เฉียวเมียนเมียนตกตะลึง
เธอเบิกตากว้างและถอยหลังห่าง “คุณคือ…?”
เหลยเอินยิ้มให้กับนายผู้หญิง ดูเธอคล้ายจะอายุไม่ถึง 20ปีเลยด้วยซ้ำ
“กระผมมีนามว่าเหลยเอิน เป็นพ่อบ้านตระกูลเหมา นายน้อยกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่ห้องอาหารครับ คุณผู้หญิงจะรับอาหารเช้าด้วยเลยหรือไม่ครับ”
บ้านตระกูลเหมา…
เฉียวเมียนเมียนกวาดสายตาตรวจสอบเข้าไปในคฤหาสน์แห่งนี้
นี่คือบ้านของเหมาเยซือเหรอ
เธอคิดว่ามันเป็นบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่เสียอีก
แต่…
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าความยากจนได้จำกัดจินตนาการของเธอจริง ๆ
บ้านที่เหมือนปราสาทหลังนี้ใหญ่กว่าวิลล่าหลายเท่าตัว
“เหมาเยซือยังอยู่ที่บ้านเหรอ?” เธอก้มดูเวลาแล้วคิดว่าเขาจะไปที่บริษัทแล้วเสียอีก
เมื่อได้ยินเธอเรียกเขาว่า “เหมาเยซือ” ตรง ๆ เหลยเอินตกใจเล็กน้อย เขาได้สติคืนอย่ารวดเร็วแล้วพยักหน้า
“ใช่ครับ นายน้อยอยู่ยังที่บ้านครับ”
“โอ้”
เฉียวเมียนเมียนพยักหน้า “ฉันอยากไปหาเขาค่ะ รบกวนช่วยนำทางด้วยค่ะ”
เหลยเอินรีบตอบ “ตามมาทางนี้เลยครับ”
***
เฉียวเมียนเมียนไปถึงห้องอาหาร หลังจากเดินไปได้เพียงไม่กี่นาที หากไม่ได้เหลยเอินนำทาง เธอคิดว่าต้องเดินหลงทางเป็นแน่
ชายหนุ่มในชุดสบาย ๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะแกะสลักสีขาวขนาด2-3เมตร เขานั่งจิบกาแฟอย่างหรูหรา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปที่เฉียวเมียนเมียน หลังจากมองหล่อนเพียงไม่กี่วินาที คิวของเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
เฉียวเมียนเมียนตัวเกร่งขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
เธอรู้สึกราวกับว่าเธอทำอะไรผิดพลาดไป
ครู่ต่อมา
เหมาเยซือยกมือขึ้น พร้อมทั้งกวักมือเรียกเธอ “มานี่สิ”
เสียงของชายหนุ่มยังคงฟังดูมีอำนาจเหมือนทุกที
เฉียวเมียนเมียนเดินตรงเข้าไปหาเขา
แล้วหยุดอยู่ห่างจากเขาประมาณเมตรครึ่ง
เธอมองตรงไปยังใบหน้าคมของของ หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ เธอพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
เธอขมวดคิ้วแล้วพูดกับเขา “เหมาเยซือคะ ฉันของคุยด้วยหน่อย”
แต่ชายหนุ่มยังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรให้ต้องรีบร้อน “นั่งลงทานอะไรสักหน่อย แล้วค่อยคุยกัน”
“ไม่ล่ะค่ะ…” เฉียวเมียนเมียนพูดอย่างรีบร้อน
“ฉันไม่มีเวลาทานอาหารเช้า คุณช่วยให้คนขับรถไปส่งฉันที่มหาวิทยาลัยที วันนี้ฉันมีคาบเรียนสำคัญที่ขาดไม่ได้ค่ะ”
“คาบเรียนที่สำคัญมากจริง ๆ ค่ะ” เฉียวเมียนเมียนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลาอีกครั้ง พร้อมกับอาการรีบร้อนมากขึ้น “ฉันมีเรียนตอน 10 โมงคะ ตอนนี้มีเวลาไม่ถึงชั่วโมงแล้ว”
“อืม” เหมาเยซือพยักหน้ารับว่าเขาได้ยินที่เธอพูดแล้ว
ท่าทีของเขา ทำให้เธอรู้สึกกังวลใจมากยิ่งขึ้น
“เหมาเยซือ เมื่อคืนคุณบอกฉันเองนะ ว่าจะไปส่งฉันที่มหาวิทยาลัย จะผิดคำพูดไม่ได้นะคะ”
“ทำไมจะต้องรีบร้อนขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้คุณไปสักหน่อย” เหมาเยซือเคาะโต๊ะเบา ๆ ส่งสัญญาณให้เธอนั่งลง
“ทานข้าวก่อน”
เฉียวเมียนเมียนจะอยู่ในอารมณ์ที่จะกินได้อย่างไร
“ฉัน…”
“เมียนเมียน อย่าดื้อสิ”
น้ำเสียงของชายตรงหน้าลดลงเล็กน้อย มีความอ่อนโยนราวกับว่าเขากำลังปลอบเด็ก
“ผมจะจัดการเรื่องคาบเรียนให้ ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าคุณจะกังวลแค่ไหน ก็ต้องทานอาหารเช้าก่อน จะไปเรียนทั้งที่ท้องยังว่างอยู่ได้ยังไงกัน”