เดินตามไป
ฉู่หยุนซีถามด้วยความเร่งรีบ: “อี้หลิน ทำไมจู่ๆคุณย่าถึงเป็นแบบนี้ได้?”
หวังอี้หลินพูดอย่างไม่แน่ใจ: “คุณย่าน่าจะโดนไฟโกรธเข้าแทรกในใจ เลยก่อให้เกิดโรคเฉียบพลัน”
“ไฟโกรธเข้าแทรกในใจ? เธอหมายความว่าคุณย่าถูกสะกิดจนเครียดแล้วสลบไปงั้นเหรอ?”
ฉู่หยุนซีมองไปที่ฉินซูด้วยจิตใต้สำนึก:“นี่มันยังไงกันแน่? !”
ไม่ให้ฉินซูมีโอกาสได้พูด หวังอี้หลินรีบแย่งพูดก่อน: “เมื่อกี๊คุณย่าอยากให้ฉินซูขอโทษฉันเรื่องที่ปลอมตัวเป็นฉัน แต่ฉินซูเธอไม่ยอม…….”
“ที่แท้เธอทำคุณย่าเครียดจนสลบนี่เอง!”ฉู่หยุนซีจ้องฉินซูด้วยความโกรธทีนึง จากนั้นได้หันไปมองหวังอี้หลิน: “อี้หลิน เธอรีบช่วยคุณย่าเร็ว!”
ที่จริงหวังอี้หลินไม่มีความมั่นใจกับอาการของคุณผู้หญิงเลย แต่พอหันสายตาไปก็เห็นพวกฉู่หลินเฉินก็เดินมาแล้ว
เธอมีใจอยากแสดงความสามารถของตัวเอง ดังนั้นจึงได้เปิดปากพูด: “วางใจเถอะ ฉันจัดการเอง เมื่อกี๊คุณย่าดีกับฉันมาก ฉันไม่ให้ท่านเป็นอะไรแน่นอน!”
เธอแค่จัดการตามเคสเป็นลมหมดสติฉุกเฉินทั่วไป ยื้อจนหมอมาแล้วก็พอ