“ฉันรู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่คุณดีกับเฉินเฉินถึงเพียงนี้ แต่นาฬิกาเรือนนี้ไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ ค่ะ คุณอาจจะทำให้เขายอมรับมันไว้ได้ แต่เขารึจะกล้าใส่ ถ้าคุณอยากให้ของขวัญเขาจริง ๆ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่ราคาไม่แพงกับเขาดีกว่าค่ะ”
“สำหรับการ์ดใบนี้…”
เธอลังเลก่อนจะพูดต่อ
“ฉันพอจะมีรายได้อยู่บ้าง ฉัน…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เขาก็ขัดจังหวะด้วยเสียงเย็นเฉียบขึ้น
“เอาเป็นว่าฉันจะรับฝากนาฬิกาเรือนนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน แล้วจะให้เขาอีกทีภายหลังเมื่อเขาเหมาะสมที่จะสวมมัน แต่กับการ์ดใบนั้น ยังไงคุณก็ต้องเก็บมันไว้”
“ฉัน…”
“ถ้าต้องให้ภรรยาออกไปทำงานหาเงินใช้จ่ายเอง มันคงพิลึกและรู้สึกน่าละอายใจไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันไม่ได้…”
เหมาเยซือยกมือขึ้นขัดเธออีกครั้ง ดวงตาหรี่เล็กลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เฉียวเมียนเมียน ก่อนหน้านี้คุณเคยปฏิเสธเงินของซูเจ๋อด้วยเหรอ?”
เฉียวเมียนเมียนนิ่งเงียบลงในทันที
เธอเม้มริมฝีปากไว้แน่น ได้แต่นั่งเงียบ
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับเงินจากซูเจ๋อ แต่มันจะเหมือนกันได้ยังไง
เธอกับซูเจ๋อรู้จักกันมาหลายปีแล้ว แต่กับเขาเธอเพิ่งจะรู้จักได้ไม่ถึงหนึ่งวันเลย
ความเงียบของหล่อนทำให้ผู้ชายข้าง ๆ สงบลง
ที่นั่งคนขับ ลุงหลีเสมองกระจกหลัง พบว่าบรรยากาศระหว่างที่คู่ข้าวใหม่ปลามันอึดอัดพึลึก เขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้น
“นายท่าน นายหญิงครับ จะไปทานข้าวที่ร้านไหนดีครับ?”
เฉียวเมียนเมียนเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เธอตกใจกับท่าทีของเหมาเยซือ กระทั่งรู้สึกเคืองเขาอยู่บ้าง เธอไม่ยอมรับว่านี่คือความผิดของเธอ
แล้วอะไรกันล่ะที่ทำให้เธอต้องแต่งงานกับเขา?
พวกเขาเพิ่งจะพบกันไม่ถึงหนึ่งวันเสียด้วยซ้ำ สำหรับ คำว่า สามี ก็ไม่ต่างไปจากคนแปลกหน้าเลยด้วยซ้ำ
จะให้เธอชินกับการใช้เงินของคนแปลกหน้าได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน
เฉียวเมียนเมียนโกรธทำให้ใบหน้าเธอบูดเบี้ยว ดวงตากลมโต เสมองไปทางอื่นและไม่สนใจเขา
เหมาเยซือหันไปมองใบหน้าของเธอเพียงครู่ความอึดอัดหงุดหงิดในใจก็มลายหายไป เขาหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะยกมือทาบบนไหล่ของเธอ แล้วดึงร่างบางเข้าหาตัว
“คุณโกรธผมเหรอ?”
เฉียวเมียนเมียนเม้มริมฝีปาก ก่อนจะลดตาลงปฏิเสธที่จะพูดกับเขา
เหมาเยซือเลิกคิ้ว ก่อนที่รอยยิ้มบนริมฝีปากจะลึกขึ้น “ขอโทษนะ ผมขอโทษคุณล่ะกัน”
“ผมอาจจะคิดอะไรตื้น ๆ ผมไม่ควรพูดแบบนั้นกับคุณเลย คุณตกใจกลัวมากรึเปล่า หึ?”
ขนตาของหญิงสาวกระพือเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปากสีชมพูดแน่น ใบหน้ายังคงบูดเบี้ยว
เหมาเยซือมองไปที่เธอครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นบีบกรามเธอเบา ๆ แล้วยกศีรษะเธอขึ้น
เขาลดเสียงลง แล้วมองลึกลงไปในดวงตา “เฉียวเมียนเมียน อย่าโกรธเลยได้ไหม?”
“เมื่อกี้ผมก็แค่หึงคุณน่ะ ผมอิจฉาซูเจ๋อนี่น่า”
นิ้วมือเย็นเฉียบของเขายังคงจับคางเธอค้างอยู่อย่างนั้น
เมื่อเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอเท่าไหร่ กลิ่นกายของเขาก็แทรกซึมแตะจมูกของเธอ
หูของเจ้าหล่อนแทบจะหลุดออกจากจุดเดิมของมันในทันที ที่เขาเรียกชื่อเธอ
“เฉียวเมียนเมียน” เสียงเรียกของเบา ๆ ของชายคนนี้กรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท กระทั่งหัวใจของหล่อนยังสั่นไหว เสียงนุ่มลึกของเขาช่างเย้ายวนทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เธอจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเธอโกรธเขา
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองใบหน้าเขา หัวใจของเธอสั่นไหวไม่เป็นท่า ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นจนกลายเป็นสีเข้ม
ทำไมนะทำไม ใบหน้าของชายผู้นี้ถึงได้หล่อกระชากใจเสียเหลือเกิน
ยิ่งจ้องไปที่ดวงตาของเขา ก็ยิ่งชวนให้หลงไหล
ถ้าประมาทเพียงสักนิด เธออาจต้องหลงดวงตาคู่นั้นกระทั่งหาทางออกไม่เจอ…