“เสิ่นตู้คิดจะทรยศนิกาย จึงได้รับเทวทัณฑ์ไปแล้ว”
ภายในบ้านของหลี่เจิน แสงสลัวสีเหลืองสาดส่องตกกระทบแต่ละคนไม่เท่ากันจึงทำให้เกิดแสงเงาสว่างมืดตัดสลับกันไปมา
ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครพูดออกมาเป็นเวลาเกือบสิบวินาที แม้แต่เสียงหายใจก็ไม่มีด้วยซ้ำ
ทั่วทั้งห้องราวกับว่าถูกคนกดปุ่มให้หยุดภาพค้างไว้
ในที่สุด ‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ยก็ทำลายความวังเวงนี้ลง เธองอแขนทำท่าเหมือนเขย่าเด็กทารกเบาๆ
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!”
เมื่อเสียงเธอสิ้นสุดลง ภายในห้องก็พลันได้ยินเสียงลมหายใจหนักและถี่กระชั้นดังขึ้น พวกเขาดูราวกับว่ากลั้นลมหายใจเอาไว้นานแล้ว
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!” สาวกนิกายทั้งหมดทำความเคารพสักการะตาม
พวกเขาเกิดความศรัทธาแก่กล้ายิ่งกว่าเดิม
ซางเจี้ยนเย่าเข้าผสมโรงด้วย ทำท่าทางอุ้มทารกอย่างพิถีพิถัน น้ำเสียงไม่มีคลื่นอารมณ์สั่นไหวแม้แต่น้อย
จากนั้น ‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ยก็พูดต่อ
“คนบาปหวังย่าเฟยก็ได้รับเทวทัณฑ์ไปแล้วเช่นกัน”
พูดจบเธอก็มองไปรอบๆ อย่างช้าๆ เห็นทุกคนล้วนแต่ก้มศีรษะลง
เหรินเจี๋ยไม่ได้พูดถึงเสิ่นตู้และหวังย่าเฟยอีก เธอเริ่มการเทศน์ต่อ
ครั้งนี้เธอพูดถึงความสูงส่งและความศักดิ์สิทธิ์ของเทพีตุลากรชะตา
เมื่อใกล้จะจบ เธอก็กวาดสายตามองดูสมาชิกแต่ละคนอีกครั้งหนึ่ง
“พระองค์ทรงโอบอ้อมอารีและเปี่ยมด้วยพลานุภาพ
“พระองค์ทรงทอดพระเนตรโลกนี้มาโดยตลอด
“‘คุรุศักดิ์สิทธิ์’ เองก็ใส่ใจพวกเราด้วยเช่นกัน ไม่มีใครเล็ดลอดจากสายตาเขาไปได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดถึงโครงสร้างภายในของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’
คนที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายจะเรียกว่า ‘ผู้ถือกำเนิด’ เมื่อมีส่วนร่วมในกิจกรรมและนำผู้ศรัทธามาเข้าร่วมมากพอสมควรก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น ‘ผู้ชี้นำ’ ส่วนระดับที่สูงกว่า ‘ผู้ชี้นำ’ ก็คือ ‘คุรุศักดิ์สิทธิ์’
ส่วนระดับที่สูงกว่า ‘คุรุศักดิ์สิทธิ์’ นั้น เหรินเจี๋ยไม่ได้กล่าวถึงว่ามีหรือไม่ หากว่ามีแล้วเรียกว่าอะไร
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!”
‘ผู้ถือกำเนิด’ ทุกคนทำท่าเขย่าเด็กทารกอีกครั้ง
เนื่องจากว่าครั้งนี้เป็นการชุมนุมแบบฉุกเฉิน จึงไม่มีศีลมหาสนิท เมื่อจบเรื่องแล้วพวกเขาต่างก็ลุกขึ้นแยกย้ายกันไปเป็นกลุ่ม
ซางเจี้ยนเย่าเตรียมจะออกไป แต่เหรินเจี๋ยเรียกเขาไว้เสียก่อน
‘ผู้ชี้นำ’ คนนี้ยิ้มให้กับเขา
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก องค์เทพีตุลากรชะตาแห่งผู้ครองกาลทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
“ขอเพียงแค่เธอไม่ลบหลู่เทพเจ้า ไม่ทรยศนิกาย พระองค์ก็จะอำนวยพรให้ ไม่มีเทวทัณฑ์”
ทัศนคติของเหรินเจี๋ยที่มีต่อซางเจี้ยนเย่านั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
“สรรเสริญพระเมตตาแห่งท่าน!” ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาจากใจ
เมื่อออกมาจากบ้านหลี่เจินแล้ว เขาถือไฟฉายเดินเลียบผนังด้วยความเร็วที่ไม่เร็วไม่ช้า
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาก็เห็นเจี่ยนซินกับจั๋วเจิ้งหยวนที่เป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของหวังย่าเฟย
แสงไฟฉายของพวกเขานั้นอ่อนมาก ดูเหมือนว่าน่าจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว
ทั้งคู่เดินอย่างวิตกกังวลท่ามกลางแสงไฟสลัว แสงไฟส่ายไปมาราวกับกำลังหวาดกลัวว่าอาจมีสัตว์ประหลาดกระโจนออกมาจากความมืดมิด
ซางเจี้ยนเย่าเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลงเป็นระดับปกติ มองดูเงาร่างสลัวของเจี่ยนซินและจั๋วเจิ้งหยวนหายลับไปที่หัวมุม
* * * * *
ยามเช้าเวลา 7.50 น. ห้องเลขที่ 14 ชั้น 647
ซางเจี้ยนเย่าเข้ามาที่ห้องของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก่อนโดยไม่ได้รอมาพร้อมกับหลงเยว่หง
เขาไม่แปลกใจที่เจี่ยงไป๋เหมียนมาถึงแล้ว เธอนั่งอยู่ในที่นั่งประจำของตัวเอง ในมือถือปากกาหมึกซึม ครุ่นคิดเหม่อลอย
เมื่อรู้สึกถึงการเข้ามาของซางเจี้ยนเย่า เธอก็กวักมือเรียก
“ฉันเจออะไรบางอย่าง”
ซางเจี้ยนเย่ารีบกระโดดเข้าไปหาทันที
“…ไม่ต้องเวอร์ขนาดนั้นก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
“สมองกระตุกน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง
“ช่างเถอะ ฉันรู้ว่านายมีใบรับรองแพทย์” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจด้วยความจนใจ
จากนั้นเธอก็พูดอย่างจริงจัง
“เบาะแสเบื้องต้นก็คือมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าผู้ตื่นรู้คนนั้นอาศัยอยู่ที่ชั้น 478 หรือไม่ก็ทำงานที่นั่น”
ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะได้พูดอะไร เธอก็อธิบายให้ฟังคร่าวๆ ถึงที่มาของเบาะแสและปัจจัยพื้นฐานของการตัดสินใจ สุดท้ายก็พูดขึ้น
“นายลองไปถามคนที่ชื่อเจี่ยนซินดูว่าเธอสังเกตเห็นบ้างหรือเปล่า ว่าในวันที่หวังย่าเฟยเสียชีวิต มีคนที่อาศัยในชั้นนั้นคนไหนที่ไม่ได้ไปทำงาน หรือว่ามีพนักงานที่ทำงานอยู่ที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ‘ห้องควบคุมระเบียบ’ หรือโรงเรียนประถม มีใครเข้าไปใกล้กับ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่หวังย่าเฟยเสียชีวิตบ้างไหม”
“แล้วถ้าหากว่าไม่มีล่ะ ไม่มีใครเลย” ซางเจี้ยนเย่าถามแทนการตอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มออกมา
“งั้นก็หมายความว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้ตื่นรู้คนนั้นจะเป็นพนักงานของ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ชั้น 478 ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไปหาเพื่อนที่อาศัยอยู่ชั้นนั้น แล้วหาเวลากินข้าวด้วยกันซักมื้อ จากนั้นก็ไปเดินดูรอบๆ คอยสังเกตว่ามีพนักงานคนไหนที่มีอะไรผิดปกติไปจากคนอื่น
“นายจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ผ่านทางเจี่ยนซินก็ได้เหมือนกัน”
พูดถึงตรงนี้เธอก็เตือนซางเจี้ยนเย่า
“แต่ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปนะ จะให้ดีก็ควรรอซักสองสามวันก่อน แล้วค่อยไปสถานที่จำพวก ‘ศูนย์กิจกรรม’ ที่มีผู้คนพลุกพล่านแล้วหามุมเงียบๆ เพื่อซักถาม อีกอย่างนะ ให้ถามแบบอ้อมๆ หน่อย อย่าถามโพล่งออกไปตรงๆ
“ฉันรู้ว่านายไม่กลัวว่าจะหาเรื่องอันตรายใส่ตัว แต่นายต้องใคร่ครวญให้ดีว่านี่จะทำให้อีกฝ่ายเป็นอันตรายหรือเปล่า นายคงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบเสิ่นตู้อีกแล้วใช่ไหมล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ผมก็กลัวเหมือนกันแหละน่า
“แต่ว่าบางเรื่อง ถึงแม้จะกลัวแค่ไหนก็ต้องทำ”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” มาคำหนึ่ง
“เอาละ ไปอ่านเนื้อหาข้อมูลเถอะ ช่วงนี้ก็ลืมเรื่องนี้ไปก่อน ยังไม่ต้องไปคิดถึงมัน”
ซางเจี้ยนเย่ากลับหลังหันก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง
“ผมยังมีอีกหนึ่งคำถาม”
“อะไรเหรอ” จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย กังวลว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดแล้วถามขึ้น
“คนเราจะเอาชนะความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจได้ยังไง”
ดวงตาของเจี่ยงไป๋เหมียนเบิกกว้างแล้วหดลงอย่างไม่รู้ตัว
เธอมองซางเจี้ยนเย่าด้วยความสงสัย
“ทำไมอยู่ๆ ถึงถามอะไรแบบนี้ขึ้นมาล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาตามตรง
“หัวหน้าจำไม่ได้เหรอ
“ตู้เหิงบอกเอาไว้ว่าพอเข้าไปใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจ แล้วต้องเอาชนะพวกมันให้ได้”
“อ๋อ เรื่องนี้น่ะเอง ไอ้ฉันก็คิดว่า…” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหุบปากทันทีเพราะตระหนักขึ้นมาได้ “นี่นายเข้าไปที่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ แล้วงั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนั่น แล้วพลังของนายมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนรัวคำถามเป็นชุด
ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาอย่างซื่อสัตย์
“ไม่มี”
“นั่นสินะ นายยังไม่ได้เอาชนะความกลัวซักอย่างนี่นา…” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าครุ่นคิด
เธอลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาตรงๆ
“ตอนนี้นายกำลังเผชิญกับความกลัวเรื่องอะไรอยู่ล่ะ
“ต้องเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนเสียก่อน ฉันถึงจะหาวิธีรับมือที่เหมาะสมได้”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบกระดาษที่พับเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นส่งให้
เจี่ยงไป๋เหมียนยื่นมือออกไปรับมาแล้วคลี่ออกอย่างรวดเร็ว
สิ่งปรากฏต่อสายตาเธอก็คือเส้นสีน้ำเงินยุ่งเหยิงมากมาย
เส้นสายเหล่านี้ที่มาจากปากกาลูกลื่นดูราวกับเชื่อมต่อกันเป็นเงาที่ล้อมรอบวงกลมข้างในเอาไว้ และ ‘กัดเซาะ’ เข้าไป
ขอบกระดาษที่อยู่เหนือเส้นยุ่งเหยิงยังมีวงกลมอีกสองวง
นอกจากนี้ก็คือพื้นที่ว่างโล่งสีขาวขนาดใหญ่
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูอย่างละเอียดอยู่รอบหนึ่ง เมื่อผนวกรวมกับข้อมูลจากซางเจี้ยนเย่า ก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้
เธอคิดใคร่ครวญแล้วพูดขึ้น
“ในสองวันนี้ฉันจะพยายามคิดดู หวังว่าจะมีคำแนะนำให้นายได้เร็วที่สุดที่จะทำได้”
พูดจบเธอก็เหมือนจะนึกอะไรได้ ถามออกมาด้วยความสงสัย
“นี่ก็คือที่นายวาดตอนอยู่ในรถ ตอนที่เฉียวชูสั่งให้วาดตอนนั้นนะเหรอ”
“คุณยังจำได้อยู่อีกเหรอเนี่ย” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปิดบังความประหลาดใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ก็เคยบอกแล้วไงล่ะว่าฉันเป็นคนใจแคบแถมยังผูกพยาบาทมากๆ”
ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะตอบกลับก็พอดีว่าไป๋เฉินกับหลงเยว่หงทยอยเข้าห้องมาทีละคน
เจี่ยงไป๋เหมียนลุกขึ้นยืนทันที แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่างมากสุดก็อีกสองวัน พวกเราก็จะรู้แล้วล่ะว่าของอะไรที่จะได้คืนมา และได้แต้มส่วนร่วมมาเท่าไหร่”
* * * * *
วันนี้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ใช้เวลาอ่านเนื้อหาข้อมูล และฝึกซ้อมหลากหลายรูปแบบ แม้จะเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยเนื้อหา
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วจะกลับบ้าน ซางเจี้ยนเย่าคิดไปคิดมาก็เปลี่ยนใจไป ‘ศูนย์กิจกรรม’ แทน
เขาเหลือบมองเห็นหลงเยว่หงกำลังคุยกับสาวสวยผมสั้นอยู่ที่มุมห้อง
ซางเจี้ยนเย่าอดส่ายหน้าไม่ได้
“นายว่าหลงเยว่หงทึ่มไปหน่อยไหม พาผู้หญิงที่เจอกันครั้งแรกมาคุยกันใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ แบบนี้เนี่ยนะ” เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้นข้างหูซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปแล้วพบว่าเป็นเมิ่งเซี่ย
ผู้หญิงคนนี้อายุเท่ากับซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง หยางเจิ้นหย่วน และก็อาศัยอยู่ชั้นเดียวกันด้วย จึงจัดได้ว่ามีความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมชั้น และค่อนข้างสนิทสนมคุ้นเคยกัน
เมิ่งเซี่ยรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสะอาดสะอ้านงดงามหมดจด สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลอ่อน ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเมื่อก่อน
ข้างกายเธอนั้นยังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง อายุยี่สิบเศษ ร่างสูง 170 พอๆ กับเมิ่งเซี่ย
ลักษณะดูดี เพียงแต่สีผิวออกเข้มเล็กน้อย ใบหน้ามีร่องรอยของความลำบากตรากตรำอย่างโชกโชน ดวงตาทั้งคู่คมกริบ
เมิ่งเซี่ยกับชายผู้นี้มือจูงมือกันราวกับไม่อยากจะแยกจากกันแม้เพียงชั่วครู่
“นั่นน่ะสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบเรื่องที่เมิ่งเซี่ยประเมินหลงเยว่หง
เมิ่งเซี่ยยิ้มออกมา
“ตะกี้สามีฉันบอกว่านี่มันเรื่องปกติมาก
“ปกติตรงไหนกัน ที่นี่มันเสียงดังจะตาย ออกไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่าตั้งเยอะ”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า
“ใช่ เขาทำแบบนี้ไปก็เสียเวลาเปล่า
“ตอนที่เจอหน้ากันก็ควรจะร้องเพลงต่างหาก”
“…” เมิ่งเซี่ยไม่รู้จะตอบอะไรดี
ยังดีที่ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สนทนาหัวข้อนี้ต่ออีก เขามองไปยังชายที่ยืนอยู่ด้านข้างเมิ่งเซี่ย
“สามีเธอเหรอ”
เขาจำได้ว่าสามีของเมิ่งเซี่ยเป็นคนเร่ร่อนแดนร้าง ในปัจจุบันนี้ได้เป็นพนักงานระดับ D4 แล้ว
ดังนั้นเมิ่งเซี่ยก็เลยย้ายไปอยู่ที่ห้องของอีกฝ่ายที่ชั้น 622 การที่ได้เจอเธอที่นี่จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
“อืม ชื่อจางเหล่ย” เมิ่งเซี่ยแนะนำ “ส่วนนี่ก็คือเพื่อนร่วมชั้นของฉันเองแหละ ซางเจี้ยนเย่า เพิ่งจะออกไปที่พื้นโลกมา”
จางเหล่ยก้าวไปข้างหน้าแล้วยื่นมือขวาออกมา
“สวัสดีครับ”
เขาเคยชินกับการขวางเมิ่งเซี่ยไว้ให้อยู่ด้านหลัง
“สวัสดีครับ” ซางเจี้ยนเย่าจับมือกับอีกฝ่าย
“ทำไมถึงกลับมาล่ะ” เขาหันไปถามเมิ่งเซี่ย
“ลุงเสิ่นเกิดเรื่อง ฉันก็เลยอยากกลับมาเยี่ยมพ่อแม่น่ะ” เมิ่งเซี่ยถอนใจ
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น
“ขอยืมตัวสามีเธอแป๊บนึงสิ”
“หือ” เมิ่งเซี่ยงงไปชั่วขณะ
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างมีมารยาท
“มีเรื่องอยากปรึกษาเขาหน่อยน่ะ”
เมิ่งเซี่ยหัวเราะ
“ได้สิ แต่อย่านานนักล่ะ”
จากนั้นเขากับจางเหล่ยก็ไปยังมุมที่ไร้ผู้คนใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ หลังจากนั่งลงแล้วซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากถามขึ้น
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องผู้ครองกาลกับผู้ตื่นรู้บ้างไหม”
จางเหล่ยเลิกคิ้ว
“เซี่ยเซี่ย[1]บอกว่าคุณไปที่พื้นโลกมา ดูเหมือนว่าจะรู้อะไรมาไม่น้อยสินะ
“อืม ผมเร่ร่อนอยู่ในแดนร้างมาหลายปีมาก ก็พอจะรู้บางเรื่องอยู่บ้างแหละ”
ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“งั้นคุณเคยเจอผู้ตื่นรู้ที่สามารถสร้างผลกระทบกับหัวใจคนอื่นได้บ้างไหม”
สีหน้าของจางเหล่ยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“เคย แต่ไม่ใช่ผมหรอกนะ เป็นเพื่อนผมต่างหาก
“ตอนนั้นที่เมืองหญ้าไพร เขาเดิมพันกับสมาชิกคนหนึ่งของนิกายรัตติกาล แข่งงัดข้อกัน
“ผลก็คือตอนที่เขาเกือบจะชนะอยู่แล้ว จู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวไม่หยุด ไม่ยอมช้าลงแม้แต่น้อย”
ซางเจี้ยนเย่าคิดใคร่ครวญแล้วถามต่อ
“นิกายรัตติกาลศรัทธาในผู้ครองกาลองค์ไหน”
จางเหล่ยเหลียวซ้ายแลขวาแล้วพูดเบาๆ
“ตุลากรชะตา”
* * * * *
[1] เซี่ยเซี่ย (夏夏) เป็นชื่อของเมิ่งเซี่ย (孟夏) คำว่า “เมิ่ง” เป็นแซ่ คำว่า “เซี่ย” เป็นชื่อ คนที่สนิทกัน (ระหว่างเพื่อนผู้หญิง หรือแฟน) บางครั้งจะเรียกชื่อซ้ำกันสองคำเป็นชื่อเล่น